ตอนที่ 165 คิดไม่ดีตลบหลัง
“เจ้าเป็นอะไรไป?” ซูหวานหว่านถามออกมาด้วยใบหน้าสงสัย
“สิ่งนี้มันกินไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงงมมันกลับมา ข้างในมีขี้ดินอยู่เต็มไปหมด หากเจ้ากินเข้าไปอาจจะเกิดอันตรายได้” เฉียนตัวตัวพูดพร้อมกับจ้องไปที่ซูหวานหว่าน และเตรียมยกถังน้ำที่เต็มไปด้วยหอยลายไปทิ้ง
แต่ซูหวานหว่านก็เอื้อมมือมาขวางเอาไว้ได้ทัน “ข้าสามารถทำให้มันคายดินออกมาได้ เจ้าวางใจและรอกินมันได้เลย”
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่! แต่ปัญหาก็คือมันกินไม่ได้! มันมีพิษ!” เฉียนตัวตัวเถียงซูหวานหว่านตัวเป็นเอ็น เสียงของนางดังจนทำให้พ่อและแม่ของนางที่กำลังยุ่งอยู่กับงานวิ่งออกมาดู
เมื่อเห็นหอยลายในถัง พวกเขาก็ขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “แม่นาง สิ่งนี้ไม่สามารถกินได้ มันอยู่ใต้น้ำ ทั้งสกปรกและอยู่ตามซอกโคลนเป็นเวลานาน ก่อนที่เราจะมาเช่าที่แห่งนี้ เจ้าของคนเก่าบอกว่าหอยชนิดนี้กินไม่ได้ และข้าก็ได้ยินมาว่ามีคนตายเพราะกินหอยนี้เข้าไป”
ที่แท้เหตุผลก็เป็นแบบนี้นี่เอง ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “ท่านป้า เรื่องที่พวกท่านได้ยินมา หากคนอื่นบอกว่ากินไม่ได้ก็คือกินไม่ได้งั้นรึ? พวกท่านได้ลองกินมันแล้วหรือยัง? หอยชนิดนี้มีรสชาติหอมนุ่ม! ตอนที่ข้ายังเด็ก ที่แม่น้ำมีหอยพวกนี้เยอะมาก และพวกเราก็ชอบกินมันมาก พวกเรามักจะงมมันขึ้นมาเสมอ”
“อ่า…” แม่ของเฉียนตัวตัวเหลือบมองผู้เป็นสามีเล็กน้อย นางไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา เฉียนตัวตัวก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “หากเจ้าชอบกินมากเจ้าก็กินมันไปคนเดียวเถอะ! ข้าไม่ขอกินมันกับเจ้า และข้าก็จะไม่สนใจหากเจ้ากินเข้าไปแล้วเกิดตายขึ้นมา!”
ถึงแม้ว่าเฉียนตัวตัวจะอยู่ในอาการโกรธ แต่ก็อดพูดออกมาไม่ได้ว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก คนอื่นเตือนเจ้าแล้วว่ามันกินไม่ได้ หากเจ้าอยากลองแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ไม่มีใครสามารถพาเจ้าไปหาหมอทันแน่!”
เมื่อพูดจบนางก็จ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยแววตาโกรธเคืองและเดินหนีออกไปทันที หญิงชราจึงเอ่ยขอโทษแทนลูกสาว “สาวน้อย ข้าต้องขอโทษแทนลูกสาวของข้าด้วย นางเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ ยังไม่ค่อยเข้าใจโลกมากเท่าไรนัก เจ้าอย่าสนใจนางเลย”
“ไม่เป็นไร” เพราะซูหวานหว่านก็เข้าใจว่าสมัยโบราณนั้น การรักษายังไม่ได้พัฒนา การตรวจรักษาโรคที่เกิดจากการกินนั้นเป็นไปได้ยากมาก
ซูหวานหวานต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่เมื่อเห็นพ่อแม่ของเฉียนฟู่เดินออกไปแล้ว หญิงสาวจึงก้มมองดูหอยลายที่ลอยอยู่เต็มถัง พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจ ตนเองคงไม่สามารถกินมันหมดได้เพียงคนเดียว จึงนำบางส่วนแบ่งเข้าไปเลี้ยงเอาไว้ในถังเก็บน้ำที่มิติฟาร์ม
ในตอนเที่ยง แม่ของเฉียนฟู่ได้ทำปลานึ่งขึ้นมาหนึ่งจาน ซูหวานหว่านยังคงวิ่งวุ่นอยู่ในครัวพร้อมกับเปิดถังออกดูหอยลาย ก็พบว่ามีหอยลายได้เปิดเปลือกออกมา เผยให้เห็นเนื้อสัมผัสลื่นและนุ่มของมัน หญิงสาวจึงนำน้ำแร่จากมิติฟาร์มออกมาพร้อมกับปรุงรสด้วยเครื่องปรุงสูตรลับของนาง ความจริงนางอยากจะทำหอยลอยผัดหม่าล่า แต่ก็กังวลว่าจะถูกถามเกี่ยวกับพริก นางจึงเลือกทำหอยลายผัดกับกระเทียมซึ่งมีรสชาติอ่อนเท่านั้น กลิ่นหอมของมันลอยโชยมาตามลม
ซูหวานหวานลงมือทำอาหารของตัวเองไป ส่วนแม่ของเฉียนฟู่ก็ทำปลาอยู่ข้าง ๆ นาง
