บทที่ 35 โอกาสในการทำการค้า!
ในที่สุดซูหวานหว่านก็เข้าใจ ที่แท้พวกเขาเข้าใจว่าเห็ดหอมและเห็ดหูหนูที่เก็บมาคือเห็ดพิษ
ไม่แปลกใจที่มันดูเป็นปัญหาใหญ่โตแบบนี้!
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งมีค่ามาก
เมื่อลองค้นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มักที่หลีกเลี่ยงการเก็บเห็ดที่ขึ้นตามป่าตามเขา และเหล่าชาวบ้านต่างก็ไม่เคยพบเห็นใครกินเห็ดหอมและเห็ดหนูมาก่อน
สาเหตุที่เชื่อว่าเห็ดป่าเป็นอาหารที่ไม่ควรกิน สืบเนื่องมาจากวิกฤตขาดแคลนอาหารเมื่อหลายปีก่อน ทำให้พวกชาวบ้านต้องหาของจำพวกเห็ดกินประทังชีวิต ทว่าโชคร้ายเห็ดที่พวกเขาเก็บกลายเป็นเห็ดพิษ ทำให้คนที่กินมันเข้าไปเสียชีวิตลงทันที ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดข่าวลือมากมายจนทำให้ไม่มีใครกล้ากินเห็ดอีกเลย
นี่มันโอกาสดีเลยไม่ใช่เหรอที่จะนำมาสร้างรายได้!
แววตาของซูหวานหว่านฉายแววตื่นเต้นเมื่อนึกถึงเห็ดหูหนูและเห็ดหอมมากมายบนภูเขา อันดับแรกต้องพิสูจน์ให้ด้วยการทำอาหารให้พวกเขากินกัน หลังจากนั้นค่อยคิดวิธีหาเงินจากเรื่องนี้อีกที ต่อไปครอบครัวของนางจะได้มีเงินไปซื้อเนื้อหมู เนื้อไก่กินกับเขาบ้าง
ส่วนเงินที่จะได้จากการขายหยกคงจะเป็นจำนวนไม่น้อย ทว่ามันจะต้องใช้เวลาสักระยะในการแกะสลักกว่านำออกมาขายได้
ดังนั้นซูหวานหว่านจึงพยายามอวดอ้างสรรพคุณความอร่อยและประโยชน์ของเห็ดเหล่านั้นให้กับทุกคนฟัง ทว่าไม่มีใครเลยที่จะเชื่อในสิ่งที่นางพูด ทั้งยังคงห้ามไม่ให้นางกินมัน เด็กสาวรู้สึกไม่พอใจ “จะห้ามไม่ให้ข้ากินก็ไม่เป็นไร แต่ลองให้พวกสัตว์กินดูก่อนได้หรือไม่ หากว่ามันไม่ตาย ก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดคือความจริง”
เมื่อได้ฟังข้อเสนอนี้ทุกคนก็ได้แต่มองหน้ากัน ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังไม่เชื่อของในคำพูดของซูหวานหว่าน และนั้นทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลอยู่จนไม่อาจนิ่งนอนใจได้ แต่ในที่สุดทุกคนก็ตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้
ซูหวานหว่านเริ่มต้นด้วยการนำเห็ดไปต้ม จากนั้นจัดเตรียมเครื่องปรุงเอาไว้ เมื่อเห็ดต้มเสร็จก็เริ่มลงมือปรุงอาหาร กลิ่นหอมของเครื่องเทศทำให้ทุกคนถึงกับน้ำลายสอกันเลยทีเดียว
เมื่อเตรียมของเรียบร้อยซูหวานหว่านก็ก้มมองมุมห้อง เพื่อหาหนูสักตัวมาช่วย แต่เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย นางจึงขอให้น้องชายและน้องสาวมาช่วยไล่จับหนู หลังจากนั้นตนเองก็มุ่งหน้าไปที่สวนหลังบ้านเพื่อจับไก่มาตัวหนึ่ง ที่เดินเพ่นพ่านอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ จากนั้นก็โปรยเห็ดที่นางได้ปรุงแล้วให้พวกมันได้กิน
สายตาทุกจดจ่อไปที่สัตว์พวกนั้น กระทั่งฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ท้องส่งเสียงร้องโครกครากเนื่องจากทั้งครอบครัวยังไม่ได้กินอะไร จนสุดท้ายซูหวานหว่านที่รู้สึกหิวจนทนไม่ไหวอาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับเห็ดแอบเข้าไปกินของที่ปรุงไว้ที่ยังเหลืออยู่คนเดียว ทว่าการกระทำของหญิงสาวไม่อาจเล็ดลอดสายตาของผู้เป็นแม่ได้ แม่เจิ้นที่เห็นซูหวานหว่านเดินเข้าไปในครัวจึงเดินตามเข้าไปหาและตีเข้าที่หลังของลูกสาวอย่างแรง
“คายออกมาเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าอยากตายหรือไง!”
“แค่ก! แค่ก!” ซูหวานหว่านตกใจกับเสียงเรียก จึงหันไปมองพร้อมกับสำลักอาหารที่อยู่ในปาก
หากท่านแม่ตบแรงกว่านี้เกรงว่านางไม่ได้ตายเพราะเห็ดพิษ แต่ข้าจะตายเพราะโดนท่านแม่ตี!
