บทที่ 12 มิจฉาชีพฉวยโอกาส
“นางไปมุดหัวอยู่ที่ไหน! เหตุใดยังหาไม่เจออีก! ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะเรื่องเงินปลอม 2,000 ตำลึง ความผิดมันมากจนกระทั่งสามารถพาเจ้าถูกขังลืมได้ตลอดชีวิตเชียวล่ะ!” หัวหน้าพลลาดตระเวนพูดพลางกำด้ามดาบไว้แน่น
ถนนหนทางของหมู่บ้านมักจะสงบสุขอยู่เสมอ ทว่าโชคไม่ดีที่จู่ ๆ ก็มีเงินตำลึงปลอมจำนวนมากปรากฏขึ้น ทำให้การลาดตระเวนประจำวันในวันนี้เกิดความโกลาหล ส่งผลให้ท่านเจ้าเมืองโมโหมาก
เขาคือผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีเงินปลอมที่เกิดขึ้น หากไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ ถึงตอนนั้นตนผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบจะต้องโดนตำหนิอย่างหนัก! ด้วยใบหน้าที่ดูมืดครึ้มและขมขื่นของเขา ทำเอาเอาบรรยากาศรอบ ๆ น่าขนลุกขึ้นมา ก่อนที่หัวหน้าพลลาดตระเวนจะชักดาบออกมา เผยให้คมดาบสะท้อนแสงภายใต้แดดยามกลางวัน ส่งผลให้ชายหนุ่มร้านขายยาตื่นตระหนก ด้วยรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพุ่งเป้ามาที่ตน
“ท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าไม่รู้อะไรเลย หญิงสาวผู้นั้นบอกจะชดเชยให้ข้าเป็นจำนวนเงิน 2,000 ตำลึง ข้าโง่เองที่โลภมากอยากได้เงินจากนาง ใครจะไปรู้ว่าเหรียญพวกนี้มันเป็นของปลอม!”
นี่มันอะไรกัน!
ความโกรธสุมอยู่เต็มอก เหตุใดนางถึงโชคร้ายเช่นนี้
วันนี้นางโดนดูถูกเหยียดหยามไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ไหนจะเสียใจที่โดนขโมยเงินแม้ว่ามันจะไม่ใช่เงินจริงก็ตามอีก แต่ไอ้สารเลวนี่ยังจะใส่ร้ายป้ายสีให้นางเป็นคนผิด! ยอดไปเลย! ไอ้พวกมิจฉาชีพฉวยโอกาส!
แม่เจิ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พยายามเดาสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะเข้าใจทุกอย่างและเอ่ยกับลูกสาวด้วยความกังวล “เหตุใดชายผู้นั้นถึงพูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนขโมยเงินไปเอง! เงินนั่นไม่ใช่ของเราใช่หรือไม่? แต่มันจะเป็นเงินปลอมไปได้อย่างไร! แม่ก็เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่เงินปลอม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ยิ่งแม่เจิ้นพูดออกมา ความโกรธของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาดังขึ้นไปอีก ทำให้ซูหวานหว่านตื่นตระหนก
ท่านแม่ หากท่านยังเสียงดังอยู่แบบนี้เราจะแย่เอาได้!
พลันใดนั้นเอง “นั่นใคร? ออกมาซะ!”
บ้าจริง!
โดนเจอตัวเข้าแล้ว! ซูหวานหว่านเอามือกุมหัวมองไปยังแม่เจิ้น แล้วกระซิบเบา ๆ “ท่านแม่! ยังจะกล้าพูดเสียงดังอีกหรือไม่?”
แม่เจิ้นตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “ข้าไม่กลัวหรอก หากหัวหน้าพลลาดตระเวนจะจับ พวกเราก็แค่แจ้งให้เขาจับชายมิจฉาชีพคนนั้น!”
ท่านแม่! ท่านไม่รู้ลึกตื้นหนาบางอะไรเกี่ยวกับระบบราชการนี้หรอก มันมีความเป็นไปได้มากที่มิจฉาชีพจะไม่ถูกจับกุม และคนที่โดนจับเสียเองจะเป็นพวกเราสองคนแม่ลูก!
