ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน บัดนี้ฤดูหนาวได้มาเยือนแล้ว พวกเราควรหาเรื่องสนุก ๆ ดูเพื่อคลายหนาว” ซูหวานหว่านเอ่ยอย่างเริงร่า และทั้งสองก็เดินออกไปทันที
นายท่านเย่มีตำแหน่งเป็นถึงโหวเจวี๋ย [1] ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ตำแหน่งที่ขุนนางที่สูงที่สุด แม้แต่อัครเสนาบดีสือที่เป็นขุนนางขั้น 1 ยังตำแหน่งอัครมหาเสนาบดียังไม่กล้าท้าทายเขาเลย นับประสาอะไรกับตำแหน่งแม่ทัพ คิดว่าเขาไม่กล้าทำอะไรงั้นหรือ?
ความครึกครื้นครั้งนี้ช่างน่าสนุกจริง ๆ
ซูหวานหว่านส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เวลานี้ บรรยากาศในวังนั้นเงียบสงัด
ทุกคนก้มหน้าก้มตา ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังดื่มด่ำกับน้ำชา
ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าอยู่หน้าเก้าอี้มังกร พลางเอ่ยร้องทุกข์ “ฝ่าบาท เรื่องราวของตระกูลสวีและคุณหนูสวีซูจะต้องได้การแก้ไข! ตระกูลขุนนางของเราไม่สามารถปล่อยให้แม่หนูนั่นมารังแกได้!”
“ท่านขุนนาง อย่าเพิ่งโกรธไป ค่อย ๆ พูดเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” ฉีเฉิงกล่าวพร้อมกับวางชาในมือลง
ท่านขุนนางเย่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างละเอียด “คุณหนูสวีสนับสนุนให้หลานชายและลูกสาวของข้ากำจัดซูหวานหว่าน แต่ใครจะไปคิดกันว่าพวกเขาจะ… เฮ้อ! ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ทวงความยุติธรรมมาให้ตระกูลเย่ของพวกเรา จะถือว่าท่านไร้น้ำใจไม่สนใจตระกูล”
สวีซู? ไม่ใช่หญิงสาวที่ต้องแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิงหรือ สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที “ท่านขุนนาง ท่านอย่าได้กล่าววาจาซี้ซั้ว คุณหนูตระกูลสวีนั้นกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสามในวันพรุ่งนี้”
“ฝ่าบาท! หากพระองค์ไม่เชื่อหม่อมฉัน! เช่นนั้นแล้วจงตามพวกเขามาไต่สวนให้รู้แล้วรู้รอดดีหรือไม่ กระหม่อมคิดว่าคุณหนูสวีไม่สมควรแต่งงานกับองค์ชายสาม มิฉะนั้นนางอาจนำความเสื่อมเสียและอับอายมาให้แก่ราชวงศ์!” ขุนนางเย่กล่าว พลางจับไปที่หน้าอกของตัวเอง
ฉีเฉิงเงียบลงฉับพลัน รับสั่งให้ทหารออกไปตามตัวคุณหนูสวีและคนอื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงในวัง แม้แต่ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงเองก็มาเช่นกัน
เมื่อสวีซูเห็นใบหน้าของทั้งสองคน ใบหน้าของนางพลันซีดลง นางเดินเข้าไปจับแขนซูหวานหว่าน “ท่านพี่หวานหว่าน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เหรอ? เจ้ายอมรับผิดเสียดีกว่า โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับโทษ? ซูหวานหว่านปัดมือของสวีซูออกอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “คุณหนูสวี ข้าว่าคำถามนี้ท่านควรจะถามตัวเองเสียมากกว่านะ?”
“ท่านพี่หวานหว่านพูดอะไร ซูเอ๋อร์คนนี้ไม่เข้าใจ” สวีซูกล่าวพร้อมกับหัวใจที่เป็นกังวล หยาดน้ำสีใสหลั่งรินออกมา แต่การกระทำแบบนี้ไม่สามารถที่หลอกซูหวานหว่านได้ หัวใจของนางสั่นสะท้าน และเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “วันนี้ข้ามาที่นี่พร้อมกับองค์ชายสามเพื่อมาเป็นพยานให้กับนายท่านเย่ เจ้าหยุดดิ้นรนและบ่ายเบี่ยงจะดีกว่า เจ้าควรรีบสารภาพออกมา อย่าเล่นตุกติกอีกเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉีเฉิงก็ชี้นิ้วไปที่ซูหวานหว่านทันที หากแต่นายท่านเย่กับรับหน้าแทนซู หวานหว่านทันทีเพื่อที่จะได้ตัดสินคนผิด พร้อมทั้งเอาหลักฐานที่ได้มาจากบ้านตระกูลจ้าวออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่ได้ฟัง พวกเขาจึงสารภาพทุกสิ่งและบอกว่าทั้งหมดนี้คือแผนการของสวีซู
“ฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะสวีซู หากไม่ใช่เพราะว่านาง เรื่องอัปยศเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นในตระกูลเย่…” เมื่อเห็นนายท่านเย่กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า สีหน้าของฉีเฉิงก็เปลี่ยน และก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรถึงเป็นการดี หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาเอ่ยออกรับสั่งออกมา ให้ส่งสวีซูไปอยู่วัดลั่วซุยเป็นเวลาสิบปี
สิบปี! นางยังไม่ได้แต่งงาน หากนางกลับมาก็ต้องไม่มีผู้ใดอยากแต่งงานกับนาง ใบหน้าของสวีซูพลันเปลี่ยนสี ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่เห็นเช่นนั้นก็มีความรู้สึกเครียดแค้นเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองคนวิ่งเข้าไปทุบตีสวีซู หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่ไม่มีผู้ใดกล้าห้ามปราม
กระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อขุนนางเย่พาเย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินกลับไป เหล่าองครักษ์ก็ลากตัวของสวีไป ในตอนนี้มีเพียงซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิง และฉีเฉงเท่านั้นที่อยู่ในห้องโถงใหญ่
บรรยากาศรอบตัวนั้นอึมครึม เขาพระราชทานงานแต่งงานให้ฉีเฉิงอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งฉีเฉิงคิดเรื่องนี้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก “ลูกชายในวันนี้เจ้าควรที่จะมาพระราชสำนักได้แล้ว?”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือซูหวานหว่านเดินจากไปทันที ในขณะนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังสั่นสนั่นดังขึ้นมาภายในห้องโถง หญิงสาวหันไปมองเล็กน้อย ก็พบฉีเฉิงโยนถ้วยน้ำชาลงบนพื้น
ขณะที่ทั้งสองคนเดินออกไป ซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า “เหตุใดเขาถึงให้เจ้าไปยังราชสำนักในวันพรุ่งนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร?”
“ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นถึงเสื้อผ้าที่ซูหวานหว่านสวมอยู่ สายตาไม่รักดีเหลือบมองส่วนที่นูนขึ้นมาบริเวณหน้าอกของซูหวานหว่าน ไม่นานเขาก็เอ่ยออกมาแบบประหลาดใจว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง?”
เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงถามคำถามนี้ออกมา ซูหวานหว่านประหลาดใจและเมื่อเห็นสายตาที่ร้อนแรงของฉีเฉิงเฟิง หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยและปล่อยมือของตัวเองออกจากฉีเฉิงเฟิง แล้วก้าวถอยหลังออกไป “ฉีเฉิงเฟิง เจ้า….เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร ฮูหยินเจ้าอย่าเพิ่งกลัวไป” เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้ นั่นทำให้ซูหวานหว่านไม่เข้าใจ
ฉีเฉิงเฟิงเดินเข้ามาแล้วจับมือของซูหวานหว่านอีกครั้ง ดึงร่างหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และวางคางลงบนหัวของหญิงสาว เขาจ้องมองไปในเสื้อของซูหวานหว่าน และเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินเจ้าดูไม่เด็กแล้วนะ ทำไมพวกเราถึงไม่รีบแต่งงานเสียทีล่ะ? มิฉะนั้น สามีของเจ้าจะถูกคนอื่นแย่งชิงไปอีกนะ”
รีบแต่งงาน? ดวงตาของซูหวานหว่านเบิกกว้าง หญิงสาวยื่นมือไปปิดตาของฉีเฉิงเฟิง จำได้ว่าเมื่อคืนนี้ที่ฉีเฉิงเฟิงบอกว่าอากาศหนาว และมุดเขาไปมาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ใบหน้าของของหญิงสาวขึ้นสีแดงก่ำ และกล่าวออกมาอีกว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
หลังจากที่พูดออกมาเช่นนี้ ซูหวานหว่านก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนเองจะร้อนขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่ค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางสะบัดตัวออกจากฉีเฉิงเฟิงและรีบเดินออกไปทันที
ฉีเฉิงเฟิงรีบเดินตามซูหวานหว่านไปทันที และพูดด้วยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกลัวไปฮูหยิน ถ้าพวกเราแต่งงานกัน สามีคนนี้จะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี”
“…”
เมื่อนึกถึงความหมายของคำเหล่านี้ ใบหน้าของซูหวานหว่านก็แดงขึ้น แต่มันกลับทำให้ก็ดูงดงามยิ่งขึ้น
พอกลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าว ซูหวานหว่านไม่ได้คุยอะไรกับฉีเฉิงเฟิงอีกเลยตลอดทั้งคืน และฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน รุ่งเช้าเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้คนใช้เตรียมทำอาหารเช้ารอซู หวานหว่าน ส่วนตัวเองก็เดินทางไปยังพระราชสำนักในวัง
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าก่อนที่ตัวเองจะเดินไปถึงพระราชสำนักภายในห้องต่างหารือกันอย่างจริงจังเพราะคำพูดของฉีเฉิง
“ขุนนางเย่ องค์ชายสามก็ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว ท่านลองคิดสิว่าหญิงสาวคนไหนที่เหมาะสมกับฉีเฉิงเฟิงที่สุด ท่านพอจะแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่” เมื่อฉีฉิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันไปมาและเริ่มเอ่ยออกมา
ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ข้าเองมีลูกสาว ปีนี้นางมีอายุสิบสามปี เป็นกุลสตรี สุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม รูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้งดงามนัก หากแต่ก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง…”
ขุนนางอีกคนหนึ่งก็พูดออกมาว่า “ฝ่าบาท! ลูกสาวของข้าก็เช่นกัน ปีนี้นางก็อายุสิบสองปี และเกิด…”
“…”
เหล่าขุนนางต่างเอ่ยถึงลูกสาวของตนเอง โดยหวังว่าลูกสาวของตัวเองอาจจะถูกฉีเฉิงรับเอาไว้พิจารณา
ฉีเฉิงก็พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ และทำท่าครุ่นคิด
เมื่อฉีเฉิงเฟิงก้าวเข้ามาในห้องและได้ยินถึงเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีและก็ก้าวเดินเข้าไปในห้อง บรรยากาศภายในห้องเงียบลงทันที และเหล่าขุนนางพูดถึงเรื่องนี้ออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานฉีเฉิงก็ขยิบตาส่งสัญญาณ และขุนนางคนนั้นก็เดินออกมาทันที
[1] 侯爵 โหวเจวี๋ย คือ ตำแหน่งเจ้าพระยา