เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 – ตอนที่ 138 ความอัปยศ

เมื่อเห็นซูหวานหว่านอยู่ในอาการลังเล ผู้ดูแลหลิวจึงพูดออกมาอีกครั้ง “หากร้านอาหารเจวียเซ่อของพวกเราไม่ไป ข้าเกรงว่าเมื่อมีงานใดที่เกี่ยวกับการค้าใด ๆ ในภายภาคหน้า หอการค้าจะไม่เชิญเราไปอีก”

“หอการค้า?” พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อต้องการทำลายนาง “ข้าจะดูว่าในงานเลี้ยงครั้งนี้พวกเขาจะทำอะไรข้า!”

งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นในบ่ายวันนี้ เมื่อทานมื้อกลางวันเสร็จซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงจึงออกจากร้านมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเมื่อพวกเขาสองคนไปจะไม่สามารถเข้าไปได้ทั้งสองคนถึงแม้จะมีเทียบเชิญก็ตาม

คนเฝ้าหน้าประตูลอบมองทั้งสองและพูดว่า “ร้านเจวียเซ่อสามารถเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น”

“เหตุใดคนอื่นถึงมีคนใช้เข้าไปได้ แต่ทำไมข้าพาคู่หมั้นเข้าไปด้วยไม่ได้?” ซูหวานหว่านจ้องเขม็งไปที่ชายคนนั้น

“พวกข้ามีรายชื่ออยู่ หากใครมีอำนาจมากก็จะสามารถพาคนอื่นเข้าไปได้ แม้ว่าร้านเจวียเซ่อของเจ้าจะเป็นร้านเก่าแก่เปิดมา 3 ปี ทว่าร้านของเจ้าเพิ่งฟื้นตัว ดีเท่าไรแล้วที่เชิญมาร่วมงานเลี้ยง! เจ้ายังจะมาเรื่องมากอยากจะพาคนของตัวเองเข้าไปในงานเลี้ยงอีก! ช่างน่าอายยิ่งนัก!” ชายคนนั้นก็พูดอย่างประชดประชัน

นางจะทนไม่ไหวแล้ว! ซูหวานหว่านกำลังคิดว่าเอาคืนเขาอย่างไรดี! จู่ ๆ ก็มีพ่อค้าคนหนึ่งเห็นซูหวานหว่านและส่งเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นสตรีคงจะไม่มีความรู้ กิจการเล็ก ๆ ของเจ้าจะอยู่รอดไปได้สักเท่าไรเชียว? ที่นี่เป็นอาณาเขตของเถ้าแก่หวัง เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม อย่าได้อวดดีไปเลย”

“งั้นหรือ?” ซูหวานหว่านยิ้มเยาะเย้ย นางพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้และพูดออกมาว่า “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือผู้ดูแลร้านเจียงเจียหมี่ที่อยู่ในเมืองนี้ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว!” ผู้ดูแลเจียงลูบคางของตัวเองและมองไปที่ซูหวานหว่านด้วยสายตาท้าทาย

“ถ้าข้าจำไม่ผิด ปีที่แล้วไม่มีภัยพิบัติอันตรายใด ๆ ข้าวกลับร่วงโรย? ร้านเจียงเจียหมี่ของเจ้าก็ไม่ได้ทำเงินได้มาก แม้กระทั่งข้าวที่เก็บกักตุนเอาไว้ก็กำลังจะเสียหาย และปีนี้… ข้าคิดว่ากิจการข้าวของตระกูลเจียงคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วกระมัง!” ซูหวานหว่านกล่าวช้า ๆ มองไปที่ผู้ดูแลเจียงพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันเย็นชา

การประชดประชันออกมาอย่างชัดเจนและฉับพลัน ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลเจียงก็นิ่งค้าง “ซูหวานหว่าน ร้านอาหารเจวียเซ่อของเจ้าใช้ข้าวจากตระกูลเจียงของเรา! เชื่อหรือไม่ ว่าข้าสามารถหยุดส่งข้าวให้ร้านอาหารของเจ้าได้!”