ซูหวานหว่านกลอกตามองบนให้กับความไร้เดียงสาของแม่ตนเอง นางล่ะอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ ทว่าก็ไม่มีทางใดเลย
เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าพวกนาง “คือพวกนาง!”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องหลบอีกต่อไป นางลุกขึ้นประชันหน้ากับเหล่าพลลาดตระเวนและชายหนุ่มร้านยา
ใบหน้าเอือมระอาของหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าตื่นตระหนกตกใจในทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาใกล้ “เจ้า! เจ้าอีกแล้วเหรอ!” นางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางขยับตัวหนี
ซูหวานหว่านแสร้งบีบน้ำตาตัวสั่นราวกับกลัวคนตรงหน้าสุดชีวิต “ยะ…ยาที่ได้จากร้านเหรินเฮอของท่านใช้ได้ดีก็จริง แต่ท่านกลับส่งคนมาข่มขู่และทำร้ายข้ากับท่านแม่เพียงเพราะข้าไม่ยอมขายโสมป่าให้ท่าน เหตุใดท่านถึงทำกับผู้หญิงไร้ทางสู้แบบนี้กัน?”
ซูหวานหว่านพูดจบก็ออกแรงจิกเล็บไปที่ขาตัวเองเสียเต็มแรง ไม่ร้องไห้ก็แปลกแล้ว! ความเจ็บบริเวณต้นขาทำให้น้ำตาไหลรินอาบแก้มราวกับสายฝนโปรยปรายตกกระทบดอกไม้งาม ประกอบกับนัยน์ตากลมโตบริสุทธิ์ที่ฉายแววไร้เดียงสา จึงเรียกคะแนนสงสารจากคนรอบข้างได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“แม่นาง! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!” พลลาดตระเวนคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสุภาพ
แม่เจิ้นรับรู้ว่าลูกสาวของตนต้องการจะทำอะไร นางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ฮวงชุนเจินทำกับตน และตระหนักรู้ได้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป จึงเร่งยกมือขึ้นชี้หัวตัวเอง “ท่านดูหัวของข้าสิ เขาเป็นคนตีหัวข้า!”
ซูหวานหว่านกล่าวชมผู้เป็นแม่อยู่ในใจ “ดีนะ… ที่ข้าพาท่านแม่หนีออกมาได้ แต่เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ยินว่าเขากำลังใส่ร้ายพวกเรา นี่มันยุติธรรมสำหรับพวกเราแล้วอย่างงั้นหรือ?”
น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของสตรี มีหรือจะไม่ทำให้ผู้ชายใจอ่อน! การแสดงของสองแม่ลูกส่งผลให้พลลาดตระเวนเริ่มใจอ่อน ทว่าเขายังคงถามกับทั้งคู่เพื่อให้แน่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “แม่นาง หากเช่นนั้นแล้วพวกเจ้ามีหลักฐานว่าชายหนุ่มคนนี้ใส่ร้ายพวกท่านหรือไม่”
“ข้า…ไม่มีเลย” ซูหวานหว่านส่ายหัวอย่างจนปัญญา ทำให้ชายหนุ่มร้านขายยาชื่นใจ เขาพูดแทรกออกมาราวกับตนเองเป็นผู้ชนะทันที “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตนเอง ยอมรับมาเสียเถิดว่าเงินปลอมพวกนั้นเป็นของเจ้า!!”
ซูหวานหว่านได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก นางพยายามขัดขืนและร้องไห้สะอึกสะอื้น “แม้ว่าข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่ลูกค้าคนอื่นในร้านขายยาเหรินเฮอทุกคนสามารถเป็นพยานให้ข้าได้อย่างแน่นอน วันนี้ข้านำโสมไปขายให้กับร้านขายยาเหรินเฮอ แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับทำกิริยาดูถูกดูแคลนใส่ข้า หนำซ้ำเถ้าแก่ร้านขายยายังกล่าวหาว่าโสมที่ข้านำไปขายเป็นรากดอกลูกโป่ง และคิดจะให้เงินข้าเพียง 1 ตำลึงเงิน! แล้วข้าจะขายมันได้อย่างไร! เขาจึงได้ส่งคนมาตามทำร้ายข้าเช่นนี้ ช่างเป็นคนที่มีจิตใจโหดร้ายอำมหิตเสียจริง ๆ หากพวกท่านไม่เชื่อก็ดูรอยแผลที่หัวของแม่ข้าสิ! และดูว่าเสื้อผ้าของชายหนุ่มผู้นี้นั้นเป็นเหมือนกับชุดของร้านขายยาเหรินเฮอหรือไม่!”
