ตอนที่ 224 พบฉีเฉิงเฟิง
“ขอรับ” คนใช้คนนั้นตอบรับแล้วนำภาพที่ร่างให้ชายคนนี้ดูทันที เมื่อมองดูและเปรียบเทียบแล้ว ชายคนนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสามไปอาศัยอยู่ต่างเมือง ได้ยินข่าวลือว่าเขาได้แต่งงานกับสาวชนบทคนหนึ่ง หญิงคนนั้นดูนิ่งสงบและเด็ดขาดมาก ดูไม่เหมือนคนในภาพ และอีกอย่างหนึ่งในภาพวาดนี้ ช่างน่าเกลียดนัก ดูไม่เหมือนนางเลย!”
หากซูหวานหว่านอยู่ที่นั่น นางจะต้องตกใจอย่างแน่นอน หากเห็นว่าใครวาดภาพด้วยพู่กันลงแบบลวก ๆ ค่อนข้างคล้ายกับภาพที่ฮวงเหล่าวาดเอาไว้นางก่อนหน้านี้ ซึ่งมันน่าเกลียดเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน!
เด็กรับใช้กล่าวออกมาว่า “องค์ชายรอง นี่เป็นคนของตระกูลเจียงแห่งเมืองโจวที่ให้ความร่วมมือกับพวกเราวาดภาพส่งมาให้ และคนวาดภาพก็คือเจียงเส้าปังลูกชายของตระกูล คุณชายท่านนั้น ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกฮูหยินขององค์ชายสามกลั่นแกล้งจนทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้ จึงทำให้ทักษะการวาดภาพของเขาแย่เช่นนี้ เดิมทีเขาไม่ได้วาดแย่ถึงเพียงนี้”
“ป่วยหนักแล้วจะส่งผลกระทบต่อทักษะการวาดภาพ? เจ้าคิดว่าใครที่จะมีฝีมือการวาดภาพได้ดีเท่าเปิ่นกง*[1]อีก?” องค์ชายรองฉีเต๋อหลงหัวเราะและมองไปที่ซูหวานหว่านด้วยแววตาขี้เล่น “เจ้าจงไปสอบถามแม่นางคนนั้นว่านางเป็นลูกสาวตระกูลใด เหตุใดการแต่งตัวธรรมดาเช่นนั้นกลับทำให้เด็กภายในร้านสามารถคุกเข่าลงได้!”
“ขอรับ” คนใช้ตอบปากรับคำ
ซูหวานหว่านที่กำลังนั่งรออาหารมาเป็นเวลาหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้นอาหารก็ถูกยกขึ้นมา หน้าตาของมันดูน่าลิ้มลอง แต่รสชาตินั้น… แย่มาก!
ซูหวานหว่านไม่ชอบมันอย่างมาก และนางก็รู้สึกว่าท้องของนางไม่สามารถกินอาหารแบบนี้ลงไปได้ ดังนั้นนางจึงเรียกเด็กภายในร้านมาและบอกว่า “เก็บเงิน”
“ขอรับ!” เด็กภายในร้านเดินเข้ามาอย่างมีความสุข แต่เมื่อเขาเห็นว่าอาหารบนโต๊ะถูกชิมไปเพียงไม่กี่คำ เขาก็รู้สึกตกตะลึงในทันทีและสีหน้าของเขาก็ดูเปลี่ยนไป “คุณหนู ท่านรู้จักชื่อเสียงร้านอาหารฟู่ไหลของเราหรือไม่?”
คำพูดของเขากำลังจะเหน็บแนมนางอยู่!
ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “ข้าไม่รู้”
“เจ้า!” ชายคนนั้นรู้สึกหมดหนทาง คนมีเงินผู้นี้ไม่เคยกินอาหารของร้านของพวกเขาเลย เมื่อคิดว่านางไม่ใช่คนที่นี่ เขาก็พูดออกมาอย่างอดทนว่า “ร้านอาหารฟู่ไหลของเรานั้นเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวง พวกคนมั่งมีและเหล่าขุนนางต่างต้องต่อแถวมาลิ้มลองรสชาติของร้านเรา! แต่เจ้ากลับกินไปเพียงไม่กี่คำ มันเหมือนกับว่าเจ้าไม่เห็นแก่หน้าของร้านพวกเรา หากเจ้ายังมาอีกเป็นครั้งที่สองข้าก็คงไม่ต้อนรับเจ้าแล้ว!”
มีแบบนี้ด้วยหรือ?
ซูหวานหว่านกระตุกยิ้ม “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า หากอาหารมันไม่อร่อย ก็ยังต้องกินมันให้หมดเพื่อเป็นการไม่เสียมารยาท ข้าว่าเช่นนี้มันไม่เห็นสมเหตุสมผลเลย!”