“เฮอะ! ข้าได้ยินมาจากผู้ดูหลิวว่าข้าวของตระกูลเจียงนั้นใช้ได้ อีกทั้งยังลงนามทำสัญญาไปแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าคุณภาพข้าวของร้านเจ้านั้นเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ตอนนี้พวกเรากำลังคิดจะเปลี่ยนเป็นข้าวของร้านอื่น เจ้าจะตัดการส่งข้าวให้ร้านเราก็ได้!” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างไม่ยอม

ผู้ดูแลเจียงตื่นตระหนก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะร้านของเขาส่งขายข้าวให้ร้านอาหารเจวียเซ่อเป็นจำนวนไม่น้อยในหนึ่งเดือน เกือบจะเทียบเท่ากับปริมาณที่ขายในเมือง เมื่อลองคิดดูแล้วก็รู้สึกเสียใจ ด้วยในเมืองนี้ไม่มีร้านข้าวใดที่ใหญ่เท่ากับตระกูลเขาแล้ว ร้านเจวียเซ่อต้องพึ่งพาร้านของเขา ไม่ใช่ร้านของเขาที่ต้องพึ่งพาร้านเจวียเซ่อ

เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็พูดขึ้นมาทันที “ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ฟัง เจ้าควรสงบปากสงบคำเสียบ้าง!”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวเข้าไปข้างในงานทันที

เมื่อมองแผ่นหลังอ้วนท้วมของผู้ดูแลเจียง ซูหวานหว่านรู้สึกอารมณ์เสียมากราวกับมีแมลงวันบินมาก่อกวนใจ นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดคุยหารือกับฉีเฉิงเฟิง จากนั้นจึงตัดสินใจเข้าไปในงานคนเดียว

คนเฝ้าประตูก็รู้สึกภูมิใจ หลังจากที่ซูหวานหว่านเดินเข้าไปในงานเขาก็ยิ้มและพูดออกมาอย่างประชดประชันว่า “ซูหวานหว่านมันก็เท่านั้น! สุดท้ายก็ยอมฟังและทำตามผู้อื่น!”

ทว่าใครจะรู้ ว่าแท้ที่จริง เหตุที่ซูหวานหว่านเข้าไปในงานเลี้ยง มันก็เพียงเพราะนางอยากที่จะเอาคืนพวกเขายังไงล่ะ!!!

ซูหวานหว่านเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของงานเลี้ยง ภายในห้องถูกจัดเตรียมไว้ด้วยขนม ชานานาชนิด รวมถึงเหล้า เด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาก็มองหาที่นั่ง เวลานี้ทุกคนก็ได้เดินทางมาถึงแล้ว เถ้าแก่หวังผู้ดูแลโรงเตี๊ยมก็มาถึงแล้วเช่นกัน

แต่ที่แปลกก็คือไม่มีที่นั่งให้กับเถ้าแก่หวัง ทุกคนจึงมองไปที่นางราวกับว่านางกำลังนั่งที่ตำแหน่งของเถ้าแก่หวังอยู่

ซูหวานหว่านไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด นางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วจิบชาอย่างสบายใจ

ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนเป็นผู้ดูแลเจียงที่เพิ่งต่อปากต่อคำของซูหวานหว่านไปก่อนหน้าที่พูดออกมาว่า “แม่นางซู เจ้าควรลุกขึ้นและสละตำแหน่งที่นั่งของเจ้าให้กับเถ้าแก่หวังนะ”

เห็นได้ชัดว่าสามารถให้เด็กในร้านเพิ่มเก้าอี้ได้ เหตุใดจึงต้องให้นางลุกขึ้นด้วย? จงใจแกล้งนางชัด ๆ

ซูหวานหว่านอุดหูของตัวเองและพูดว่า “เหตุใดข้าจะต้องลุกให้ด้วย เช่นนั้นเจ้าช่วยบอกทีว่าที่นั่งของข้าอยู่ที่ใด?”

“ที่นั่งของเจ้าไม่มีอยู่แล้ว! พวกเราคิดว่าเจ้าจะไม่มาจึงไม่ได้เตรียมที่เอาไว้ให้! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะกล้ามาที่นี่!” ผู้ดูแลร้านคนหนึ่งพูดออกมา จากนั้นทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

นี่มันทำให้นางอับอายมาก! ซูหวานหว่านกัดฟันพูด “คนที่จัดงานนี้ขึ้นมาช่างมี ‘น้ำใจ’ เสียจริง ๆ”

พูดจบนางก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะแทน พร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้างและนั่งดื่มชา ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งกระทบต่อนางเลยแม้แต่น้อย

ทุกคนหัวเราะเยาะไม่ออก

เถ้าแก่หวังนั่งลงตรงตำแหน่งตัวเอง ซูหวานหว่านมองไปที่เขา และเขาก็มองมายังนางเช่นกัน

เมื่องานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างก็พูดคุยทักทายกันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเถ้าแก่หวังก็ยืนขึ้น และประกาศออกมาว่า “ทุกท่าน พวกเราจะจัดตั้งหอการค้าของเมืองนี้ขึ้น ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมจะได้รับผลปันส่วน และผลประโยชน์ต่าง ๆ แต่…”