หลังจากที่ชายหนุ่มร้านขายยาได้ยินที่หญิงสาวพูดออกมา เขาพลันลนลานดึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกและตะโกนออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน “จะ…เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ ไร้สาระ!!”
เมื่อได้ฟังความของทั้งสองฝั่ง พลลาดตระเวนก็พอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่ถูกถอดออกของชายหนุ่ม และพบว่านี่คือชุดของลูกน้องร้านขายยาเหรินเฮออย่างที่หญิงสาวกล่าวอ้างจริง ๆ!
“เจ้ามีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่!!” พลลาดตระเวนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
แม่เจิ้นตื่นเต้นและลุ้นกับสถานการณ์ตรงหน้าจนเริ่มหมดแรง นางเอ่ยกับพลลาดตระเวนด้วยน้ำเสียงสะอื้นปนหอบ “พวกท่าน พวกข้าขอกลับไปก่อนได้หรือไม่ ได้โปรดเถิด คนอย่างข้าไม่มีปัญญาทำเหรียญตำลึงเงินนั่นขึ้นมาหรอก! ดูสภาพของข้าสิ เสื้อผ้าก็ขาดวิ่นปะแล้วปะอีก จะมีปัญญาทำอะไรได้ ไม่ต้องกล่าวไปถึงเหรียญตำลึงเงินปลอม นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่!”
“ไร้สาระน่า!!” ชายหนุ่มร้านขายยาตวาดใส่ เขาถ่มน้ำลายใส่ใบหน้าของซูหวานหว่าน ทำให้ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำลายสกปรก
ซูหวานหว่านสูดหายใจเข้าอย่างหมดความอดทน นางอยากพุ่งไปเตะเขาซ้ำอีกสักรอบ ทว่าหัวหน้าพลลาดตระเวนที่อยู่ตรงนั้นดันชิงตัดหน้า ทำการเตะเข้าไปที่ท้องของชายหนุ่มอย่างเต็มแรงจนทรุดตัวลงกุมท้องด้วยความเจ็บปวด …ดูเหมือนว่าคนเจ็บอยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง ทว่าสิ่งที่ออกมาจากปากกลับฟังไม่ได้ศัพท์ ฟังดูไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าการเตะครั้งนี้ของหัวหน้าพลลาดตระเวนจะแรงจนทำให้ชายมิจฉาชีพผู้นี้เงียบปากลงได้สำเร็จแล้ว!
หัวหน้าพลลาดตระเวนมองซูหวานหว่านอย่างขอโทษ “พวกข้าต้องขออภัยแม่นางทั้งสองด้วยที่รบกวน เชิญพวกท่านไปทำธุระเถิด ตรงนี้พวกข้าจัดการต่อเอง”
สิ้นคำของหัวหน้าพลลาดตระเวน ซูหวานหว่านรีบประคองแม่ของตนออกจากสถานการณ์ตรงนี้ทันที ทว่ายังไม่วายได้ยินเสียงของพวกพลลาดตระเวนที่กำลังคุยจะว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้
“พี่ใหญ่ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเรายังหาเบาะแสของเหรียญปลอมพวกนี้ไม่ได้ มีหวังพวกเราได้ถูกลงโทษแน่ ๆ” ลูกน้องกล่าวกับหัวหน้าของตน
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก หากไม่มีเบาะแสที่มาของเงินปลอมในอีกสองสามวันข้างหน้า ข้าจะตั้งข้อหาทั้งหมดแก่เขา!”
“แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนจากร้านยาเหรินเฮอยอมรับผิด!”
