บทที่ 32 พวกคนพาลที่สมควรโดนขับไล่
การที่ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้ตอบกลับคำพูดของแม่เฒ่าซู ยิ่งทำให้หญิงชราเริ่มได้ใจ และดูเหมือนนางจะพอใจเข้าไปอีกเมื่อทำการปล่อยข่าวฉาวเสีย ๆ หาย ๆ ของซูหวานหว่านกับฉีเฉิงเฟิงได้สำเร็จ จนชาวบ้านหันมาสนใจกันเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
“ซูหวานหว่านต้องเป็นคนอย่างไรกัน เรื่องฉาวเมื่อตอนถูกถอนหมั้นยังไม่ทันหาย ยังกล้ามาให้ท่าฉีเฉิงเฟิงอีกได้อย่างไรกัน หนังหน้าของนางทำด้วยอะไร เหตุใดถึงหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้!”
“ใช่ ๆ! หญิงน่ารังเกียจ ปากเสีย และห้าวหาญเกินกว่าจะเป็นหญิง!”
“…”
ซูหวานหว่านได้ยินคำพูดนินทาของชาวบ้านที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ก็ขมวดคิ้วแน่น เหตุใดพวกชาวบ้านเหล่านี้ถึงพูดจากับนางเช่นนี้? ในขณะที่นางกำลังจะเปิดปากเพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าฉีเฉิงเฟิงก็ชิงพูดขึ้นซะก่อน
“พวกคนหัวดีจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ส่วนพวกคนหัวทึบคงเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ หากพวกท่านไม่เชื่อในตัวข้า ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้” พูดจบก็ชำเลืองมองซูหวานหว่านด้วยสายตาอ่อนโยน
แม่เฒ่าซูได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไร้มารยาท “ไอ้เด็กฉี เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง ๆ ที่ไม่ยอมรับความจริง เรื่องมันแดงขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังกล้าที่จะปกปิดไว้อีกรึ” เมื่อพูดจบก็ชี้มือไปยังซูหวานหว่านที่เนื้อตัวมอมแมมและผมเผ้ารุงรัง “ดูสภาพนางสิ หากจะบอกว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ได้เข้าไปในป่าหลังภูเขาด้วยกัน ข้าเชื่อไม่ลงจริง ๆ”
“เหอะ…” ฉีเฉิงเฟิงมองแม่เฒ่าซูด้วยท่าทางเหยียดหยามและหัวเราะเยาะใส่อย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป “คำพูดที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาย่อมแสดงถึงนิสัยและจิตใจของผู้พูด หากผู้พูดเอ่ยวาจาหยาบคาย ว่าร้ายนินทาผู้อื่น แสดงว่าพื้นฐานนิสัยของคนผู้นั้นย่อมต่ำช้า จิตใจสกปรกเช่นกับคำพูดที่เอ่ยออกมา ข้าเข้าใจดีว่าจิตใจของท่านสกปรกคำพูดของท่านจึงสกปรกตามไปด้วย ดังนั้นท่านอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ข้าห้ามคำพูดใครไม่ได้ สิ่งที่ข้าควบคุมได้ก็มีเพียงจิตใจของข้าเท่านั้น”
ใบหน้าของแม่เฒ่าซูเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของฉีเฉิงเฟิง
เขากำลังด่านางว่าจิตใจสกปรกอย่างงั้นหรือ?
ชาวบ้านที่ได้ยินสิ่งฉีเฉิงเฟิงพูดเริ่มเอนเอียงไปทางเขา บางส่วนก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
ซูหวานหว่านตกตะลึงกับคำพูดของชายหนุ่ม เพราะนางไม่เคยเห็นหรือได้ยินฉีเฉิงเฟิงกล่าวประโยคยาว ๆ เช่นนี้มาก่อน ปกติชายหนุ่มจะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยตำหนิติเตียนใครเสียเท่าไร ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาตำหนิคนอื่นยืดยาวขนาดนี้!
