ฉีเฉิงเฟิงเดินไปหยุดข้างซูหวานหว่าน “พวกเจ้าไม่ได้เพียงแต่วางแผนทำร้ายลูกสาวของเจ้าเอง แต่ยังวางแผนทำร้ายภรรยาของข้าอีกด้วย? หากว่าข้าไม่บังเอิญไปได้ยินเรื่องที่เจ้าพูดกัน ป่านนี้พวกเจ้าคงได้เงินชดใช้ไปแล้ว”
“พวกเรา…” แม่ของเฉียนฟู่เหลือบไปมองผู้เป็นสามีแล้วก็เงียบลง
ซูหวานหว่านเอ่ยถามออกมา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“เจ้าจะให้ข้าพูดหรือว่าพวกเจ้าจะพูดเอง?” ฉีเฉิงเฟิงมองไปที่สองสามีภรรยาด้วยสายตาเย็นชา
“คือว่า…” แม่ของเฉียนฟู่ขบฟันแน่น “ข้าพูดเอง”
ทันทีที่พูดจบนางก็คุกเข่าลงตรงหน้าของซูหวานหว่าน “แม่นางซู ข้าขอโทษ! อาจจะเป็นเพราะว่าข้ากับตาเฒ่านั้นกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการขายปลาไม่ได้ ครอบครัวเราสูญเสียเงินไปเยอะสมควร ดังนั้นข้า…และตาเฒ่าจึงวางแผนกันเพื่อที่จะใช้ความเจ็บป่วยของลูกสาวข้ามาเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้า เพราะว่ามันใกล้ฤดูหนาวแล้ว และข้าก็กังวลว่าครอบครัวของข้าจะไม่มีเงินซื้อของมากักตุนเอาไว้”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ซูหวานหว่านขมวดคิ้วพร้อมกับยิ้มเย็นชา นางไม่สามารถทนมองทั้งสองได้อีกต่อไป และจำได้ว่าแม่ของเฉียนฟู่นั้นจงใจใส่ถั่วลิสงบดลงไปในอาหาร หรือว่า…เฉียนตัวตัวแพ้ถั่วลิสง!
การแพ้ถั่วลิสงนั้นถือว่าเป็นการแพ้ที่รุนแรงมากในการแพ้อาหาร!
มันอาจจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรง!
ซูหวานหว่านระงับความโกรธเอาไว้ในใจ แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อไปแอบหยิบน้ำแร่ออกมาจากมิติฟาร์มเพื่อเอามาให้เฉียนตัวตัวดื่ม โชคดีที่น้ำแร่ช่วยยับยั้งอาการแพ้ได้ ที่นี่ไม่มียารักษาโรค นางจึงทำได้เพียงใช้แต้มแลกยาออกมาให้เฉียนตัวตัวกิน ซูหวานหว่านรู้สึกเสียใจมาก เพราะว่านางกำลังพยายามอย่างมากที่จะเก็บแต้มเอาไว้เพื่อให้หลิงเชอ…
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก “หากเจ้ากล้าเอ่ยปากเพื่อขอยืมจากข้า ข้าก็จะให้เจ้ายืม แต่ตอนนี้… มันคงไม่ได้! ขอบคุณสำหรับการต้อนรับดูแลพวกเราทั้งสองคน ข้าได้ช่วยลูกสาวของเจ้าเอาไว้ได้แล้ว และพวกข้าจะไปจากที่นี่ ต่อจากนี้ไปถือว่าพวกเราไม่เคยเจอหรือรู้จักกันมาก่อน!”
