ตอนที่ 110 ทั้งรักทั้งเกลียด
ซูหวานหว่านหยิบเข็มเงินจิ้มลงบนใบผักกาดขาวครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ใช้ตะหลิวตัก ‘น้ำต้ม’ ที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นน้ำแกงไก่ตุ๋นเทลงไปบนผักกาดขาว เมื่อเทน้ำลงไปใบของผัดกาดขาวก็ค่อย ๆ ลอยอยู่ในหม้อดินราวกับดอกบัวสีขาวกำลังเบ่งบานสะพรั่ง ตรงกลางมีห่านแกะสลักสีเหลืองนวลอยู่ด้านใน
มันดูดีมาก!
ทุกคนต่างตกตะลึง ซูหวานหว่านได้ทักษะการทำอาหารเช่นนี้มาจากที่ใด!
เมื่อมองไปที่น้ำแกงก็พบว่ามันใสมากจนเหมือนน้ำเปล่า สือเป้ยเอ๋อร์จึงพูดออกมา “ทำอลังการแล้วอย่างไร หากมันไม่อร่อยก็ไร้ประโยชน์?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันไม่อร่อย?” ซูหวานหว่านถามและนำจานไปวางที่ตรงผู้ให้คะแนน อาหารในจานดูน่ากินและงดงาม เมื่อลองดมดูก็ได้กลิ่นหอมจากน้ำแกง
เขารับรู้ได้เลยว่านี่เป็นน้ำแกงต้มเปล่า ๆ แต่พอตักชิมก็พบว่ารสชาติของมันเข้มข้น ไม่อมน้ำมันหรือว่ามีมันเยิ้มเกินไป เมื่อกินส่วนใบเข้าไปก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ผักกาดขาวธรรมดา มันทั้งนุ่มลื่นชุ่มคอ
สายตาของทุกคนเป็นประกาย ทว่าผู้ตัดสินคนหนึ่งจำสิ่งที่สือเป้ยเอ๋อร์บอกได้ จึงเริ่มวิจารณ์ออกมา “อาหารจานนี้ธรรมดาเกินไป ข้าว่าคงไม่ผ่าน”
คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าและบอกว่าอาหารจานนี้ธรรมดาเกินไป ซูหวานหว่านยิ้มออกมาอย่างเย็นชา อาหารจานนี้คือ ‘ยอดผัดกาดขาวในน้ำแกง’ ส่วนมากจะทำในงานเลี้ยงของข้าราชการชั้นสูง อาหารทั่วไปไม่สามารถเทียบได้ด้วยซ้ำ
ซูหวานหว่านพูดประชดประชันออกมา “ดูสิ อาหารของข้าถูกพวกท่านกินไปจนหมด พวกท่านไม่อายหรือ? ที่บอกว่าอาหารจานนี้ธรรมดาเกินไป พวกท่านเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
ซูหวานหว่านไม่สนใจคนเหล่านั้น นางตักน้ำแกงออกจากหม้อเทใส่ลงในถ้วยแล้วแจกจ่ายให้กับผู้ชมที่ยืนดูอยู่ พลันใดนั้นนางก็เห็นคุณชายถังจึงตักมันมอบให้เขาด้วยโดยพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ”
“ไม่เจอกันนานเลยนะ สหายของข้า ข้าคิดถึงรสชาติมันนัก” คุณชายถังก็ได้พูดและยิ้มออกมาพร้อมกับหยิบถ้วยน้ำแกง เมื่อทุกคนได้ชิมน้ำแกงพวกเขาก็ค้นพบว่ามันอร่อยมาก คุณชายถังถึงกับยกดื่มจนหมดถ้วย และทุกคนที่ได้ลิ้มลองรสชาติของน้ำแกงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมาก
สีหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์ที่มองดูเหตุการณ์อยู่พลันเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่านางอยากจะทำให้ซูหวานหว่านแพ้และออกจากแข่งขันไป แล้วเหตุใดตอนนี้ดูเหมือนว่าซูหวานหว่านกำลังจะชนะและได้ที่หนึ่ง!?
นางไม่รู้เลย ทว่าในสายตาของทุกคนซูหวานหว่านคืออันดับหนึ่ง!