ซูหวานหว่านได้แต่ชื่นชมเขาในใจเพราะไม่สามารถแสดงออกมาได้ตรง ๆ
“เจ้า!” แม่เฒ่าซูกำลังจะโต้ตอบชายหนุ่ม ทว่าต้องชะงักเพราะคำพูดหนึ่งของชายหนุ่ม เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อและหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาอ่านประกาศต่อหน้าแม่เฒ่าซู “แท้จริงแล้ว… ข้ามาที่นี่ในนามของหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อหารือถึงวิธีการแก้ปัญหาวิกฤติอดอยากภายในตระกูลของท่าน แต่เมื่อข้าเห็นว่าท่านสบายดีไม่มีปัญหาอะไร ทั้งยังพูดมากเหมือนไม่เดือดร้อนอะไร ข้าว่าท่านคงจะแก้ปัญหาได้แล้วเพราะฉะนั้นข้าต้องขอตัว” พูดจบฉีเฉิงเฟิงก็ยกยิ้มบาง ๆ
อะไรกัน ไม่เห็นมีใครบอกก่อนเลยว่าเขาจะเป็นคนมาแก้ปัญหาของตระกูลซู!
คำพูดของฉีเฉิงเฟิงทำให้แม่เฒ่าซูทำตัวไม่ถูกเพราะการกระทำของตนเมื่อครู่
“อะ…เอ่อ…คุณชายฉี เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด ถึงแม้ว่าที่บ้านของข้าจะยังพอมีอะไรกินอยู่บ้าง ทว่ายังไงพวกเราก็ต้องการให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านคอยช่วยพวกเราอยู่ดี” น้ำเสียงของแม่เฒ่าซูเปลี่ยนไปจากตอนแรกราวฟ้ากับเหว คำพูดอวดดีและหยาบคายกลายเป็นนอบน้อมและสุภาพเสียอย่างนั้น
เหอะ! ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นางเรียกเขาว่าไอ้เด็กฉีด้วยท่าทางหยิ่งจองหองหรอกหรือ?
สรรพนามของฉีเฉิงเฟิงถูกเปลี่ยนไปอย่างสุภาพ เมื่อนางได้ยินว่าเขามีความช่วยเหลือมาให้
ช่างเป็นหญิงชราที่เห็นแก่ได้และเปลี่ยนสีเก่งจริง ๆ!
ซูหวานหว่านคิดพลางจ้องไปที่แม่เฒ่าซูด้วยสายตารังเกียจ
แม่เฒ่าซูยิ้มตอบกลับชายหนุ่ม “คุณชายฉี อย่าไปใส่ใจในสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดออกไปเลย ข้าก็แค่คนแก่ที่ชอบพูดไปเรื่อย เรื่องที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ข้าคงเข้าใจผิดไปเอง ข้าจะไม่พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเจ้าและหลานสาวของข้าอีก ทว่า…ข้าขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง หากเจ้าคิดอยากจะแต่งงานกับหญิงสาวอย่างซูหวานหว่าน เจ้าจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตเลยล่ะ”
“…”
ไหนบอกว่าจะไม่พูดถึงซูหวานหว่านแล้วไง แล้วเมื่อครู่มันอะไรกัน?
ซูหวานหว่านยังคงมองแม่เฒ่าซู “ข้าว่าคนที่แต่งงานกับท่านนั่นแหละโชคร้าย ท่านไม่ต้องห่วงคนที่จะมาเป็นสามีของข้าในอนาคตหรอก ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องโชคดีและมีความสุขดั่งได้รับพรจากสวรรค์แน่”
แม่เฒ่าซูที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นของซูหวานหว่านก็แสดงท่าทางราวกับอยากจะอาเจียนออกมา นางอยากจะทิ่มนิ้วเข้าไปในตาของซูหวานหว่านเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“เหอะ นังตัวแสบอย่างเจ้าลองไปถามทั่วทั้งแดนดินดูสิว่าใครจะอยากจะได้เจ้าเป็นเมีย เหอะ! ถูกถอนหมั้นแล้วยังตามติดคุณชายฉีไม่เว้น ช่างไร้ยางอายเสียจริง!”
