“ว่าอย่างไรนะ? ท่านพ่อของข้าใกล้สิ้นลมแล้วงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเช้านี้เขาแค่หมดสติไปไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างหัวหน้าหมู่บ้านก็สัญญาเอาไว้แล้ว ว่าจะหาอาหารให้ซูต้าเฉียง ทำไมเขาถึงจะขาดใจตายเสียแล้ว?
แม่เจิ้นตกตะลึงจนนิ่งไปอย่างทำตัวไม่ถูก คนผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “พวกเจ้ารีบไปเจอเขาเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
แม่เจิ้นกระวนกระวายกระโดดลงจากเกวียนวัวเพื่อไปเจอหน้าสามีเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าซูหวานหวานกลับรั้งผู้เป็นแม่ไว้ “ท่านแม่! พวกเรายังไม่ถึงบ้านเลยนะ ท่านคงไม่คิดว่าท่านจะวิ่งเร็วกว่าวัวหรอกนะ”
ได้ยินเช่นนั้น แม่เจิ้นที่ไม่มีทางเลือกใดจึงกลับขึ้นไปนั่งบนเกวียนวัวตามเดิม ความรู้สึกร้อนรนยังอยู่จนทำให้นางนั่งไม่เป็นสุข มือและเท้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าแม่เจิ้นจะพูดเสมอว่าอยากจะหย่าไปให้จบ ๆ แต่ความผูกพันที่ใช้เวลาร่วมกันมาหลายสิบปีจะไม่ให้แม่เจิ้นไม่ห่วงสามีของตนได้อย่างไร
หลี่ฉือโทวรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรทำอย่างไร แส้ในมือของเขาสะบัดโบกใส่วัวที่เพื่อให้เกวียนออกตัววิ่งด้วยความเร็วที่มากขึ้น ทว่าซูหวานหว่านกลับรู้สึกไม่แน่ใจเสียเหลือเกิน พลันใดนั้นนางก็เหลือบไปรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากคนที่มาส่งข่าวนี้ให้แก่ตนและมารดา เด็กสาวรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก หรือว่านี่จะเป็นหลุมพราง?
ซูหวานหว่านต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ทว่าคนที่อยู่บนเกวียนนี้ก็ไม่มีใครรู้สักคน เด็กสาวคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจหยิบขนมที่ซื้อมาแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ โรยลงกับพื้น ไม่นานนักนกสองสามตัวได้ส่งเสียงร้องจิ้บ ๆ ลงมาบินวนรอบ ๆ ศรีษะของนาง
“ขนาดนกตัวนี้มันยังรู้วิธีแสดงความกตัญญูตอบแทนบุญคุณเลย ไม่เหมือนกับนังฮวงอี๋ฮวนนั่น!” ป้าหวังกล่าวเหน็บแนม ขยับเข้ามานั่งใกล้เด็กสาวเพื่อถามถึงสิ่งที่ฮวงอี๋ฮวนพูดเกี่ยวกับตน
ทว่าซูหวานหว่านไม่มีกะจิตกะใจที่จะตอบคำถามอะไรทั้งนั้น เด็กสาวเอาแต่นั่งฟังเสียงนกร้อง และเสียงบ่นของป้าหวังไปพร้อมกันด้วยท่าทีสงบนิ่ง กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่เกวียนวัวก็หยุดลง แม่เจิ้นที่กลัวจะไม่ทันการณ์รีบกระโดดลงจากเกวียนวิ่งนำลูกสาวไปก่อนโดยที่ไม่ได้หยิบอะไรไปเลยสักอย่าง ซูหวานหว่านจึงจำต้องหยิบของในส่วนของแม่ตนเองและเดินตามไป เด็กสาวคิดในหัวไปด้วยว่าต้องมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ
ยังไม่ทันจะเดินถึงประตูบ้านของตระกูลซูหลัก เสียงของแม่เฒ่าเจี๋ยก็ดังโวยวายราวกับหมูโดนเชือด “ไอ้ลูกอกตัญญู เจ้ากล้าดียังไงมาตายก่อนข้า เจ้ายังไม่ได้ให้เงินกับข้าเลยด้วยซ้ำ ข้าวยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยว เจ้าล้มลงเช่นนี้ไม่ได้! พี่ใหญ่และพี่รองของเจ้า… พวกเขาจะไปเก็บข้าวได้อย่างไร ไหนจะหลานชายของข้าอีก เขายังรอเงินจากเจ้าเพื่อจะสู่ขอหญิงสาวมาเป็นสะใภ้อยู่นะ!”