พูดถึงตรงนี้ เถ้าแก่หวังก็มองหน้าซูหวานหว่าน “แต่หอการค้าของเราจะเรียกเก็บเงินสำหรับการคุ้มครองผลกำไรของร้าน อย่างเช่น หากร้านอาหารเจวียเซ่อต้องการเข้าร่วม เจ้าจะต้องจ่ายเงิน 100 ตำลึงให้หอการค้าของเราในทุกทุกเดือน เพื่อให้หอการค้าช่วยหมุนเงินและดำเนินการต่อ”

100 ตำลึง? ฝันอยู่หรือไง! ภายในหนึ่งเดือนร้านจั๋วเซ่อทำกำไรได้เพียง 300 ตำลึงเท่านั้น! ประชากรของเมืองนี้มีไม่มากและเงินที่ได้รับก็เลยค่อนข้างน้อย จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะส่งส่วยให้ 100 ตำลึงทุกเดือน?

ไร้สาระ!

ซูหวานหว่านคลี่ยิ้ม “ร้านอาหารเจวียเซ่อของเราไม่ต้องการร่วมกับเจ้าในเรื่องการช่วยหมุนเวียนเงิน และเจ้าอย่าคิดที่จะเอากำไรจากร้านอาหารของเราไปเสียให้ยาก”

“เฮอะ!” ผู้ดูแลเจียงลุกขึ้นยืน ชี้ไปที่ซูหวานหว่านและพูดขึ้นว่า “ซูหวานหว่าน! นี่ไม่ใช่ถิ่นของเจ้า! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ฟัง หากเจ้าไม่เข้าร่วม ตระกูลเจียงของเราจะเป็นคนแรกที่จะตัดสัมปทานข้าวสารร้านเจ้า!”

ผู้จัดการร้านอื่นก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ร้านขายเนื้อของเราก็จะตัดสัมปทานเนื้อของร้านอาหารเจวียเซ่อเจ้าออกไปด้วย!”

“โรงเตี๊ยมของเราก็ด้วย!”

“…”

คนพวกนี้กำลังจะตัดสัมปทานร้านของนางงั้นหรือ? ไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีข้าว ร้านอาหารก็คงจะเปิดต่อไม่ได้

นางจะทำอย่างไรดี?

ซูหวานหว่านเงยหน้าขึ้นโดยไม่กลัวอะไร “ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก! ตัดก็ตัดไปเสีย แน่นอนว่ามันจะกระทบต่อห่วงโซ่สัมปทานแน่ ๆ”

เมื่อพูดออกมา ทุกคนต่างตกตะลึง

ซูหวานหว่านไม่เต็มใจร่วมหอการค้านี้! จะมากเกินไปแล้ว! คงอยากจะเป็นใหญ่ซินะ! เถ้าแก่หวังโกรธมาก “หากนางไม่อยากเข้าร่วมก็ไม่ต้องเข้าร่วม ข้าไม่ชอบทำการค้าแบบไม่ชอบธรรม!”

เหตุใดพวกเขาถึงปล่อยนางไปง่าย ๆ เช่นนี้? ซูหวานหว่านสงสัยมากและกำลังจะยกเหล้าขึ้นจิบ ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นฟองผุดขึ้นมาในเหล้า และมีผงสีขาวนอนก้นถ้วย!

ในเหล้ามียาพิษ!

ซูหวานหว่านกำลังจะเทมันทิ้ง ทันใดนั้นผู้ดูแลเจียงก็ลุกขึ้นยืน และกำลังจะเดินมาบังคับให้นางดื่มเหล้าเข้าไป!

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田ครั้นวสันตพิรุณเพิ่งผ่านพ้น ท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใสดังเดิม เมฆหมอกขาวบางเบาลอยล่องเหนือแนวบรรพต ก่อเกิดเป็นภาพทิวทัศน์อันตระการตา ในภาพนั้นมีทั้งต้นไม้ ใบหญ้า และผู้คน ‘ซูหวานหว่าน’ ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ปรากฏอยู่ในภาพทิวทัศน์นั้น นางเพิ่งขุดผักป่าขึ้นมาเต็มตะกร้าและกำลังจะตรงกลับบ้าน “พี่หญิง!” ทันใดนั้นเอง เด็กชายวัยกระเตาะผู้หนึ่งก็รีบวิ่งมาหา พร้อมทั้งตะโกนเรียกนางไปด้วย “ช้า ๆ ก็ได้” ซูหวานหว่านมองไปที่น้องชายตัวแสบของตนพร้อมกับระบายยิ้มให้ ซูจิ่นหมิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งช้าลงแต่อย่างใด เขายังคงวิ่งตรงเข้ามาหาซูหวานหว่านอย่างรีบร้อน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset