ตอนที่ 212 สุดท้ายก็กลายเป็นทำให้ทุกคนเกลียด
“เจ้าเป็นใคร หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”
ซูหวานหว่านเอื้อมมือออกไปหมายคว้าเขาเอาไว้ แต่ก็คว้าได้แค่เพียงอากาศเท่านั้น!
หญิงสาวยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ก็พบว่าสิ่งที่ตนพยายามคว้าอยู่เมื่อครู่นั้นคือเงา
เป็นเงาของเสื้อผ้าที่แขวนเอาไว้!
คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้!
แต่… เหตุใดนางถึงรู้สึกแปลก ๆ? ซูหวานหว่านก้มศีรษะลงมองดูเสื้อผ้าบนร่างกายของตัวนาง ก็พบว่ามันยังเรียบร้อยอยู่ และดูเหมือนไม่มีใครแตะต้องเสื้อผ้าของนางด้วย หรือว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน?
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงทันที นางเดินไปที่โต๊ะเพื่อจุดเทียน และพบว่าที่นอนข้าง ๆ มีร่องรอยของคนมานอนกับนางด้วย แต่พอมองดูก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ตรงนั้นเลย!
หลังจากจุดเทียนแล้วนางก็เดินกลับไปที่เตียง หญิงสาวเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ถึงแม้จะหลับอยู่แต่นางก็รู้สึกว่าบนเตียงนอนของนางแคบลง เหมือนว่ามีคนกำลังนอนเบียดอยู่ข้าง ๆ
เมื่อซูหวานหว่านนอนลง เปลือกตาของนางหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนางหลับสนิทชายคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากคาน ยกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไป เขาเอื้อมมือออกไปลูบคิ้วของซูหวานหว่านแล้วถอนหายใจ “พรุ่งนี้ข้าจะต้องไปเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้สุดท้ายนี้จะมีชีวิตอยู่หรือว่าตาย! เจ้าต้องรอข้ากลับมา เจ้าจะแต่งงานกับซุนฉางอานไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นข้าจะโกรธมากและจะไม่รอให้เจ้าโต อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จนกินเจ้าเข้าไป!”
เสียงพึมพำนี่ไม่ใช่เสียงของฉีเฉิงเฟิงหรอกหรือ?
ฉีเฉิงเฟิงนอนกอดซูหวานหว่านเอาไว้ทั้งคืน และออกจากห้องไปก่อนรุ่งสาง
ไม่รู้ว่าทำไมช่วงหลังที่นางเดินกลับมาเข้านอนถึงรู้สึกได้ว่าตัวเองหลับฝันดี เมื่อนางตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียก็เห็นพระอาทิตย์อยู่เหนือขอบฟ้าเสียแล้ว นางลุกขึ้นไปสวมเสื้อผ้าก่อนจะออกจากห้องไป เมื่อออกไปก็พบซุนฉางอานยืนรออยู่ที่ประตูห้องพร้อมกับข้าวต้มสองชาม เมื่อเห็นซูหวานหว่านเขาก็มีใบหน้าที่แดงก่ำพูดออกมาว่า “ซู…เฟิงอวิ๋นได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
“ขอบคุณนะ” ซูหวานหว่านชวนอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน โดยคิดว่าคงจะไม่เป็นไรถ้ามีซุนฉางอานติดตามนาง ซูหวานหว่านคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และร่วมมือทำงานกับซุนฉางอาน โดยให้ซุนฉางอานมากินอาหารที่ร้านเจวียเซ่อเป็นเวลาห้าวันติดต่อกัน แล้วให้ผู้คนที่สนใจอยากกินอาหารหรือดื่มน้ำชากับเขาสามารถมานั่งด้วยได้หากคนนั้นชนะประมูล อีกทั้งยังสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการสอบรับราชการเป็นพิเศษได้เช่นกัน
แต่ว่าซุนฉางอานกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เฟิงอวิ๋น เจ้าให้เงินข้าหนึ่งพันตำลึงต่อเดือน…มันมากเกินไปหรือเปล่า ข้าไม่ได้ทำกำไรให้ร้านมากขนาดนั้น”