“ทำไมข้าจะทำไม่ได้ล่ะ? ยังไงเสียฝ่ายปกครองเองก็ไม่ค่อยพอใจในความหยิ่งทะนงของร้านขายยาเหรินเฮอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากพวกเขากล้าต่อต้านก็เหมือนกับส่งตัวเองไปตายนั่นแหละ!” นั่นเป็นข้อสรุปของเหล่าพลลาดตระเวนที่ทำให้ชายหนุ่มมิจฉาชีพถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“…”
ใบหน้าของซูหวานหว่านปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ มีลางสังหรณ์ว่าร้านขายยาเหรินเฮอคงต้องตกต่ำลงเรื่อย ๆ เสียแล้ว และในอนาคตคงจะมีข่าวดีให้รับรู้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ร่างกายของแม่เจิ้นอ่อนล้าและเหนื่อยเกินทน ร่างกายของนางทรงตัวไม่อยู่จนล้มพับไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ท้องของแม่เจิ้นเริ่มส่งเสียงโครกครากประท้วงว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า ซึ่งตัวซูหวานหว่านก็รู้อยู่เต็มอกว่าแม่ของตนอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งต้องมาผจญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวันนี้ผู้เป็นแม่คงทนไม่ได้ ที่ทนยืนมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว!
หญิงสาวรีบปรี่เข้าไปพยุงผู้เป็นมารดาและออกปากว่าจะพาไปยังร้านอาหารแถวนี้ ทว่าแม่เจิ้นเป็นกังวลว่าจะโดนดูถูกและมองว่าต่ำต้อยอีกครั้ง นางจึงเสนอว่าควรนำปิ่นปักผมไปขายก่อนที่จะไปหาอะไรกิน
ซูหวานหว่านเห็นด้วย หญิงสาวคิดว่าตนยังไม่ควรบอกเรื่องตราไม้ในตอนนี้ ก่อนจะเดินประคองผู้เป็นแม่ไปตามทางเดิน
ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ถึงเงินที่ต้องแบ่งครึ่งให้กับฉีเฉิงเฟิง จึงรีบไปยังร้านแลกตั๋วเงินเพื่อขอแลกเงินออกมา ก่อนไปนางบอกให้ผู้เป็นแม่นั่งรออยู่ที่ร้านอาหาร ปากอ้างว่าจะไปทำธุระครู่หนึ่ง และด้วยความเหนื่อยล้า แม่เจิ้นจึงตอบตกลงอย่างไม่อิดออดแม้แต่น้อย
ไม่นานซูหวานหว่านก็วิ่งมาจนถึงร้านตั๋วแลกเงิน
นางมองประตูไม้บานใหญ่ไล่ไปยังหน้าต่างเล็ก ๆ บานหนึ่งที่มีรูเล็ก ๆ ติดอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปเคาะหน้าต่างบานนั้นสองสามครั้ง ไม่นานก็มีเสียงที่ดูเบื่อหน่ายเอ่ยตอบกลับมา “ส่งตราสัญลักษณ์มา ต้องการเงินเท่าใด…”
ซูหวานหว่านรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวยื่นตราไม้ให้ไปและกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าต้องการเงิน 1,000 ตำลึงเงิน”
ตราสัญลักษณ์ถูกหยิบไปจากมือของหญิงสาวอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าเมื่อซูหวานหว่านนึกไปถึงคำพูดที่ดูไม่แน่ใจเกี่ยวกับจำนวนเงินในธนาคารของตาเฒ่าฮวง นางก็ได้แต่กังวลใจว่ามีเงินพอให้นางถึง 1,000 เหรียญตำลึงเงินหรือไม่ …ซูหวานหว่านเลยตัดสินใจเอ่ยถามกับคนด้านในว่า “ท่าน… ข้าขอสอบถามจำนวนเงินของข้าได้หรือไม่?”
เบื้องหลังหน้าต่างบานเล็กคือชายชราในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเขียว ท่าทางของเขาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไรนัก หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่ดูเหนื่อยหน่ายของเขาก็เป็นได้จึงทำให้ดูเป็นคนเช่นนั้น ชายชราหรี่ตามองแผ่นไม้ที่ได้มาจากมือของหญิงสาวและนำไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปในทันที ชายชราโยนแผ่นไม้นั่นทิ้งและปิดหน้าต่างใส่หน้าซูหวานหว่านเสียงดังลั่น
ปึง!
…