แม่เฒ่าเจี๋ยมีลูกชายตั้งสามคน ทว่าทำไมถึงปฏิบัติกับลูกชายคนที่สามราวกับทาสแต่เพียงผู้เดียว?
“ต้าเฉียง!!” แม่เจิ้นโผเข้าไปกอดร่างของสามีที่นอนแน่นิ่งอยู่ น้ำตาแห่งความเสียใจพรั่งพรูออกมาจากดวงตา
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ป่านนี้แล้วเจ้าไปอยู่ที่ใด เหตุใดถึงทิ้งลูกชายข้าเอาไว้แบบนี้! เอาล่ะ…ข้าจะเป็นคนหย่ากับเจ้าแทนเขาเอง!”
แม่เฒ่าเจี๋ยพูดไม่หยุดปาก หญิงชราคว้าด้ามไม้กวาดและฟาดมันลงบนหลังของแม่เจิ้นเต็มแรงด้วยความโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่านั่นไม่ได้ทำให้แม่เจิ้นสะทกสะท้านแต่อย่างใด นางยังคงนั่งร้องไห้กอดร่างของสามีอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน
ซูต้าเฉียงคู่ควรกับความโศกเศร้าเสียใจของแม่เจิ้นงั้นหรือ?
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านก็เป็นแม่ของท่านพ่อข้า ท่านแม่ของข้าก็คือลูกสะใภ้ของท่าน ท่านแม่ของข้ามาเพื่อเจอท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ท่านไม่วายพูดจาว่าร้ายนาง อีกทั้งยังทำร้ายนางอีก! ท่านพ่อของข้าอาจจะแค่หมดสติ เหตุใดท่านไม่พาเขาไปหาหมอ!?” ซูหวานหว่านพูดกับแม่เฒ่าเจี๋ยด้วยอารมณ์โกรธ
พ่อเฒ่าซูตรงเข้ามาหาซูหวานหว่านอย่างช้า ๆ และใช้ไม้เท้าเคาะไปที่เข่าของเด็กสาวอย่างแรง สายตาของเขานั้นทั้งมืดหม่นและเย็นชาจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ “เจ้ามันก็เป็นแค่เด็กน้อยโง่เขลาไม่รู้เรื่องราว หุบปากของเจ้าไว้บ้างเถอะ ท่านย่ากำลังสั่งสอนแม่ของเจ้า อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง!!”
“ห๊ะ! ท่านนี่น่าขันเสียจริง ๆ! โชคดีที่ท่านเป็นพ่อของท่านพ่อข้า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าท่านกับท่านย่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องเลวร้ายทั้งหมด!”
“เจ้า!! มานี่ข้าจะตีเจ้าให้ตายเลย!” พ่อเฒ่าซูคว้าไม้เท้าขึ้นและตรงเข้ามาหาเด็กสาวอย่างมุ่งร้าย ทว่าซูหวานหว่านกลับหัวเราะเยาะชายชรา นางกระโจนเข้าไปแย่งไม้เท้าจากอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “หากท่านกล้าที่จะทำร้ายข้า ข้าก็กล้าที่จะทำร้ายท่านเหมือนกัน มาดูกันว่าใครจะชนะ!”