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเห็นทั้งสองคนยืนเคียงคู่กัน อีกคนหนึ่งถือถ้วยแกงอีกคนหนึ่งกำลังตักมันขึ้นมาชิม ทำให้ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกโกรธมาก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขากำลังโกรธเคืองเรื่องอะไร เขาอยากจะพูดออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ฉีเฉิงเฟิงอยากจะเดินออกไปจากที่นี่ ทว่าถูกสือเป้ยเอ๋อร์จับเอาไว้
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “พวกท่านทั้งสอง ที่นี่ไม่ใช่ที่จะให้พวกท่านทำอาหารแสดงความรักต่อกันได้ หากจะทำโปรดกลับไปทำที่บ้านของตัวเองเสีย”
นี่เขากำลังไล่นางอย่างงั้นหรือ? เขาไม่อยากเจอนางแล้วใช่หรือไม่?
“เป็นอะไรไป? ทำไมยังไม่ไปอีก?” สือเป้ยเอ๋อร์กล่าว
พวกเขาท่านสองคนเหมาะกันมาก! เหตุใดนางถึงยังไม่ไป? เพราะอะไรนางถึงไม่ไป ซูหวานหว่านชำเลืองมองฉีเฉิงเฟิง แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความผิดหวัง เมื่อสองสายตาสบกัน หัวใจของชายหนุ่มพลันเจ็บปวดขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นมากุมหน้าอก
สือเป้ยเอ๋อร์ตกใจและรู้สึกโกรธ นางต้องไม่ให้ฉีเฉิงเฟิงเจอกับซูหวานหว่านอีก! ไม่เช่นนั้นฉีเฉิงเฟิงจะยังคงตกหลุมรักนางอยู่เช่นนี้!!
สือเป้ยเอ๋อร์ดึงตัวฉีเฉิงเฟิงเข้าไปในห้องทันที แล้วก็ได้ยินเสียงซูหวานหว่านตะโกนออกมาอย่างมีความสุข “ต้องขออภัยทุกคนด้วยที่วันนี้ข้าปรุงอาหารออกมาได้น้อยเกินไป แต่ข้าได้ขายสูตรลับนี้ให้กับร้านเจวียเซ่อไปแล้ว! หากทุกท่านอยากลิ้มลองรสชาติ พรุ่งนี้พวกท่านสามารถไปกินได้ที่ร้านเจวียเซ่อได้”
คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของนางหรืออย่างไร ถึงกล้ามาแนะนำร้านของตัวเองเช่นนี้! สือเป้ยเออร์โกรธจนตัวสั่น หญิงสาวจึงสั่งให้คนใช้สักคนไล่นางออกไป
คนของร้านออกมาตามคำสั่งของสือเป้ยเอ๋อร์ แต่เขาไม่สามารถแหวกฝูงชนที่ล้อมรอบตัวซูหวานหว่านเข้าไปได้ พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ จำต้องปล่อยให้ซูหวานหว่านพูดต่อไป
ซูหวานหว่านมองดูกลุ่มฝูงชนที่ยืนล้อมรอบตัว พลันใดนั้นนางก็ได้นึกไปถึงคำพูดของผู้ตัดสินคนนั้น นางจึงแก้ลูกปัดบนข้อมือแล้วแจกให้ฝูงชนทีละคนพร้อมกับพูดว่า “ในพรุ่งนี้ร้านอาหารเจวียเซ่อมีอาหารใหม่มากมาย! คนที่นำลูกปัดมาด้วยสามารถขอรับอาหารได้! ทั้งยังสามารถเข้าร่วมการจับรางวัลที่มีโอกาสได้รับของรางวัลใหญ่อีกด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนก็ตกอยู่ในความโกลาหลและรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าของรางวัลใหญ่คืออะไร แต่ก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีและไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ
พูดจบซูหวานหว่านและคุณชายถังก็เดินจากไป
ในห้องภายในร้านอาหารหงเหมิน หน้าต่างบานหนึ่งถูกเปิดแง้มออกมา ชายหนุ่มมองดูแผ่นหลังของทั้งคู่ที่เดินกันอย่างใกล้ชิด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ในขณะเดียวกันไม่รู้ว่าซูหวานหว่านกำลังคิดอะไร จึงไม่ทันระวังและสะดุดล้มบนพื้น คุณชายถังประคองนางให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงเอ่ยปลอบใจนางสองสามคำ เขาพบว่าข้อเท้าของเด็กสาวพลิกเจ็บจนเดินไม่ไหว คุณชายถังจึงต้องแบกนางขึ้นหลัง
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเจวียเซ่อ ฮวงเหล่าที่มองดูจากระยะไกลก็รู้สึกตกใจ “แม้ว่าคุณชายผู้นี้จะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาเท่าฉีเฉิงเฟิง ทว่าเขามีบุคลิกที่ใช้ได้เลย! หากพวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์ล่ะ? ก็คงต้องปล่อยเรื่องของฉีเฉิงเฟิงไป ให้โชคชะตาเป็นคนกำหนด ข้าแก่แล้วจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้!”
