ตอนที่ 262 แสดงความรักอีกครั้ง
“ฝ่าบาท! ไฉนท่านถึงไม่กล้าบอกความจริงกับนางไปเล่าเพคะ มันเป็นความต้องการของท่าน หากทำแบบนี้อาจจะทำให้นางโดนคนอื่นหัวเราะเยาะได้นะเพคะ!” คนใช้คนนั้นพูดพร้อมกับมองไปที่ซูหวานหว่านแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า “เมื่อวานนี้ท่านก็ไปสนุกกับพวกนางตั้งนานสองนาน หรือท่านจะกลัวว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้อย่างงั้นหรือ?”
เป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย หลังจากนั้นเมื่อนึกถึงที่ฉีเฉิงเฟิงเร่งรีบออกไปช่วยนางในวันนี้ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ หญิงสาวรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง นางค่อย ๆ หันไปมองหญิงสาวคนนั้น “แม่นาง เมื่อวานนี้ที่เขาไปนอนที่นั่น ก็ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยปรนนิบัติเขา”
หลังจากนั้นซูหวานหว่านก็หยิบเงินออกมาหนึ่งตำลึงแล้วโยนให้นาง พร้อมกับแอบฝังเข็มไปที่ร่างกายของอีกฝ่าย ทำให้นางไม่สามารถขยับร่างกายหรือเคลื่อนไหวได้ ได้แต่มองไปที่ซูหวานหว่านด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “เจ้า… เจ้าทำอะไรกับข้า!”
“ข้าจะไปทำอะไรเจ้า? เจ้ายืนอยู่บนหิมะนานเกินไปหรือเปล่า ขาและเท้าของเจ้าถึงได้แข็งและขยับไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงมาโทษข้าเล่า” ซูหวานหว่านพูดออกมา เมื่อเห็นเสื้อผ้าของฉีเฉิงเฟิงปกคลุมไปด้วยหิมะ หัวใจของนางก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวดึงตัวของฉีเฉิงเฟิงเข้ามาในบ้าน ปัดเอาเกล็ดหิมะออกให้กับเขาแล้วพึมพำออกมาว่า “ดูเจ้าสิ มัวแต่เป็นห่วงข้า ใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้ไปได้ยังไง ถ้าเจ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร!”
“เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าจะเป็นหวัดได้อย่างไร?” ฉีเฉิงเฟิงยิ้มออกมา ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปลูบผมที่เปียกและเรียบของซูหวานหว่านด้วยสัมผัสอ่อนโยน “เพราะเจ้าให้ความอบอุ่นแก่ข้าแล้ว”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังทั้งสองจีบกันสีหน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที นางอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ฝ่าบาท ทำไมท่านถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ เมื่อคืนนี้ที่ท่านพูดออกมาถือว่าเป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม?”
“…”
ยังคงเน้นยำถึงเรื่องเมื่อคืน ซูหวานหว่านมองคนใช้ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว มาพูดเรื่องคืนนี้ดีกว่าว่าเจ้าจะต้องยืนอยู่ตรงนี้จนถึงวันพรุ่งนี้เช้า!”
“เหตุใดเจ้าถึงใจร้ายเช่นนี้! เจ้าคิดว่าฝ่าบาทยังจะชอบเจ้ารึ” หญิงสาวคนนั้นพูดออกมาด้วยความโกรธ ฉีเฉิงเฟิงจับมือของซูหวานหว่านเอาไว้ เขารู้สึกว่ามือของนางเย็นมาก และพาซูหวานหว่านเดินเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจหญิงคนนั้นอีกต่อไป
เมื่อเห็นแผ่นหลังของทั้งสองคนที่กำลังเดินจากไป ผู้หญิงคนนั้นก็โกรธมากที่ตัวเองทำงานไม่สำเร็จ แถมตัวเองยังโดนเล่นงานกลับอีก!
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของนางเกือบจะแข็งไปทั่งทั้งร่าง ผู้หญิงคนนั้นจึงส่งเสียงร้องขอความเมตตาอยู่ข้างนอก พวกคนที่ได้ยินเสียงร้องของนางก็รีบออกมา เมื่อเห็นว่าใบหน้าหน้าซีดเซียวก็ได้ลากนางเข้าไปใต้ชายคา แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะปล่อยนางไปดีหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับซูหวานหว่าน หากแต่ซูหวานหว่านกลับแสดงท่าทีนิ่งเฉย ทำให้คนใช้ไม่กล้าที่จะทำอะไร ไม่นานหญิงคนนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “ข้าผิดไปแล้ว! ถ้าคุณหนูจ้าวปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีก! ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะมายุแยงพวกท่านทั้งสองคนเลย! ข้าถูกคนสั่งให้มา!”
เมื่อซูหวานหว่านได้ยินพูดของนาง หญิงสาวจึงเดินออกไปดึงเข็มออกด้วยตนเอง แล้วหญิงคนนั้นก็กลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง นั่นทำให้นางรู้สึกความสุขมาก และกำลังจะบอกว่าใครเป็นคนสั่งนางมา หากแต่นางก็เป็นลมเพราะความหนาวเสียก่อน!