“อย่ากังวลไปเลย นี่เป็นสิ่งที่ข้าคิดจะเสนอให้เจ้าอยู่แล้ว” ซูหวานหว่านพูดออกมาด้วยความมั่นใจ และนางเองก็ไม่คิดว่าวิธีนี้จะเสียประโยชน์อะไร อีกอย่างก็จะต้องมีเหล่าบัณฑิตที่จะสอบเข้ารับราชการมาที่ร้านนางเยอะขึ้น ทำให้ร้านมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีกแน่
ส่วนตัวนางเองก็ไม่ได้มีเวลาหยุดพักผ่อน นางพาคนไปที่แม่น้ำเพื่อไปงมหาหอยลายและคิดทำอาหารจานใหม่ขึ้น ส่วนคุณชายถังก็ได้ส่วนแบ่งในครั้งนี้ ซึ่งเขาบอกว่าให้นางได้หกสิบส่วน และตัวเขารับแค่สี่สิบส่วนจากยอดขายทั้งหมด เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรมากมาย ได้สี่สิบก็ถือว่าดีสำหรับเขาแล้ว สิ่งนี้ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางจึงตกลงทันที
ซูหวานหว่านนึกถึงฮวาเจียวที่ซูเสี่ยวเหยียนพยายามจะเอาไปก่อนหน้านี้ นางจึงเข้าไปที่มิติฟาร์มเพื่อไปดูต้นของมัน และพบว่าเมล็ดที่นำมาปลูกตอนนั้น ตอนนี้มันเติบโตเป็นต้นใหญ่แล้ว อีกทั้งลำต้นของมันก็สูงมากอีกด้วย เมื่อเมล็ดของมันแก่จัดมันก็จะหล่นลงสู่ที่ดิน หากไม่มีใครเก็บมันขึ้นมาก็จะทำให้มีต้นกล้าจำนวนมากโตขึ้น
ซูหวานหว่านเข้ามาในมิติฟาร์มเพื่อมาปลูกผัก นางยุ่งอยู่กับการทำงานในมิติฟาร์มอยู่นานพอสมควร จนจำนวนแต้มในมิติฟาร์มเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก นอกจากเสียงที่นางทำงาน เสียงของสัตว์ นางก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ในมิติฟาร์มอีกเลย
ซูหวานหว่านยืนอยู่ในแปลงของมิติฟาร์ม พยายามมองหาว่าหลิงเชออยู่ที่ไหน แต่นางก็ไม่เจอเขา กระทั่งเงาเสียงของหลิงเชอที่มักจะพูดบอกเมื่อคะแนนเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
หลังจากจัดการทำงานในมิติฟาร์มมาหลายวันแล้ว ซูหวานหว่านก็นำฮวาเจียวมาบดให้ละเอียด จากนั้นก็นำไปทำอาหาร ด้วยรสชาติของพริกและฮวาเจียวทั้งสองอย่างนี้มันช่วยเพิ่มให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งยังสามารถนำมาปรุงแต่งรสชาติของอาหารให้มีความแตกต่างกันด้วยอีก ร้านอาหารเจวียเซ่อก็จะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน!
ทำให้ผู้คนชนชั้นสูงและชาวบ้านต่างอยากมาต่อแถวลิ้มลองรสอาหารของร้านกันทั้งเมือง
ซูหวานหว่านแอบใช้เวลาพักผ่อนหนึ่งวันของตัวเองไปนำอาหารออกมาจากมิติฟาร์มมาปรุงรสอย่างเพลิดเพลิน ทันใดนั้นก็พบว่าไม่มีผู้ใดที่ร้านหงเหมินเลย! ซูหวานหว่านตกใจเป็นอย่างมาก ร้านหงเหมินที่อยู่ตรงข้ามกันกำลังจะปิดตัวลงจริง ๆ อย่างงั้นรึ!
ปัง ปัง ปัง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” ซูหวานหว่านพูด
เมื่อประตูถูกเปิดออกก็พบว่าเป็นซูเสี่ยวเหยียน เจิ้นซิวซิว และซูต้าเฉียง
ทั้งสามคนเดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้อาบน้ำมาสองสามวันแล้ว
ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนซูบผอมลงไปมาก อีกทั้งร่างกายของนางก็เหมือนจะผอมตามลงไปด้วย สีหน้าของนางซีดเซียว ซูหวานหว่านก็ได้สังเกตเห็นว่าท้องของนางแบนราบลง เลยรู้ได้ในทันทีว่าซูเสี่ยวเหยียนดื่มยาขับลูกเข้าไป และตอนนี้ก็แท้งลูกไปแล้ว หญิงสาวพยายามขบคิดว่าเหตุใดซูเสี่ยวเหยียนถึงเลือกทำแท้งทั้งที่ตัวเองอายุยังน้อยอยู่ ในช่วงที่นางไม่ทันระวังตัว เจิ้นซิวซิวก็วิ่งเข้ามาหานาง
“เฟิงอวิ๋น! เจ้ามันคนโหดร้ายเหลือเกิน! เจ้าพาข้าและสามีของข้าไปที่บ้านตระกูลเจียและบังอาจทำลายบ่อเงินบ่อทองของครอบครัวเราไป! เจ้าจะต้องชดใช้ให้กับครอบครัวของเรา!”