ซูหวานหว่านและคุณชายถังเดินทางมาถึงร้านอาหาร คุณชายถังรู้สึกพอใจซูหวานหว่านอย่างมากที่นางกล่าวแนะนำร้านอาหารเจวียเซ่อ ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจอีกทั้งอยากจะให้อั่งเปากับซูหวานหว่าน ซึ่งเด็กสาวก็รับมันไปอย่างไม่อิดออด หลังจากนั้นนางก็เข้าไปในห้องครัวและเริ่มสอนพวกเขาทำต้มผักกาดขาว และอาหารอีกหลายอย่าง
บรรดาพ่อครัวที่ยืนดูการทำอาหารของซูหวานหว่านก็ต้องพากันตกตะลึง พวกเขามองซูหวานหว่านด้วยความชื่นชม
หลังจากที่นางสอนพวกพ่อครัวทำอาหารเรียบร้อย อาหารที่จัดเตรียมเอาไว้ก็ถูกนำขึ้นที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่สำหรับกิจกรรม ‘รวมตัว’ ในร้านอาหาร
ทุกคนในร้านอาหารต่างมารวมตัวกินมื้อเย็นด้วยกัน ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นกับบรรยากาศภายในร้านกำลังคึกคักต่างก็อดใจไม่ได้ที่จะมองดู เพราะบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลาย
อาหารที่อยู่บนโต๊ะล้วนมีแต่ของน่ากิน สามารถเรียกน้ำลายที่ได้ดีทีเดียว
พอมีคนเดินเข้าไปถามถึงอาหารจานนั้น นางก็บอกว่าอาหารจานนี้ไม่ได้มีไว้ขาย ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก จึงบอกเหตุผลไปว่าให้มาใหม่ในวันพรุ่งนี้ แต่ทุกคนไม่อยากกลับและทำได้เพียงยืนมองด้วยความรู้สึกเสียดาย ซูหวานหว่านจึงแนะนำเครื่องปรุงรสที่นางเป็นคนทำให้ทุกคนได้ลิ้มลอง เมื่อทุกคนได้ชิมก็อดใจไม่ได้
ซูหวานหว่านให้ทุกคนได้ลองชิมเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น และให้ทุกคนกลับมากินใหม่ในวันพรุ่งนี้
ซูหวานหว่านกำลังคิดว่าจะทำขนมอะไรดี ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อวาดลวดลายของขนม และให้พ่อครัวนำไปปรับแต่งทำเป็นแม่พิมพ์ขนมขึ้นมา
นางเป็นคนที่ใจสู้มากเพื่อโค่นร้านหงเหมินลง! ไม่ใช่เพื่อสิ่งใดเพียงเพื่อต้องการเอาชนะสือเป้ยเอ๋อร์และฉีเฉิงเฟิง หญิงชั่วชายเลวคู่นั้น
ซูหวานหว่านรู้สึกโกรธเมื่อนึกถึงฉีเฉิงเฟิง นางกำลังจะเดินทางกลับไปที่บ้านของฮวงเหล่าเพื่ออาบน้ำและเข้านอนพักผ่อน ทว่านางกลับพบกับคนใช้เมื่อวานที่มาส่งข่าวให้นางไปแข่งรอบแก้ตัวที่ร้านหงเหมิน
“แม่นางซู” ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้ยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่ประจบสอพลอแบบนี้ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกขยะแขยง นางจึงถามออกมาด้วยความหงุดหงิด “หากมีเรื่องอะไรก็ให้รีบพูด แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไสหัวออกไปซะ!”
“มีสิ มีสิแน่นอนขอรับ” ชายคนนั้นยิ้มออกมาอย่างประจบสอพลอและพูดว่า “แม่นางซู คุณหนูของพวกเราต้องการพบท่าน เพื่อที่จะพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับการร่วมงานกันน่ะขอรับ”
“นางเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าฝีมือทำอาหารของข้าใช้ไม่ได้? ข้าไม่มีทักษะในการทำอาหารขนาดนั้นหรอก เกรงว่าจะต้องขอโทษด้วย และข้าก็ไม่สนใจ!” ซูหวานหว่านมองก่อนที่จะก้าวเข้าไปในบ้าน
ชายคนนั้นหยุดซูหวานหว่านด้วยคำพูดของตัวเอง “จริง ๆ แล้ว คุณชายฉีให้ข้ามาหาท่าน บอกว่าเขาต้องการพบท่าน”
หือ? ฉีเฉิงเฟิงต้องการให้นางไปพบ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางจะไปหรือไม่ไปดี?