“…”
ซูหวานหว่านรู้สึกพูดไม่ออกและรู้สึกหมดหนทาง ดังนั้นนางจึงเรียกคนใช้ให้พาตัวหญิงคนนี้ไปพักที่ห้องครัวเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น
หลังจากที่นางเดินออกมาข้างนอกได้ไม่นาน หิมะก็ปกคลุมไปทั่วศีรษะของซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิงจึงดึงตัวนางกลับเข้ามาในบ้านทันที แม่จ้าวได้สั่งให้คนใช้ไปทำน้ำแกงร้อน ๆ มา เมื่อนางเห็นซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงนั่งพูดคุยกันอยู่บนโต๊ะ หัวใจก็รู้สึกเป็นสุข แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดุออกมาหลังจากเห็นพวกเขาใส่เสื้อผ้าเปียก ๆ แบบนั้น จึงให้คนใช้นำเสื้อผ้ามาให้กับทั้งสองคนเปลี่ยน พร้อมกับสั่งให้คนใช้นั้นเติมถ่านไฟสองหม้อในบ้านเพื่อเพิ่มอุณหภูมิอีกด้วย
ซูหวานหว่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกจากห้องด้านข้าง ๆ แม่จ้าวจึงเอ่ยพูดทักทายลูกสาวของตัวเองด้วยรอยยิ้มและกระซิบออกมาว่า “ลูกแม่ เจ้ากับองค์ชายสามเหมาะสมกันมาก แม่จะบอกว่ารอบรองชนะเลิศหรืออะไรนั่นยกเลิกไปเถอะ!”
“ช้าก่อน!” ซูหวานหว่านห้ามแม่จ้าวที่กำลังมีความสุข “ท่านแม่เจ้าคะ อย่าเพิ่งยกเลิกรอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศเลย ข้ายังต้องการใช้มันอยู่”
พอพูดแบบนั้นออกมาซูหวานหว่านก็เหลือบไปเห็นว่ารองเท้าหนังที่วางเอาไว้อยู่ด้านข้างห้อง และนางก็รู้ว่าฉีเฉิงเฟิงคงจะได้ยินคำพูดของนาง ซูหวานหว่านจึงอธิบายให้เขาฟังว่า “ข้าต้องการทำอวี้ลู่เกาอีกสองสามวันข้างหน้า ถ้าข้าทำมันออกมาได้ ข้าจะใช้รอบรองชนะเลิศในการโปรโมตมันไปในตัวด้วย”
“โปรโมต?” ฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย
“เมื่อถึงเวลาเจ้าจะเข้าใจเอง” ซูหวานหว่านพูดออกมาพลางยกน้ำแกงร้อน ๆ ขึ้นจิบพร้อมกับความรู้สึกผิดในใจ ในตอนนั้นนางอาจจะต้องใช้ฉีเฉิงเฟิงเพื่อทำการตลาดด้วย!
“งั้นข้าจะรอดู” ฉีเฉิงเฟิงก็พูดออกมาพร้อมกับดื่มน้ำแกงร้อน ๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มในดวงตาของทั้งสองคน แม่จ้าวก็รู้สึกว่านางควรที่จะออกไปจากตรงนี้ดีกว่า จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อไม่มีคนอื่น ภายในห้องโถงจึงเหลือเพียงแค่ฉีเฉิงเฟิงและซูหวานหว่านที่กำลังนั่งดื่มน้ำแกงร้อน ๆ พลางมองหิมะที่กำลังตกอยู่ด้านนอก บรรยากาศรอบ ๆ เงียบสงบ
และเวลานี้ พวกเขาทั้งสองคนก็รู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก
“คุณหนู” จู่ ๆ ก็มีคนใช้มาเคาะประตูห้องโถงแล้วก้าวเข้ามา “คุณหนู คนใช้จากจวนอัครมหาเสนาบดีได้มาส่งเทียบเชิญให้กับท่าน แต่เขาบอกว่าเขาต้องการที่จะส่งให้ถึงมือคุณหนูด้วยตัวเอง ข้าน้อยเลยพาเขาเข้ามาด้วย”
“หื้ม?” ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นคำว่า ‘อัครมหาเสนาบดี’ ฟังดูคุ้นหูอย่างมาก ในขณะครุ่นคิดเรื่องนี้ นางก็เห็นคนใช้ของจวนอัครมหาเสนาบดีเดินเข้ามาและเหลือบมองมาที่นาง แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรพร้อมกับเอ่ยถามคนใช้ของนางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ออกมาอีกว่า “คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงไม่ออกมาอีก? ข้าอุตส่าห์ทนหนาวมาส่งเทียบเชิญให้นางด้วยตัวเอง! ถ้านางไม่มา อากาศหนาวแบบนี้ข้าคงจะต้องขอตัวกลับก่อน!”