พูดจบ ซูหวานหว่านก็จับมือฉีเฉิงเฟิงเดินออกไป เมื่อเดินออกไปก็พบกับเฉียนฟู่ที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยความตกใจ เฉียนฟู่ที่เห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป เขาก็คุกเข่าลงทันที “แม่นางซู ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าช่างโง่เขลา โปรดยกโทษให้พวกเขาทั้งสองคนได้หรือไม่!”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ไม่นานน้ำตาก็ไหลรินออกมา “บ้านเกิดของข้าอยู่ที่หมู่บ้านซิงเหอ แต่ก่อนบ้านของเราก็เลี้ยงปลา ตั้งแต่ข้าจำความได้บ้านของเราก็มีกินปลาตลอด แต่ว่าหลังจากนั้น…ลุงของข้าได้กลับมาที่บ้าน พร้อมกับยึดที่นั้นไปเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังขับไล่ครอบครัวของพวกเราออกมา จนพวกเราไม่มีที่ซุกหัวนอน ครอบครัวข้าถูกเนรเทศออกมาแล้วนำเงินมาเช่าที่นี่อยู่อาศัย และต้องการพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น แต่ใครจะไปคาดคิดว่าข้านั้นจะได้เจอเจ้า เจ้าสามารถช่วยข้าได้หรือไม่…”
เมื่อเห็นสายตาขอร้องของเขา นางก็เข้าใจถึงความยากลำบากว่ามันเป็นอย่างไร ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็ใจอ่อนและพยักหน้าตกลง “งั้นต่อไปอย่าให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
“ขอบคุณท่านมาก แม่นางซู!” เฉียนฟู่ก้มศีรษะลงกับพื้นจนหน้าผากกลายเป็นสีแดง แม้แต่พ่อและแม่ของเขาก็อดเศร้าใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไรออกมา
ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงจึงอยู่ที่นี่ต่อ ได้บอกเฉียนฟู่ถึงวิธีการเลี้ยงหอยลาย และพากันไปที่แม่น้ำเพื่องมหอยลายและตกปลา เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ให้เฉียนฟู่นั้นพายเรือเข้าไปในเมืองเพื่อนำไปขาย
เมื่อเฉียนตัวตัวหายจากอาการป่วยแล้ว นางก็ไปช่วยงมหอยลายด้วยเช่นกัน ฉีเฉิงเฟิงที่ว่างไม่มีอะไรทำก็ติดตามไปด้วย ในตอนเย็นพวกเขาก็เก็บหอยลายมาได้ถึงห้าถังด้วยกัน
พ่อและแม่ของเฉียนฟู่ช่วยกันจับปลา ส่วนซูหวานหว่านก็คัดเลือกปลาตัวที่ใหญ่ที่สุดห้าสิบตัว และปล่อยปลาตัวเล็ก ๆ ไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พวกเขาต่างช่วยกันขนของขึ้นเรือ และมีคนขึ้นไปด้วยสองสามคน
ซูหวานหว่านคิดว่านางจะต้องเปลี่ยนเป็นเส้นทางบก แต่นางก็ได้รู้จากปากของเฉียนฟู่ว่าหากล่องเรือจากที่นี่ไปและเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ ก็จะสามารถไปถึงในท่าเรือประมงในเมืองได้เลย
ณ ท่าเรือประมง
พวกเขาเดินทางมาถึงในเมืองด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม วันนี้มีตลาดนัด ผู้คนที่มาดูท่าทางมีเงิน เฉียนฟู่พูดออกมาแผ่วเบา “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ไปถามชาวประมงคนอื่น ๆ มาว่าขายปลาอย่างไร ใครจะไปคิด…พวกเขาบอกว่าไม่อยากขายปลาในเมือง เพราะว่ามีพวกอันธพาลคอยรังแกคนที่ขายของที่ตลาดทั้งวัน แล้วบอกว่ามาจากหอการค้า หากใครไม่ให้เงินก็จะถูกทุบตี เรื่องนี้…เจ้าคิดว่ามันจะจริงไหม?”
“พวกเก็บส่วย?” ซูหวานหว่านเงยหน้าขึ้นมองแม่น้ำที่ถูกสายลมพัดเป็นคลื่น ๆ และจมดิ่งไปกับความคิดของตัวเอง ผู้ดูแลหลิวไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนางเลย นางไม่เคยรู้มาก่อน สิ่งนี้ทำให้นางกังวลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางไม่อยากที่จะคิดอะไรให้มากความพร้อมพูดขึ้นมาว่า “วันนี้พวกเราแค่มาขายของ อีกอย่างเจ้าไม่ได้มาขายคนเดียวเสียหน่อย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย”
พูดจบซูหวานหว่านก็กำลังจะก้าวขึ้นท่าเรือ แต่ก็พบว่ามีชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าไม่เป็นมิตรสวมผ้าไหมสีดำก้าวข้ามขึ้นแซงหน้านางไป
ชายคนนั้นถือแท่งเหล็กอยู่ในมือ พร้อมกับเคี้ยวบางอย่างอยู่ในปาก มืออีกข้างหนึ่งก็ลูบผมของตัวเอง ท่าทางเหมือนพวกอันธพาล “เจ้านายของข้าต้องการซื้อปลาของพวกเจ้า!”
อะไรนะ?
มีลูกค้าแบบนี้ด้วยหรือ?
เฉียนฟู่ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา และไม่รู้ว่าควรจะขายดีหรือไม่ พร้อมกับได้ยินคนนั้นพูดออกมาอีกว่า “พวกเจ้ามีปลาทั้งหมดกี่ตัว? เจ้านายของเราต้องการทั้งหมด รีบหยิบเอาเร็วเข้าสิ เสร็จแล้วก็ตามเจ้านายของเราไป!”
ยังจะให้พวกเขาตามไปส่งอีกด้วย? ซูหวานหว่านมองหน้าชายคนนั้นแล้วพูดว่า “ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย เจ้านายของเจ้าจะให้เงินเท่าไรในการซื้อปลานี้อย่างงั้นหรือ?”