แต่ก่อนที่ซูหวานหว่านจะได้ขยับตัวทำอะไร ชายชรากลับกระแอมกระไออย่างหนักพร้อมทั้งตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย “อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ! เร็วเข้า นังแก่! มาสั่งสอนให้เด็กนี่ได้รู้จักถึงความกตัญญูที!”
สิ้นเสียงของสามี แม่เฒ่าเจี๋ยจึงหันมาเห็นว่ามีคนจะทำร้ายสามีของตนเอง นางทิ้งไม้กวาดในมือและมุ่งหน้าไปหาซูหวานหว่านทันที
“นังสารเลวนี่! ข้าจะเอาเลือดหัวเจ้ามาล้างเท้าข้าให้จงได้ คนแบบเจ้านะไม่มีวันจะได้แต่งงานออกเรือนหรอก เจ้าจะต้องอับอายขายขี้หน้าไปตลอดชีวิต!!” หญิงชราถลกแขนเสื้อวิ่งเข้าหาซูหวานหว่านจากทางด้านข้าง และยกเท้าอ้วน ๆ ขึ้นมาถีบไปที่สีข้างของเด็กสาว ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกเจ็บเท่าไร ท่าทียั่วโมโหของซูหวานหว่านทำให้หญิงชราโมโหมากขึ้นไปอีก นางยกขาอ้วน ๆ อีกข้างขึ้นสูงหวังจะถีบซูหวานหว่านให้แรงขึ้นอีกครา แต่ครั้งนี้ซูหวานว่านคว้าขาข้างขวาของแม่เฒ่าเจี๋ยเอาไว้ และด้วยความไม่ระวังประกอบกับร่างกายที่อ้วนท้วมของแม่เฒ่าเจี๋ย นั่นจึงทำให้นางเสียหลักเซไปเกือบจะล้มลงบนพื้น
“นังเด็กนี่ กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายย่าของตัวเอง!”
ฮวงชุ่นเจินที่ทนมองเหตุการณ์ต่อไปไม่ไหวรีบวิ่งเข้ามาช่วยพยุงแม่เฒ่าเจี๋ย ทว่าซูหวานหว่านที่ดึงขาของแม่เฒ่าเจี๋ยเอาไว้แน่นหนากลับปล่อยมือออกกะทันหัน ทำให้แม่เฒ่าเจี๋ยควบคุมร่างกายไม่ได้! นางหงายหลังล้มลงไปบนพื้นทันที!!
“โอ๊ย ท่านแม่รีบปล่อยมือเสีย!” ฮวงชุ่นเจินร้องตะโกนโวยวาย แต่มีหรือที่แม่เฒ่าเจี๋ยจะปล่อยมือ? ทันใดนั้นนางก็ออกแรงดึงฮวงชุ่นเจินจนล้มลงมากองอยู่บนพื้นด้วยกันทั้งคู่!!
ซูหวานหว่านมองไปที่หญิงอ้วนทั้งสองอย่างนึกขำ การที่ได้เห็นสตรีร่างท้วมสองคนล้มกองอยู่ที่พื้นทำให้หญิงสาวนึกถึงเวลาช้างวิ่ง… พวกมันมักทำให้พื้นสั่นสะเทือนไปหมด!
เมื่อซูหวานหว่านจัดการเรื่องน่ารำคาญจนหมดสิ้น นางก็รีบวิ่งไปประคองแม่เจิ้นให้ลุกขึ้นมา จึงพลันสังเกตเห็นว่าแผ่นหลังบางของผู้เป็นแม่มีเลือดไหลออกมา
แม่เฒ่าเจี๋ย เจ้าทำเกินไปแล้ว!!