“อาหารของร้านเราไม่อร่อยตรงไหนกัน!” ชายคนนั้นเลิกคิ้วชี้ไปที่จานอาหารบนโต๊ะและพูดพร่ำไปเรื่อยจนซูหวานหว่านรู้สึกรำคาญ นางโยนเงินออกมาแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่จ่ายเงิน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า หากเจ้าอยากจะกินก็เชิญ ถือว่ามือนี้ข้าเลี้ยง!”
“เจ้า…” เด็กภายในร้านคนนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“หยุดพูดแล้วรีบรับเงินไปซะ อย่ามาขวางทางข้า รู้หรือไม่ว่าการที่ข้าเข้ามากินอาหารในร้านของพวกเจ้าทำให้ข้าเสียเวลามากเพียงใด!” ซูหวานหว่านพูดออกมา และขณะที่นางกำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง…
ทันใดนั้นชายชราที่กำลังเดินเข้ามาที่ประตู เอื้อมมือออกไปจับซูหวานหว่านเอาไว้แล้วพูดว่า “แม่นาง! เจ้าเพิ่งพูดบอกว่าอาหารในร้านนี้ไม่อร่อยอย่างงั้นรึ?”
“ใช่!” ซูหวานหว่านตอบ
เมื่อเด็กในร้านเห็นชายชราก็รีบวิ่งออกมาและพูดว่า “พ่อครัวเฟย! เจ้ามาก็ดีแล้ว แม่นางคนนี้บอกว่าอาหารในร้านของเราไม่อร่อย!”
ดูเหมือนพ่อครัวเฟยผู้โด่งดัง จะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเฟยหยูเหมือนก่อนหน้าเสียแล้ว!
เฟยหยูจึงเอ่ยออกมาว่า “แม่นาง เจ้าได้โปรดบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าอาหารมันไม่อร่อยตรงไหน?”
ซูหวานหว่านก็ชี้ไปที่ปลาบนโต๊ะแล้วพูดว่า “เนื้อปลานั้นทำได้แย่มาก น้ำแกงนั้น… ความร้อนยังไม่พอ เต้าหู้เลยไม่นิ่ม…”
เฟยหยูขมวดคิ้วแน่น “เป็นไปไม่ได้! พ่อครัวในร้านอาหารนี้ล้วนเป็นลูกศิษย์ของข้าทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ที่อาหารจะไม่อร่อย!”
ท่าทางของเขาดูเหมือนจะมั่นใจตนเองเกินไปแล้ว เหตุใดเขาถึงไม่ลองชิมด้วยตัวเอง ซูหวานหว่านสั่งให้เขาลองชิมอาหาร และพูดออกมาว่า “อาหารมีรสชาติแย่มาก และรสชาติของมันเทียบเท่าฝีมือข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่คุ้มค่ากับราคา อีกทั้งยังเป็นร้านอาหารในเมืองหลวงอีก ข้าไม่รู้ว่าคนที่ยังไม่เคยกินอาหารอร่อยพูดจาออกมาเหลวไหลได้อย่างไร”
“เจ้า!” เฟยหยูลูบเคราของตนเองอย่างโกรธเคือง “หาเจ้าทำอร่อยจริงเช่นนั้นทำให้ข้าดูเสีย! หากเจ้าทำอร่อย เมื่อมาที่เมืองหลวงอีกเมื่อใดข้าจะไม่คิดเงินเจ้าอีกแม้แต่เหรียญเดียว!”
“ตกลง” ซูหวานหว่านตอบรับไปอย่างไม่ลังเล หญิงสาวเดินหายเข้าไปในครัวสัก ไม่นานก็ยกอาหารมาสักสองสามจาน ปลานึ่ง ปลาตะเพียนน้ำแดง เต้าหู้ตุ๋นกะหล่ำปลี ฯลฯ ซึ่งอาหารชุดนี้เต็มไปด้วยรสชาติที่แตกต่างหลากหลาย
ซูหวานหว่านนำออกมาวางไว้บนโต๊ะ นางไม่ได้ทำอย่างลวก ๆ แม้แต่น้อย แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ผ่านการทำมาอย่างพิถีพิถัน
หลังจากนั้นเฟยหยูก็ตักขึ้นมาชิม ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย อาหารของซูหวานหว่านรสชาติไร้ที่ติ!
หลังจากนั้นเมื่อกลับกินอาหารของพ่อครัวร้านอีกครั้ง แน่นอนว่ารสชาติของมันแย่มาก เฟยหยูไอในลำคอ ปากพูดออกมาว่า “ข้าจะขอรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ต้องเป็นเขาหรือเปล่าต้องที่ต้องเป็นลูกศิษย์ของนาง! นางไม่มีเวลาว่างมาทำงานให้กับเขาหรอก
ซูหวานหว่านส่ายหน้า รีบกินอาหารอย่างรวดเร็ว และเดินออกไปพร้อมกับพูดออกมาว่า “ไม่มีเวลา!”