“เฮอะ! กล้ามากที่ถามถึงเงินจากเจ้านายข้า! เจ้าเห็นเหล็กในมือของข้าหรือเปล่า?” หลังจากพูดจบ เขาก็ถือแท่งเหล็กไปกระทบกับมือของตัวเองจนเกิดเสียง
เฉียนฟู่เห็นแบบนี้ก็ตกใจ จะให้เขาส่งปลาให้กับพวกเขาไปเปล่า ๆ อย่างงั้นหรือ? เฉียนฟู่พูดออกมาว่า “น้องชาย ปลาหนึ่งตัวในเมืองมีราคา 1 ชั่งต่อ 4 เหรียญ แต่ข้าจะให้เจ้าในราคาแค่ 3 เหรียญต่อ 1 ชั่ง เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง? วันนี้ข้าเอามาขายในจำนวนที่เยอะมาก หากเจ้าจะเอาทั้งหมดนี้ ข้าจะปลาให้อีกสองตัวโดยไม่คิดเงิน”
“เจ้าไม่ได้ยินที่เจ้านายของข้าสั่งหรืออย่างไร?” ชายคนนั้นยกแท่งเหล็กในมือขึ้นอีกครั้งและกำลังจะตีไปที่เฉียนฟู่ แต่ทันใดนั้นฉีเฉิงเฟิงก็เข้ามาขวางและจับแท่งเหล็กเอาไว้ ก่อนจะยกขาเตะไปที่ชายคนนั้นอย่างแรงจนกระเด็นตกลงไปในแม่น้ำ!
ตู้ม!
เสียงคนตกกระทบน้ำดังขึ้น ทำให้น้ำสาดกระเซ็นขึ้นสูง ทำให้ฉีเฉิงเฟิงรีบกระโดดขึ้นฝั่งทันที ส่วนเฉียนฟู่ยังตกอยู่ในอาการตกใจ ทำให้ร่างกายท่อนล่างเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
เมื่อชาวประมงคนอื่น ๆ เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ปรบมือและตะโกนออกมาว่า “สมควรโดนแล้ว! คนชั่วแบบนี่จะต้องได้รับบทเรียน!”
ชายคนนั้นตะโกนขึ้นมาจากในแม่น้ำ “พวกเจ้า…พวกเจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้านายของข้าเป็นใครสินะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาเตะข้า! คอยดูได้เลยว่าต่อไปเจ้าจะอยู่ในเมืองนี้ต่อไปไม่ได้”
“โอ้?” ซูหวานหว่านกระโดดลงเรือ จับไม้พายของเฉียนฟู่แล้วฟาดไปที่หัวของชายคนนั้น ทำให้เขาชายจมลงไปอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
เมื่อพวกเขาจอดเรือเอาไว้ที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้ว นางก็จ้างเกวียนวัวเพื่อเดินทางไปยังร้านอาหารเจวียเซ๋อ เมื่อมาถึงประตูหลังร้าน คนในร้านก็เห็นว่ามีคนลากสิ่งของเข้ามา เขาก็โบกมือไล่และพูดว่า “ไป ไป ไป พวกเราไม่ต้องการของ!”
“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย” ซูหวานหว่านก็ได้เลิกคิ้วถาม
“คิดว่าคนอย่างข้าจะพบได้ง่าย ๆ ตามท้องตลาดอย่างงั้นหรือ?” ชายคนนั้นโบกมือไปมาอีกครั้ง “เจ้าจะไปไม่ไป หากไม่ไปดี ๆ ล่ะก็ข้าจะตีเจ้าเอง!”
คนผู้นี้…ซูหวานหว่านมองก็รู้สึกเสมอว่าคิ้วของบุคคลนี้ค่อนข้างคล้ายกับของคนนั้น โดยคิดว่าหอการค้าน่าจัดการเกี่ยวกับการจัดสรรหาปลาที่ร้านอาหารเจวียเซ่อ “ถอยออกไป ข้าต้องการพบผู้ดูแลหลิว”
“ผู้ดูแลหลิวเป็นคนที่เจ้าจะสามารถเจอได้ง่าย ๆ งั้นรึ?” ชายคนนั้นคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เหลวไหล เขาจึงหยิบไม้กวาดที่พิงอยู่ด้านข้างพร้อมกับทำท่าไล่ เฉียนฟู่ถึงกับตกใจดึงตัวซูหวานหว่านเข้ามาใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “แม่นางซู จะไม่ตื่นตระหนกก็คงจะไม่ได้แล้ว เจ้าว่าพวกเราควรกลับไปก่อนดีไม่ ร้านอาหารใหญ่ ๆ แบบนี้ไม่ซื้อของพวกเราหรอก…”
“ทำไมจะไม่ได้?” ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มออกมา กำลังจะพุ่งเข้าไปแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังของนาง
“อ่า! ที่แท้พวกเจ้าก็วิ่งมาที่นี่นี่เอง! มาให้ข้าจับพวกเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ซูหวานหว่านหันศีรษะของตัวเองไปมองและเห็นว่าคนที่พูดจาหยิ่งผยองคือคนเลวคนเมื่อกี้นั่นเอง!
ชายคนนั้นตะโกนใส่คนเฝ้าหน้าประตู “น้องข้า จับพวกมันเอาไว้! แล้วยึดปลาของมันมาซะ!”
“ได้!” ชายคนนั้นก็ตอบรับและพุ่งตัวเข้าใส่ซูหวานหว่านทันที