ความโกรธของซูหวานหว่านเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่แม่เฒ่าเจี๋ยได้ทำไว้กับมารดาของตน เลยคิดที่จะเอาคืนท่านย่าให้สาสม แม่เจิ้นที่รู้ดีว่าลูกสาวของตนกำลังคิดอะไรอยู่จึงได้รั้งนางเอาไว้และกล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา “หวานหว่านลูกแม่ อย่าสนใจพวกเขาเลย ตอนนี้พ่อของเจ้ายังมีลมหายใจอยู่ เร็วเข้า พวกเราพาพ่อไปหาหมอเถอะ หากโชคดีเขาอาจมีชีวิตรอด…” แม่เจิ้นสะอื้น
ซูหวานหว่านเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของผู้เป็นแม่ ก็รู้สึกสารแม่ของตนอย่างสุดซึ้ง
“ได้ท่านแม่” ซูหวานหว่านพยักหน้า เวลานี้นางเกรงว่าตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผยหากแบกท่านพ่อเอาไว้บนหลัง นางและแม่เจิ้นจึงช่วยกันประคองซูต้าเฉียงเพื่อไปพบหมอ พลันใดนั้นหางตาของนางก็เหลือบไปเห็นแม่เฒ่าเจี๋ยที่ลุกขึ้นมาโดยมีฮวงชุ่นเจินช่วยประคองเอาไว้ จึงมีความคิดเอาคืนกับแม่เฒ่าเจี๋ย
“นังเด็กชั่ว!! บนโลกนี้มีหลานสาวที่ไหนจะทำร้ายย่าของตัวเองเช่นนี้! ชีวิตของข้ามันช่างขมขื่นเสียจริง คนอย่างข้ายังทำเพื่อตระกูลไม่ดีพอหรืออย่างไรกัน! คนอย่างข้า… คนอย่างข้าที่แทบจะกินแม้แต่เศษขยะในทุก ๆ วันเพียงเพราะพยายามแบ่งอาหารให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่แล้วทำไมกัน ทำไม!! ทำไมต้องเป็นข้าที่ต้องทนทุกข์กับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้!!” แม่เฒ่าเจี๋ยร้องโอดครวญ
เหตุใดแม่เฒ่าเจี๋ยตรงหน้าถึงบ่นโวยวายออกมาอย่างเดียวล่ะ? ปกติต้องตรงเข้ามาทุบตีนางด้วยไม่ใช่หรือไง?!
เมื่อนางหันหลังไปก็เจอกับหัวหน้าหมู่บ้านวิ่งเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มคนเดิมที่พบเจอเมื่อเช้าเดินตามหัวหน้าหมู่บ้านมา
แต่ทันใดนั้นคำพูดไม่คาดคิดก็ดังออกมาจากปากของหัวหน้าหมู่บ้านที่ตอนนี้กำลังทำสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมดั่งหมึกในแท่นฝน “แม่เฒ่าเจี๋ย เจ้ายังมีหน้ามาโกหกแบบหน้าด้าน ๆ เช่นนี้อยู่อีกหรือ!”
ท่านหัวหน้าหมู่บ้านสุดยอดไปเลย!! ซูหวานหว่านกล่าวชื่นชมเขาในใจ
“โกหกอันใดกัน!! ข้ากำลังบอกความจริงกับท่านอยู่นะ” หลังจากแม่เฒ่าเจี๋ยพูดจบ หญิงชราก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่ดวงตา สักพักน้ำตาก็ไหลออกมา
ซูหวานหวานอยู่ห่างจากแม่เฒ่าเจี๋ยไม่ไกล จึงพบว่าบนผ้าเช็ดหน้าของนางมีกลิ่นหัวหอมโชยออกมา เด็กสาวเลยได้แต่นึกขำอยู่ในใจ ด้วยรู้สึกสมเพชกับวิธีการสกปรกของท่านย่าเสียจริงที่กล้าทำถึงขนาดนี้ ก่อนจะพูดประชดประชันออกไปว่า
“อยู่ต่อหน้าหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านควรจะรู้สึกสำนึกและพูดจาดี ๆ กับเขามิใช่หรือท่านย่า? โยนผ้าเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นหัวหอมทิ้งไปเถอะ ข้าเกรงว่าหากน้ำตาของท่านไหลออกมากกว่านี้ ท่านจะมองไม่เห็นแล้วแย่เอานะ”
“นังซูหวานหว่าน! เด็กสารเลว!!” แม่เฒ่าเจี๋ยทนไม่ได้อีกต่อไป
ด้วยท่าทางเช่นนี้ของแม่เฒ่าเจี๋ย ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านเผยยิ้มเล็กน้อย ทว่าอีกใจก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาก้มมองซูต้าเฉียงที่นอนอยู่บนพื้นพลางเอ่ยถามออกมา “แม่เฒ่าเจี๋ย ข้าขอถามอะไรบางอย่างกับเจ้าหน่อย เจ้าคิดว่าซูต้าเฉียงเป็นลูกชายของตนเองหรือไม่?”