แม่นางคนนี้คงจะไม่รู้จักคำว่าประจบประแจง!
เฟยหยูอยากจะเดินตามนางออกมาไป ดวงตาของเขาจ้องมองแผ่นหลังของนางด้วยความเย็นชาและเอ่ยออกมาว่า “หญิงสาวอารมณ์เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนจัดการเขาแทนข้า!”
เด็กรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ไอและเอ่ยออกมาว่าที่จริงแล้วซูหวานหว่านมีเงินหลายหมื่นตำลึง และนางก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน! แน่นอนว่านางคงไม่สนใจเป็นลูกศิษย์อย่างแน่นอน!
ซูหวานหว่านเดินออกจากร้านอาหารมาและพยายามมองหาโรงน้ำชา แต่ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหานาง คว้าเอาถุงเงินที่เอวของซูหวานหว่านไปทันที!
นี่มันคือการขโมยชัด ๆ!
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและยื่นมือออกไปคว้าร่างของชายคนนั้นเอาไว้ หญิงสาวออกแรงกดที่ข้อมือของอีกฝ่าย และด้วยแรงอันมหาศาล มันก็ทำให้ข้อมือของเขาเคล็ดในทันที จนทำให้ขยับมือไม่ได้ไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว!
แม่นางดุเหมือนเสือเช่นนี้ อย่ายุ่งกับนางเลยดีกว่า ชายคนนั้นคิดพร้อมรีบวิ่งหนีไปเลยทันที
“กล้ามาขโมยเงินข้าอย่างงั้นเหรอ? เจ้าใจกล้ามาก!” ซูหวานหว่านรีบวิ่งเข้าไปเตะชายคนนั้นอีกครั้ง ทำให้ชายคนนั้นรู้สึกเหมือนจุกหน้าอก ไม่นานเขาก็ไอกระอักเลือดออกมา “คุณหนู ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!”
ซูหวานหว่านไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา นางออกแรงเตะเขาอีกครั้งแล้วเดินจากไป
บนถนนนั้นมีคนอยู่ไม่น้อย เมื่อพวกเขาเห็นพฤติกรรมของซูหวานหว่านก็พูดออกมาอย่างชื่นชมว่า “แม่นาง เจ้ากล้าหาญมาก”
“เก่งมากแม่นาง”
“…”
องค์ชายรองที่ยืนดูอยู่ไม่ไกลขมวดคิ้ว เคาะหัวคนใช้ แล้วพูดออกมาอย่างเคร่งเครียดว่า “พวกเจ้ามีปัญญาจัดฉากได้แค่นี้หรือ เลือกไอ้พวกไร้ประโยชน์แบบนั้นมา จะให้ข้ากล้าฝากฝังงานกับเจ้าต่อไปอีกได้อย่างไร!”
“องค์ชายรอง ข้าผิดไปแล้ว!” คนใช้พูดพร้อมตบปากตัวเอง ฉีเต๋อหลงเหลือบมองดูเขาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ไปรับการลงโทษ”
ในเวลานี้ ซูหวานหว่านกำลังเดินอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย นางคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวว่าตนเองถูกองค์ชายรองฉีเต๋อหลงหมายตาเอาไว้แล้ว นางมองหาโรงเตี๊ยมเพื่อหาที่นอนพักผ่อน
บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน และมีร้านค้ามากมาย สายตาของซูหวานหว่านถูกดึงดูดด้วยสิ่งของมากมายบนถนน
ตกดึก อากาศภายในเมืองหลวงค่อนข้างหนาวเย็น ซูหวานหว่านเห็นว่ามีร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปอยู่ นางกำลังจะเดินเข้าแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นชายร่างสูงยืนอยู่ในร้าน ชายคนนั้นสวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีทอง ปักลายดอกไม้ บริเวณเอวห้อยด้วยหยกแกะสลักสีเขียวเสื้อผ้านั้นปักปิ่นปักผมที่ทำมาจากจากไม้จันทน์ ดูฟุ่มเฟือยเป็นอย่างมาก
เมื่อชายคนนั้นหันศีรษะมา ซูหวานหว่านก็ต้องตกใจเพราะว่านั้นคือฉีเฉิงเฟิง!
ซูหวานหว่านกำลังจะข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก็เห็นสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ข้างฉีเฉิงเฟิง!
ทั้งสองดูเป็นคู่ที่เหมาะสม หากใครเห็นเขาก็พากันมองด้วยความอิจฉา!
[1] 本宫 เปิ่นกง คำเรียกของฮ่องเฮา,หรือพระสนมยศสูง องค์หญิงใช้เรียก