เมื่อมีแขกมาที่บ้าน แม่ของเฉียนฟูก็ได้หยิบถั่วลิสงออกมาหนึ่งกำมือ พร้อมกับคั่วมันจนสุก จากนั้นนางก็ทุบมันละเอียดจนเป็นผงแล้วใส่ลงไปในหม้อ ซูหวานหว่านเห็นเช่นนั้นก็เกิดความสงสัย หากแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
ไม่นานปลาก็ปรุงเสร็จ อาหารมื้อนี้ดูเหมือนจะเป็นมื้ออาหารที่ดูอุดมสมบูรณ์ทีเดียว แต่ว่าครอบครัวของเฉียนฟู่กินเพียงเนื้อปลาและผักป่าต้มเท่านั้น มีเพียงซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงสองคนที่กินหอยลาย
“ทุกคน หอยลายพวกนี้มันไม่มีพิษจริง ๆ ข้ากินมันตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าก็ยังไม่เห็นเป็นอะไรจนมาถึงทุกวันนี้ พวกท่านจะกลัวอะไร? ลองกินมันดูเถิด” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับคีบหอยลายใส่ชามที่ใกล้ที่สุดของตัวเอง ซึ่งผู้โชคดีนั้นก็คือเฉียนตัวตัว ทำให้เด็กสาวรีบคีบหอยลายออกจากจานตนเอง พร้อมกับจ้องมองไปที่ซูหวานหว่านอย่างโกรธเคือง “เจ้าคิดจะฆ่าข้าอย่างงั้นเหรอ! ข้าไม่กินมันหรอก!”
ซูหวานหว่านกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ฉีเฉิงเฟิงก็เหลือบมองไปที่เฉียนตัวตัวพร้อมกับคีบหอยใส่ลงในชามซูหวานหว่านแล้วพูดออกมาว่า “เจ้ากินมันเถอะ หากพวกเรากินเข้าไปแล้วไม่เป็นอะไร เดี๋ยวพวกเขาก็กินตามพวกเราเอง”
“เช่นนั้นก็ได้” ซูหวานหว่านครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เพราะที่อีกฝ่ายพูดมานั้นก็มีเหตุผล เหตุใดนางจะต้องแบกหน้าทำแบบนั้นด้วย
เดิมที่ฉีเฉิงเฟิงไม่ชอบกินหอยลายอยู่แล้ว คราวนี้เขากลับรู้สึกว่าหอยลายนี้มันมีรสชาติที่แปลกประหลาด อีกทั้งกลิ่นกระเทียมยังส่งกลิ่นแรงอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้เขากลับกินหอยลายเร็วกว่าซูหวานหว่านเสียอีก
เวลานี้จานอาหารของพวกเขาเต็มไปด้วยเปลือกหอย พวกเขาทั้งสองกินมันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อคนในตระกูลเฉียนเห็นเข้าก็เกิดความรู้สึกอยากชิมขึ้นมา รวมทั้งเมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงที่กินเข้าไปแล้วไม่เป็นอะไร เฉียนฟู่จึงกัดชิมคำนึง ทำให้ได้รู้ว่าอาหารชนิดนี้มันมีรสชาติที่อร่อยและเนื้อของมันก็นุ่มมาก พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างชื่นชมว่า “สาวน้อย อาหารรสมือของเจ้าเยี่ยมมาก! สามีของเจ้านี่ช่างโชคดีจริง ๆ!”
เฉียนตัวตัวสูดหายใจเข้าลึก ๆ และคีบหอยลายขึ้นมากินหนึ่งคำ พอได้กินแล้วนางก็ไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังทำให้ความคิดที่มีต่อซูหวานหว่านเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นมากกว่าเดิม
ซูหวานหว่านเพียงแค่ยิ้มออกมา พร้อมกับคีบอาหารให้กับทุกคนได้ลิ้มลอง แล้วพูดเตือนขึ้นมาว่า “ในอนาคตหอยลายพวกนี้อาจจะหากินยากจนถึงขาดแคลนได้ พวกท่านสามารถเลี้ยงมันเอาไว้ได้ ข้าจะสอนพวกท่านเลี้ยงมันเอาไว้หลังจากทานกินมื้อนี้เสร็จแล้ว”
เฉียนฟู่ตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล โดยรู้สึกว่าซูหวานหว่านสามารถนำครอบครัวของพวกเขานั้นไปสู่โชคลาภได้จริง ๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารอย่างมีความสุขอยู่นั้น ทันใดนั้นแม่ของเฉียนฟู่ก็ถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงประสบพบเจอมา หญิงสาวจึงพูดออกมาว่า “ข้ามีแซ่ว่าซู ส่วนเขามีแซ่ว่าฉี พวกเรามาจากเมืองหลวง พวกเราเป็นเด็กกำพร้า แล้วพวกเราก็พบเจอกันโดยบังเอิญเลยแต่งงานกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เฉียนตัวตัวก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาและพูดว่า “แล้ว…แล้วพ่อกับแม่ของเจ้าล่ะ?”