“แน่อยู่แล้วสิ!” แม่เฒ่าเจี๋ยพยักหน้าตอบ ทว่าไม่นานนางกลับส่ายหัวปฏิเสธในทันที “ไม่ ๆ เขาไม่ใช่ลูกชายของข้า ข้าเก็บเขามา”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มันก็ทำให้หญิงชรารู้สึกโกรธ ตอนนั้นไม่รู้ไปได้ยินใครบอกว่าจะแบ่งที่ดินให้ หากบ้านไหนมีจำนวนคนในครอบครัวมาก ซึ่งระหว่างนั้นนางก็ได้เจอทารกชายที่ถูกทิ้งเอาไว้จึงเก็บกลับบ้านมาด้วย หากแต่ใครเล่าจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วนอกจากไม่ได้ส่วนแบ่งที่ดิน ยังต้องเลี้ยงลูกชายเพิ่มอีกคนนึง หนำซ้ำเขายังใช้เงินไปสู่ขอภรรยาราคาถูกให้กับตนเองและหาเลี้ยงครอบครัวพวกเขาอีก นี่มันช่างเป็นการใช้เงินไปอย่างเปล่าประโยชน์แท้ ๆ เลยเชียว!
หากตอนนี้ซูต้าเฉียงได้ตายไปจริง ๆ หมายความว่านี่จะเป็นโอกาสดีในการขับไล่ครอบครัวของแม่เจิ้นให้ออกจากตระกูลไป
แต่ในอีกความคิดหนึ่ง หากว่าซูต้าเฉียงตายขึ้นจริง ๆ ร่างของเขาจะต้องถูกนำไปฝังและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้ลูกอกตัญญูซูต้าเฉียงผู้นี้ทำให้แม่ของเขาผิดหวังแค่ไหน! “พวกเจ้าไม่ต้องมาบอกให้ข้าเสียค่าทำศพให้นะ อย่างมากก็แค่หาผ้าห่อร่างของมันแล้วโยน ๆ ทิ้งไปซะก็จบเรื่องแล้ว”
สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านยังคงดูเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม “ตอนนี้เขาน่าจะได้รู้แล้วว่าแม่ที่เขารักปฏิบัติกับเขาแบบไหน”
หึ! ก็บอกว่าเขาตายแล้วอย่างไรเล่า เขาจะรับรู้มันได้อย่างไร? แม่เฒ่าเจี๋ยเย้ยหยันอยู่ในใจ ทว่าสีหน้าของนางก็ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เห็นดังนั้นผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงเดินตรงเข้าไปหาซูต้าเฉียงในอ้อมกอดของแม่เจิ้น เขาเอามือจับไปที่แขนของซูต้าเฉียงอย่างแผ่วเบา “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าตื่นได้แล้ว”
“ตื่น…ตื่นอะไรของท่าน!! ขะ…เขาสลบอยู่ไม่ใช่รึ มะ..ไม่ใช่สิ ขะ…เขาไม่ได้ตายไปแล้วรึ? ” น้ำเสียงของแม่เฒ่าเจี๋ยตะกุกตะกัก พูดไม่เป็นคำด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางซีดเผือดอย่างกับเห็นผี!!