ตอนที่ 111 ความเกลียด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หากฉีเฉิงเฟิงอยากให้นางไปก็ย่อมได้ ชายหนุ่มคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน? ซูหวานหว่านชั่งใจอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจได้
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไตร่ตรองอยู่ ชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “จริงสินะ! หญิงสาวนางนี้เพียงต้องการให้ท่าเขยตระกูลสือ!”
ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไรกัน? ใครกันแน่ที่อยากพบใคร เจ้าไม่รู้หรือว่าการที่เจ้ามาเชิญข้าไป ข้ายังไม่ได้ตอบตกลง! หากเขาต้องการร่วมงานกับข้าเช่นนั้นแล้วก็ต้องให้เขามาอ้อนวอนขอด้วยตนเอง!”
กล่าวจบซูหวานหว่านก็หาสนใจชายตรงหน้าอีก เด็กสาวหันหลังกลับเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูลงเสียงดัง
ปัง!
ชายผู้นั้นเห็นท่าไม่ดี หากกลับไปทั้งแบบนี้เขาต้องถูกแม่นางสือเป้ยเอ๋อร์ดุด่าอีกเช่นเคยเป็นแน่
คนที่ต้องการพบซูหวานหว่านแท้จริงแล้วคือสือเป้ยเอ๋อร์ ทว่านางสั่งให้บอกว่าฉีเฉิงเฟิงต้องการพบ เพราะสือเป้ยเออร์กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มา เมื่อรู้ว่าเป้าหมายของตนเองไม่สำเร็จลุล่วง เขาจึงตบหน้าตัวเองอย่างแรง ทั้งยังตำหนิตัวเอง “ให้ตายเถอะ! ข้าจะพูดมากทำไม!”
ซูหวานหว่านเข้าไปในห้องนอน เมื่อเตรียมตัวเข้านอนก็พลันได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านนอก “แม่นางซู! คุณชายฉีมาที่นี่เพื่อพบเจ้าด้วยตัวเองแล้ว! ได้โปรดออกมาเถิด!”
เขามางั้นหรือ? ซูหวานหว่านรีบลุกขึ้นนั่ง
เสียงอึกทึกโวยวายดังขึ้นอีกครั้ง “แม่นางซู! เขยตระกูลสือต้องการมาพบหมอ! เจ้าจะไม่เปิดประตูต้อนรับหน่อยหรือกระไร หรือจะต้องให้พวกเราพังประตูเข้าไป? หมอที่ไหนจะไม่รักษาคนไข้!”
ฉีเฉิงเฟิงมาหาหมอ? เขาเป็นอะไร!? อย่างที่รู้กันทั่วว่าฮวงเหล่าเป็นหมอรักษาโรคเฉพาะทาง ฉีเฉิงเฟิงไม่น่าจะเป็นอะไร ไหนจะยังมาป่าวประกาศเอิกเกริกเพียงนี้
ซูหวานหว่านยิ้มเยาะ นางนึกขันเสียจนทนไม่ไหวเดินออกมาพลางเอ่ยถาม “งั้นหรือ? คุณชายฉีเป็นอะไรไปเสียเล่า? ไร้สมรรถภาพหรือว่าหลั่งเร็ว? ได้นับเวลาหรือไม่? ถึงหนึ่งก้านธูปหรือเปล่า?”
ใบหน้าของชายรับใช้ที่อยู่ด้านนอกขึ้นสีแดงก่ำ ซูหวานหว่านเปิดประตูออกไปและก็พบเสือเป้อเอ๋อร์นั่งอยู่บนรถม้า
หญิงสาวตกตะลึง เมื่อรู้ว่าฉีเฉิงเฟิงเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์ หัวใจของซูหวานหว่านก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ราวกับหัวใจถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น
“แม่นางซูช่างแตกต่างจากสตรีนางอื่นนัก เจ้าเป็นสตรีที่กล้าหาญมาก ไม่แปลกใจเลย… ที่คุณชายฉีทิ้งแม่นางซูและหันมารักข้า” สือเป้ยเอ๋อร์พูดพร้อมทั้งส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้อีกฝ่าย
นี่นางกำลังเยาะเย้ยข้าอยู่รึ!
ซูหวานหว่านเอ่ยแผ่วเบา “เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าคุณชายฉีป่วย? แล้วแม่นางสือล่ะ? คงจะไม่ติดโรคมาจากเขานะ?”
“เขาจะป่วยได้อย่างไร! เขาเป็นผู้ชายที่หญิงสาวในเมืองหลวงทั้งหมดต้อง…” สือเป้ยเอ๋อร์พลั้งปากเกือบจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉีเฉิงเฟิงออกมา เมื่อได้สตินางจึงเปลี่ยนเรื่อง “ข้าจะไม่เสวนาเรื่องไร้สาระกับเจ้า”
หลังจากนั้นนางก็หยิบกล่องออกมา เมื่อเปิดออกก็พบว่าภายในกล่องเต็มไปด้วยแท่งทองคำ
สือเป้ยเอ๋อร์โยนมันลงมาตรงเท้าของซูหวานหว่าน หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตารังเกียจ “เก็บมันไปซะ แล้วออกไปจากเมืองนี้เสีย อย่าปรากฏตัวให้ข้า เห็นอีก โดยเฉพาะฉีเฉิงเฟิงอย่าให้เขาเห็นเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม!”
สิ่งที่ซูหวานหว่านรังเกียจที่สุดคือคนที่ทำตัวสูงส่งไม่เห็นหัวคนอื่น! เด็กสาวขมวดคิ้วแน่น นางหยิบเข็มสีทองที่ฮวงเหล่าให้นางไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนออกมา “ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้ ข้าเป็นคนที่รู้กตัญญูคนและต้องตอบแทนเจ้าถึงจะถูก เข็มทองคำนี้ทำมาจากทองแท้ หวังว่าแม่นางสือจะไม่นำมันไปทิ้งเสียล่ะ”
แต่ว่าวิธีที่นางมอบให้กับสือเป้ยเอ๋อร์นั้นสุภาพกว่าสือเป่ยเอ๋อร์เสียอีก!
เมื่อเห็นซูหวานหว่านขยับกายเข้าไปใกล้อีกฝ่าย สือเป้ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนรถม้าพลันเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมา “ข้าไม่ต้องการมัน! เอากลับไปซะ!”
“เข็มทองเล่มนี้ทั้งบางทั้งเล็ก มีโอกาสที่จะร่วงหายได้ง่ายดาย ข้าเพียงจะติดมันเข้ากับตัวเจ้าเพื่อไม่ให้มันหลุดหายไปไหน ไม่ต้องกลัวไปหรอก…” ซูหวานหว่านกระโดดขึ้นบนรถม้าโดยคนใช้ก็ยังไม่ได้เข้ามาช่วยแต่อย่างใด นางฝังเข็มไปตามจุดบนร่างกายของอีกฝ่าย สือเป้ยเอ๋อร์รู้สึกเจ็บมาก ดวงตาของนางค่อย ๆ ปิดลงจนมืดสนิท และล้มลงไป
สาวใช้เหยียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างตกใจมาก “จับหญิงสาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนางนี้มาให้ข้า! หากจับได้จงตีมันให้ตาย ใครจับนางได้ข้าจะให้แท่งทองคำแก่คนนั้น!”
คิดว่าจะจับนางได้อย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านแสยะยิ้ม หญิงสาวกระโดดลงจากรถม้า วิ่งไปที่กำแพงลานบ้านพร้อมกับเป่าปากส่งเสียงเรียกม้าให้วิ่ง
ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำกระโดดขึ้นมาบนหลังมาและดึงบังเหียนเอาไว้ ม้าตัวนั้นส่งเสียงร้องและหยุดวิ่ง เขาผู้นั้นมองซูหวานหว่านอย่างเคียดแค้น “เจ้าทำอะไรนาง?”