“พอได้แล้ว!” ฉีเฉิงเฟิงตวาดและจ้องเขม็งไปทางแม่เฒ่าซู เขามาที่นี่ไม่ได้อยากจะมาฟังพวกนางทะเลาะกันเสียหน่อย
ชายหนุ่มปิดสมุดเล่มเล็กด้วยสีหน้าตึงเครียดพร้อมทั้งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ที่ข้ามาที่นี่เพราะข้าต้องการมาช่วยแก้ไขปัญหาภายในตระกูลของท่าน หากท่านไม่สนใจไม่อยากจะแก้ไขอะไร ข้าก็คงไม่มีทางเลือก”
พูดจบฉีเฉิงเฟิงก็หันหลังและเดินกลับไปในทันที แผ่นหลังของเขาแสดงถึงความเย่อหยิ่งแฝงความเย็นชาเอาไว้
แม่เฒ่าซูหันไปมองซูหวานหว่านอย่างอารมณ์เสีย จากนั้นจึงรีบหันกลับไปยื้อฉีเฉิงเฟิงด้วยการใช้ลูกไม้เดิม ๆ นางร้องไห้ฟูมฟายและโอดครวญว่าตัวเองนั้นทั้งยาจนทั้งอาภัพ พยายามทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร
ด้วยท่าทางเช่นนั้น ฉีเฉิงเฟิงจึงจำต้องยอมกลับมาช่วยนาง
หลังจากชายหนุ่มได้ตกลงช่วยแก้ไขปัญหา จึงมุ่งหน้ามาสำรวจที่บ้านของแม่เฒ่าซูกับพ่อเฒ่าซู แล้วเขาก็พบว่าที่บ้านของทั้งคู่ไม่มีแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว
ฉีเฉิงเฟิงหยิบสมุดจดเล่มเล็กของเขาออกมาอีกครั้ง “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมีความประสงค์จะขอความร่วมมือจากพวกชาวบ้าน ให้พวกเขาบริจาคเงินหรืออาหารให้กับครอบครัวของท่าน”
“บริจาคงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้น แม่เฒ่าซูก็ดีใจมากจนถึงกับวิ่งไปปลุกสามีที่หลับอยู่ขึ้นมา ให้ช่วยกันหาถุงผ้าที่ใหญ่ที่สุดในบ้านและเดินตามฉีเฉิงเฟิงไป เพื่อเคาะประตูบ้านแต่ละหลังสำหรับการขอความช่วยเหลือ
เมื่อไปถึงหน้าประตูบ้านแต่ละหลัง ฉีเฉิงเฟิงก็อธิบายเรื่องให้กับชาวบ้านฟัง ทว่ากลับโดนแต่ละครอบครัวโบกมือไล่และเรียกร้องบอกว่าครอบครัวของพวกเขาก็ยากจนเช่นกัน จากนั้นจึงโยนถุงเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยแกลบออกมาอย่างปัดความรำคาญ ทำให้แม่เฒ่าซูไม่พอใจโวยวายมาเสียงดัง “นี่เจ้า!…คิดว่าแกลบมันกินได้หรือไง โง่หรือเปล่า! แค่เอาข้าวมาให้ข้าสักถุงหนึ่งมันยากนักหรือไง!”
ชาวบ้านคนนั้นเมื่อได้ยินแม่เฒ่าซูโวยวายเสียงดัง จึงหยิบถุงแกลบขึ้นมาแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “หึ…ข้าไม่ได้มีข้าวเหลือพอจนถึงขนาดจะเจียดมันมาให้สุนัขกินได้หรอกนะ”
ก่อนจะปิดประตูเสียงดังลั่นใส่หน้าแม่เฒ่าซูกับตาเฒ่าซู สองสามีภรรยาหันมามองกันด้วยสีหน้าที่โกรธจัด หันไปดึงชายเสื้อของฉีเฉิงเฟิงเพื่อลากเขาให้พาไปเคาะประตูบ้านหลังถัดไป
ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันทีเมื่อก้มลงมามองมือของแม่เฒ่าซูที่สกปรก ซอกเล็บของนางเต็มไปด้วยขี้โคลน เขาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปล่อยมือ…”
“ไอ้หนุ่ม เร็วเข้าเรียกคนที่อยู่ในบ้านออกมาเลย ข้ารู้มาว่าบ้านนี้ปีที่แล้วพวกมันเก็บข้าวได้ตั้งเยอะแยะ!” แม่เฒ่าซูกล่าว
ข้าวที่แม่เฒ่าซูพูดว่าต้องการมันเป็นของคนอื่นเขาไม่ใช่หรือไง เหตุใดถึงอยากจะได้มันนัก?
“ปล่อย…ข้า!!” ฉีเฉิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อแม่เฒ่าซูยังคงจับชายเสื้อของเขาอยู่
แม่เฒ่าซูตกใจเล็กน้อยกับน้ำเสียงฉีเฉิงเฟิง หญิงชราจึงปล่อยมือจากชายเสื้อของชายหนุ่มในทันที
พ่อเฒ่าซูเริ่มโวยวายขึ้นมา “นี่พ่อหนุ่ม เจ้าได้รับคำสั่งให้มาช่วยพวกเราเจ้าก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีสิ! ไปขอข้าวพวกเขามาเร็ว เอาเงินมาด้วยก็ได้! เร็วเข้าสิ!”