เหลวไหล! ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะนาง ครอบครัวของพวกเขาไม่มีวันที่จะได้อาศัยอยู่ในบ้านปูนด้วยซ้ำหากไม่ใช่เพราะนางเป็นคนสร้างมันขึ้นมา! ตอนนี้ยังจะมาพูดจาเช่นนี้อีก!
ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย ผลักเจิ้นซิวซิวออกไป และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ใครก็ได้! ไล่พวกเขาทั้งหมดออกไปจากร้านที!”
ทันทีที่เสียงนั้นเงียบลง ก็มีชายร่างใหญ่สองคนพุ่งเข้ามาและจับตัวเจิ้นซิวซิวเอาไว้
“เฟิงอวิ๋น เจ้าอย่าเพิ่งตกใจ แม่ของข้าอาจหยาบคายเกินไป ได้โปรดอย่าไปสนใจนางเลย ข้ามาที่นี่ก็เพราะว่าข้ามีเรื่องกิจการอยากจะคุยกับเจ้า” ซูเสี่ยวเหยียนกล่าวออกมา
“ข้าไม่ทำกิจการร่วมกับเจ้า” ซูหวานหว่านปฏิเสธ “ด้วยทักษะและนิสัยของเจ้าแล้ว ข้ายิ่งไม่อยากเชื่อ ใครก็ได้…”
ซูหวานหว่านพลันพูดออกมาเสียงดังอีกคราว่า “ใครก็ได้ มาเอาตัวพวกเขาออกไปที”
“เจ้าจะไม่ฟังข้าก่อนจริง ๆ เหรอว่าข้ามีอะไรอยู่ในมือ มันเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม! เจ้าเพียงแค่ใส่ใบแช่ในน้ำเป็นเวลาครึ่งก้านธูป แค่นี้เจ้าก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นน้ำเพื่อความงามได้อย่างง่ายดาย! อีกทั้งยังเห็นผลเร็วมาก ๆ! ข้าอยากจะขายมันให้เจ้า หากเจ้าตกลงซื้อมันในราคาหนึ่งพันตำลึง!” ซูเสี่ยวเหยียนพูดออกมาแบบไม่เต็มใจ
มีเรื่องแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ? นางไม่เชื่อ! ซูหวานหว่านยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ส่งแขก”
“ขอรับ”
ครอบครัวของซูเสี่ยวเหยียนถูกจับโยนออกมาจากร้าน และมีหลายคนที่รู้จักซูเสี่ยวเหยียนก็ได้โยนสิ่งของที่อยู่ในมือของตัวเองใส่ครอบครัวของนางทันที อีกทั้งยังมองด้วยสายตารังเกียจ แต่เจิ้นซิวซิวกลับพูดว่า “ลูกสาว! เก็บอาหารพวกนั้นขึ้นมา! พวกเรามีอาหารเย็นกินแล้ววันนี้!”
“ใช่แล้ว ลูกสาว! เจ้าต้องมีพลังเสียก่อนจึงจะได้คิดออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปให้ร่ำรวย จะได้เป็นหน้าเป็นตาให้แก่ครอบครัว!” ซูต้าเฉียงพูดขึ้นมาอีก
“…”
สองคนนี้ทำให้นางต้องขายขี้หน้านัก! ซูเสี่ยวเหยียนรู้สึกโกรธหากไม่ใช่เพราะว่านางไม่รู้ว่าดอกไม้นั้นเป็นของจริงหรือไม่ นางก็คงไม่มาหาซูหวานหว่านและเสนอราคาถูก ๆ ให้กับนางแบบนั้นหรอก! แต่ตอนนี้สิ่งที่ได้มากลับมีแต่กลิ่นขยะเน่าเหม็น!
ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ซูเสี่ยวเหยียนรีบวิ่งหนีออกจากฝูงชนที่ล้อมรอบพวกนางเอาไว้ทันที
เมื่อซูหวานหว่านมองจากทางหน้าต่างนางก็รู้สึกสะใจ พลันนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายก่อนหน้านั้น…
รุ่งเช้าวันถัดมา นางก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับสินค้าความงามชนิดใหม่ในเมือง! ขวดขนาดเล็กขายในราคาหนึ่งตำลึง แต่กลับมีผู้คนมากมายสนใจมัน
ซูหวานหว่านขอให้เด็กในร้านของนางไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ และก็ได้รับรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนี้คือซูเสี่ยวเหยียน นอกจากนี้ซูเสี่ยวเหยียนยังได้นำมาวางขายตรงข้ามกับร้านความงามของนางอีกด้วย! ดังนั้นนางจึงเดินไปดูด้วยความอยากรู้ว่าซูเสี่ยวเหยียนขายอะไรกันแน่!