คนใช้คนนี้บังอาจมากที่คิดว่านางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ หรือจะได้รับคำสั่งให้มาดูถูกนางอีก ซูหวานหว่านคิดว่าคงน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า นางมองไปที่สาวใช้คนนั้นแล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ดูเหมือนว่าคนของจวนอัครมหาเสนาบดีคงจะหยิ่งมาก มาส่งเทียบเชิญแต่กลับมาด้วยความไม่จริงใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมาส่งทำไมกัน?”
เมื่อได้ยินซูหวานหว่านพูดออกมาแบบนี้ คนใช้คนนั้นก็เกาคอไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี นางมองมาที่ซูหวานหว่านอย่างลังเล ก่อนจะวางเทียบเชิญลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที
คนใช้ของจวนอัครมหาเสนาบดีได้เดินออกไปจากห้องโถงแล้ว และคนใช้ของนางก็เปิดเทียบเชิญและส่งไปให้นาง ซูหวานหว่านจึงพลันเข้าใจทันทีว่าเทียบเชิญนี้คือเทียบเชิญอะไร
จวนของอัครมหาเสนาบดีตั้งอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยคนรวยในเมืองหลวงแห่งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ไปถึงสามไร่ มีทะเลสาบอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ในทุก ๆ ปีเมื่อหิมะตกหนักที่เมืองหลวงทะเลสาบก็จะเกิดการก่อตัวเป็นน้ำแข็งหนาขึ้นมา แล้วพวกเขามักจะใช้ก้อนน้ำแข็งย้อมสีแดงแล้ววางลานเพื่อเป็นจุดหลัก เชิญชวนคนอื่น ๆ มาเล่น ‘ฮอกกี้น้ำแข็ง’
ถึงแม้ว่าตระกูลจ้าวจะเดินทางมาตั้งหลักปักฐานเมืองหลวงนี้ได้ไม่นาน แต่ตระกูลจ้าวก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่ง มันจึงทำให้ตระกูลของนางได้รับเชิญด้วย
“จวนของอัครมหาเสนาบดีคือบ้านของสือเป้ยเอ๋อร์ใช่ไหม?” ซูหวานหว่านเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามฉีเฉิงเฟิง
“ใช่” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้า “ข้ามีสัญญาพันธะการแต่งงานกับสือเป้ยเอ๋อร์ตั้งแต่เด็ก เมื่อสองปีก่อนข้าถึงได้หนีงานแต่งงานไปอยู่ที่หมู่บ้านฮวงเจีย แล้วพอกลับมาที่เมืองอีกครั้ง ข้าก็ไม่ถูกบังคับให้แต่งงานอีกต่อไป เพราะปรากฏว่าสือเป้ยเอ๋อร์และลูกชายของซุนซ่างชู ซุนฮวนที่เมืองโจวมีสัญญาการแต่งงานด้วยกัน”
ซุนฮวน? พลันใดนั้นซูหวานหว่านก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่นางอยู่ในเมืองโจว ซุนซ่างชูถูกจับในข้อหาเกี่ยวกับการทุจริตและติดสินบน ซุนฮวนจะยังคงมีสัญญาการแต่งงานกับสือเป้ยเอ้อร์ได้อย่างไร
หลังจากที่ซูหวานหว่านได้สอบถามเรื่องนี้ นางถึงได้รู้ว่าซุนฮวนเป็นลูกชายนอกสมรสของซุน ซ่างชู! ต่อมานางก็ได้จัดฉากทำให้เจ้าหน้ามาตรวจสอบตระกูลซุนจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เลยทำให้สือเป้ยเอ๋อร์และซุนฮวนต้องยกเลิกงานแต่งไป!
แต่เป็นเพราะว่าชื่อเสียงของสือเป้ยเอ๋อร์ถูกทำลายไปแล้ว และแน่นอนว่าราชวงศ์จะต้องปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดถึงเรื่องสัญญาพันธะการแต่งงานระหว่างสือเป้ยเอ๋อร์และฉีเฉิงเฟิงอีก
แต่ตอนนี้ตระกูลสือได้ส่งเทียบเชิญมา ซูหวานหว่านเลยรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่และกำลังจะสั่งให้คนไปปฏิเสธคำเชิญนี้ ทว่าทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนใช้ดังขึ้นมาว่า “วันนี้แม่นางที่เป็นลมไปฟื้นขึ้นมาแล้ว นางบอกว่าคุณหนูสือเป็นคนสั่งให้นางทำ!”
สือเป้ยเอ๋อร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้วหรือ? เช่นนั้นแล้วนางจะไปพบอีกฝ่ายก็ได้
ซูหวานหว่านหยิบเทียบเชิญขึ้นมา และสั่งคนใช้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปที่จวนมหาอัครมหาเสนาบดี”
ซูหวานหว่านตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าสือเป้ยเอ๋อร์จะเตรียม ‘ของขวัญ’ แบบไหนเอาไว้รอนางอยู่กันแน่!