นี่พวกเขามาขอหรือมาปล้นกันแน่ ฉีเฉิงเฟิงเย้ยในใจและกล่าวว่า “เหตุใดข้าต้องทำแบบนั้นด้วย? ข้าแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น หากว่าข้าไม่ได้ถูกขอให้มาที่นี่ พวกท่านคิดเหรอว่าจะได้แตะของที่เรียกว่าอาหารกับเงิน”
“ยังไงพวกข้าก็จะได้รับเงินกับอาหารพวกนี้อยู่แล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม” พ่อเฒ่าซูบอกด้วยท่าทางอันหยิ่งผยอง พร้อมกับโยนถุงแกลบที่ได้รับมาจากชาวบ้านเมื่อครู่ใส่ฉีเฉิงเฟิงอย่างหยาบคาย “เอ้า! เอานี่ไป แล้วฝากขนไปไว้ที่บ้านของข้าด้วย คราวหน้าข้าจะเมตตาทำอาหารตอบแทนให้เจ้าสักมื้อ”
น้ำเสียงและท่าทางของชายชราที่ทำเหมือนกับตนเองเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดชายหนุ่มอันแร้นแค้นอย่างไรอย่างงั้น…
ทั้งพ่อเฒ่าซูและแม่เฒ่าซูต่างก็หน้าไม่อายพอกันทั้งคู่ ฉีเฉิงเฟิงเข้าใจแล้วจริง ๆ ว่าเหตุใดครอบครัวของซูหวานหว่านถึงต้องแยกตัวออกมาอยู่กันเอง
ฉีเฉิงเฟิงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา และตัดสินใจไม่ตอบโต้สองคนนั้น เขาเดินเหยียบไปที่ถุงแกลบถุงนั่น ก่อนที่จะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ
แม่เฒ่าซูและพ่อเฒ่าซูตกใจอีกกับท่าทางของชายหนุ่ม หญิงชราตะโกนออกมาอย่างอารมณ์เสีย “ฉีเฉิงเฟิง!! ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากเป็นผู้ช่วยของหัวหน้าหมู่บ้าน หากเจ้าทำไม่ดีกับพวกเราล่ะก็ ข้าจะฟ้องท่านหัวหน้าหมู่บ้าน และเจ้าจะไม่ได้ทำในสิ่งที่เจ้าอยากจะทำเลย คอยดู!”
ฉีเฉิงเฟิงหยุดเดิน หันมามองทั้งคู่ด้วยแววตาเฉยชา เขามองพวกคนชราทั้งคู่เป็นเพียงคนบ้า ขี้โวยวาย พูดจาไร้สาระ สายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววตาสมเพชกับสภาพที่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานของคนทั้งคู่
“ฉีเฉิงเฟิง เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร! เจ้าไม่กลัวเลยหรือไง?” แม่เฒ่าซูพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ รู้สึกอึดอัดกับสายตานั้น
เหอะ! กล้าที่จะข่มขู่เขาด้วยวิธีโง่ ๆ แบบนี้น่ะเหรอ?
ฉีเฉิงเฟิงหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป
คนแก่ทั้งสองคนยังคงไล่ตามบ่นตามด่าฉีเฉิงเฟิงตลอดทาง ตั้งแต่ต้นหมู่บ้านยันท้ายหมู่บ้าน จนกระทั่งเขากลับมาบ้านและปิดประตูใส่หน้าคนชราชราทั้งสอง พวกเขาจึงยอมเงียบสงบลงและเดินกลับบ้านไปแต่โดยดี
ทันใดนั้นตาเฒ่าซูและแม่เฒ่าซูก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อ ซึ่งดูเหมือนว่ากลิ่นนั้นจะมาจากทางบ้านที่แม่เฒ่าเจียงอาศัยอยู่
เป็นไปได้ไหมว่าซูหวานหว่านและคนอื่น ๆ กำลังกินเนื้อย่างกันอย่างเอร็ดอร่อย?
พวกนั้นกินของดี ๆ กันโดยที่ไม่เรียกผู้อาวุโสอย่างพวกเขางั้นหรือ!!