“พ่อกับแม่ของข้า…นั้นตายแล้ว” ซูหวานหว่านพูดออกมา และถึงปากของนางจะยิ้มออกมา หากแต่ทุกคนกลับรู้สึกเศร้าใจมาก
เช่นนั้นทุกคนจึงเลือกที่จะไม่ถามต่อ และก้มหน้าลงกินข้าวเงียบ ๆ ไม่ถามเรื่องของฉีเฉิงเฟิงต่อเช่นกัน
เฉียนตัวตัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า หลังอาหารเที่ยงขณะที่เด็กสาวกำลังจะเก็บโต๊ะอาหาร นางจึงจับมือของซูหวานหว่านมาพร้อมกับเอ่ยขอโทษ มันทำให้หญิงสาวรู้ว่าเฉียนตัวตัวไม่ได้มีเจตนาไม่ดีต่อนางตั้งแต่แรก เพียงแค่เมื่อนางเห็นซูหวานหว่านในครั้งแรก นางเพียงอิจฉาที่ซูหวานหว่านได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ วาจาท่าทางงดงาม ทำให้นางรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยที่ซูหวานหว่านได้แต่งงานกับผู้ชายที่หล่อเหลา
ซูหวานหว่านแอบถามกับปลาในแม่น้ำหรือสัตว์เลี้ยงบริเวณแม่น้ำใกล้ ๆ เกี่ยวกับคนตระกูลเฉียนแล้ว ทำให้นางได้รู้ว่าเฉียนตัวตัวไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของตระกูลเฉียน เพราะเฉียนตัวตัวนั้นถูกคนในตระกูลเฉียนพบเข้าในบริเวณตกปลา เลยกลัวว่าจะมีสัตว์อื่น ๆ มาทำอะไรอันตรายจึงนำกลับมาเลี้ยงดู
หากไม่รู้ชีวิตในเบื้องหลังชีวิตของนาง ซูหวานหว่านก็อาจจะไม่ให้อภัยนาง
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉียนตัวตัวที่เผยความละอายใจออกมา ซูหวานหว่านจึงปลอบโยน “ไม่เป็นไร เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันแล้วกันไป ข้าก็อายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปีเท่านั้น พวกเราสามารถเป็นพี่น้องกันได้ หากเจ้าไม่รังเกียจอะไร ก็สามารถเรียกข้าว่าพี่ซูได้นะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เฉียนตัวตัวหัวเราะออกมาอย่างดีใจ พลันรู้สึกว่าเหมือนว่ามีบางสิ่งติดอยู่บริเวณลำคอ และนางก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ซูหวานหว่านเกิดอาหารตกใจและผลักให้เฉียนตัวตัวนั่งลง หญิงสาวรู้สึกว่าคอของเฉียนตัวตัวนั้นเริ่มบวมขึ้น หน้าก็บวมเล็กน้อย เหมือนแพ้อะไรบางอย่าง!
แม่ของเฉียนฟู่ที่เข้ามาเก็บจานเห็นเข้าก็เกิดรู้สึกตื่นตระหนก ตะโกนเรียกผู้เป็นสามี เมื่อนางมองไปที่ลำคอของเฉียนตัวตัวก็พบว่ามันบวมมากราวกับโดนผึ้งต่อย จึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ “สาวน้อย ข้าบอกแล้วว่าหอยลายนี้มันกินไม่ได้! แต่เจ้ากลับนำมันมาทำให้พวกเรากินกัน! แล้วตอนนี้มันเป็นอย่างไร! ลูกสาวของข้ากินเข้าไปเป็นพิษ! เจ้าจะมาว่าข้าไม่ได้นะหากข้าไม่สามารถสุภาพกับเจ้าในฐานะแขกได้ เจ้าจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ข้ามาอย่างน้อยเป็นเงินยี่สิบหรือสามสิบตำลึง!”
พ่อของเฉียนฟู่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่ได้หวังดีต่อพวกเราจริง ๆ ลูกสาวของข้าต้องมาป่วยแบบนี้ เจ้าจะต้องจ่ายค่าชดใช้มา! พวกเราจะพานางไปรักษาเอง!”
“แน่นอนว่าเรื่องชดใช้ข้าจะจ่ายค่าให้ แต่ว่าตอนนี้ข้าจะช่วยรักษาเฉียนตัวตัวก่อน” ซูหวานหว่านพูดออกมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่สมควรได้รับเงินค่าชดเชย” ฉีเฉิงเฟิงเดินออกมาจากด้านหลังห้องครัว เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ พ่อของเฉียนฟู่ก็หน้าซีดลงทันที “ฉีเฉิงเฟิง แสดงว่าเมื่อกี้…เจ้าได้ยินหมดทุกอย่างแล้วอย่างงั้นหรือ?”
สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่? ซูหวานหว่านชะงักไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะถูกวางแผนเอาไว้ และนางก็เป็นคนถูกปองร้าย!