ดวงตาที่สุกสกาวดังดาวคู่นั้นทำให้ซูหวานหว่านจำได้ดีว่าเป็นใคร เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาโกรธเคืองดั่งไฟสุม ความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นภายในใจนาง แต่นางยังพูดออกมาอย่างเฉยชา “แล้วมันอย่างไร?”
“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร!” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้ว เขาเหยียบไปที่หัวม้าเบา ๆ แล้วดึงกระบี่ออกมา ใช้ปลายคมจ่อที่คอของนางอย่างเยือกเย็น!
“เจ้าอยากจะฆ่าข้าเหรอ?” น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
“หากข้าจะฆ่าเจ้าแล้วมันเป็นอย่างไร?” พูดจบฉีเฉิงเฟิงก็พยายามออกแรงแต่ก็เหลือบเห็นดวงตาที่สั่นเทาของเด็กสาว มือที่จับดาบของเขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาคมเข้มเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงไม่สามารถทำร้ายนางได้?
“คุณชาย ฆ่านางซะ นางทำร้ายคุณหนูของเรา!” เหยียนเอ๋อร์ตะโกนมาจากด้านข้าง
ฉีเฉิงเฟิงออกแรงอีกครั้ง ส่งผลให้ดาบที่อยู่บริเวณคอของซูหวานหว่านมีเลือดไหลออกมา
เขาไม่กล้าทำร้ายนางจริง ๆ!
ฉีเฉิงเฟิงตกใจจนปล่อยดาบในมือให้ร่วงลง เขาตกตะลึงอย่างมาก ชายหนุ่มไม่กล้าสบตาเด็กสาว และพูดออกมาอย่างลังเล “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
ชั่วขณะหนึ่งเขาตื่นตระหนกเหมือนเด็กน้อยทำความผิด
ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจเด็กสาว ก่อนที่นางจะเยาะเย้ยออกมา “ฉีเฉิงเฟิง เจ้าช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพียงเพราะคู่หมั้นใหม่ของเจ้า เจ้ากล้าทิ้งและทำลายข้าที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้ามาก่อน”
กล่าวจบนางก็ได้เตะฉีเฉิงเฟิงอย่างแรง นางรู้สึกเจ็บปวดนัก
การกระทำของนางทำให้เฉิงเฟิงกระอักเลือดสีดำออกมา
ซูหวานหว่านยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “ข้าบอกแล้วไง ฉีเฉิงเฟิง เจ้าเป็นคนที่ไม่สามารถจะทำอะไรข้าได้!”
ทันทีที่พูดจบ ซูหวานหว่านก็กระโดดลงไปที่พื้นและเดินไปข้างหน้าพร้อมกับชกไปที่หน้าอกของฉีเฉิงเฟิงอีกครั้ง และในทันใดนั้นเขาก็กะอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ยามนี้พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้ว ซูหวานหว่านหันหลังให้แสงแดดยามรุ่ง ริมฝีปากสีแดงของนางเปิดออกเล็กน้อย เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “นี่เป็นบทลงโทษที่เจ้ากล้ามาทำร้ายข้า!”
ฉีเฉิงเฟิงนอนหมอบไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นหันไปมองซูหวานหว่านราวกับความทรงจำบางอย่างของเขากำลังจะถูกทำลาย เขาทรุดตัวนอนทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ซูหวานหว่านหันกลับไปมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง และเมื่อจะเดินออกไปทันใดก็เห็นจุดเล็ก ๆ ที่อยู่บนลำคอของเขา ซึ่งรู้สึกว่ามันเหมือนตอนที่นางเคยรักษาเสี่ยวเฮ่ยมาก่อน นางเดินเข้าไปตรวจสอบดูด้วยความสงสัย เมื่อนางกำลังจะแตะไปที่คอของฉีเฉิงเฟิง ทันใดก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
“ช้าก่อน!”