แม่เจิ้นยังคงตบหลังของซูหวานหว่านอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งนางคายของในปากจึงหยุดมือ
หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ซูหวานหว่านก็เงยหน้าขึ้นและเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้ไปทางข้างหลังของผู้เป็นแม่ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ท่านแม่! ท่านดูพวกหนูและไก่พวกนั้นสิ มันยังไม่ตาย! และข้าก็อายุมากกว่าพวกมันตั้งเยอะ กินไปเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ก็ยังไม่ตาย ท่านแม่เห็นหรือไม่!”
แม่เจิ้นมองซูหวานหว่านด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “โถ ก็เจ้ามันปากเสียไงล่ะถึงกินแล้วไม่เป็นไร”
จากนั้นทุกคนยังคงให้ความสนใจอยู่กับสัตว์ที่ซูหวานหว่านนำมาลองอีกครู่หนึ่ง ก่อนได้ข้อสรุปชัดเจนว่าทั้งไก่และหนูไม่ตายจากการกินเห็ด เช่นนั้นแล้วทุก ๆ คนก็เข้ามาลิ้มลองรสชาติแสนอร่อยของเห็ดที่ซูหวานหว่านปรุง คำแรกที่ได้กินเข้าไปทำให้พวกเขากับตะลึงในรสชาติของมัน เด็กสาวอาศัยช่วงชุลมุนเดินไปปล่อยสัตว์เหล่านั้น ทั้งยังไม่ลืมที่จะขอบคุณพวกมันด้วย หากว่าพวกมันไม่ได้แสร้งวิ่งหนีตอนที่น้อง ๆ ของนางไล่จับนั้น น้อง ๆ ของนางอาจจะจับสัตว์สองตัวนี้ยากกว่าที่เป็นเสียอีก
“นี่ยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอยู่ ถึงแม้จะมีผักป่าเยอะ แต่ข้าเบื่อที่จะกินมันแล้ว จนข้าได้พบสิ่งที่น่าสนใจเช่นอาหารมื้อนี้! มันทำให้วันหนึ่งของข้าดูพิเศษขึ้นมันทันทีเลย” ซูหวานหว่านพูดพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข
แม่เจิ้นที่เห็นใบหน้าของลูกสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็รู้สึกมีความสุข จึงอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“เมื่อไม่กี่วันก่อนแม่ขึ้นไปหาฟืนมาบนเขา แม่ก็เจอเห็ดพวกนี้เยอะแยะเลย แม่อยากจะให้ป้าหลี่และคนอื่น ๆ ได้ลิ้มลองของอร่อย ๆ แบบนี้เหมือนกัน!”
“จะทำอย่างนั้นไม่ได้นะท่านแม่!” ซูหวานหว่านรีบเอ่ยห้ามผู้เป็นแม่ทันที
“หากว่าท่านแม่บอกคนอื่น แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อและยอมกินมันเข้าไป ทว่าพวกเขาอาจจะแกล้งทำเป็นป่วย ออกอุบายในการร้องเรียกเงินชดเชยจากพวกเราได้ นั่นเป็นเรื่องใหญ่มากเลยล่ะ!”
“…”
แม่เจิ้นเงียบลงฉุกคิดตามคำพูดของลูกสาว พลางนึกไปถึงสีหน้าและท่าทางของเหล่าชาวบ้านถ้าหากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ใช่แล้ว…มันเปรียบได้กับผืนป่าอันกว้างใหญ่ที่มีนกหลากหลายชนิด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฝูงนกพวกนั้นพร้อมที่จะเปลี่ยนทิศและคล้อยตามตัวอื่นในฝูงได้ทุกเมื่อ
ซูหวานหว่านเห็นเช่นนั้นแล้วจึงคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาและอธิบายการทำเงินจาก ‘เห็ดป่า’ ให้กับคนในครอบครัวที่ยังคงมีท่าทีที่งุนงงสงสัย
ซูหวานหว่านขอความร่วมมือจากพี่ชายของนางให้ช่วยเข้าไปในเมืองพร้อมกับนางในวันพรุ่งนี้ เพราะเด็กสาวอยากไปร้านอาหารเพื่อหาข้อมูลและหาช่องทางการค้าที่กำลังลงมือทำ
แม่เจิ้นและซูต้าเฉียงต่างก็สงสัยว่าเห็ดป่าจะทำเงินได้จริง ๆ หรือ แต่พวกเขาก็เชื่อในความสามารถของลูกสาว นางจะต้องทำได้อย่างแน่นอน ซูต้าเฉียงตัดสินใจมอบเงิน 7 อีแปะ ที่ได้มาจากการทำงานเมื่อวานให้ซูหวานหว่าน
ซูหวานหว่านมองเงินที่ซูต้าเฉียงมอบให้ด้วยความแปลกใจ นี่มันเป็นเงินที่มากที่สุดที่ผู้เป็นพ่อเคยมอบให้นางเลย
ซูหวานหว่านดีใจมากที่พ่อห่วย ๆ เริ่มพัฒนากลายเป็นพ่อที่ดีตามที่นางหวัง
ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้าบ่งบอกเช้าวันใหม่มาเยือนแล้ว ซูหวานหว่านตื่นขึ้นและลุกขึ้นไปก่อเตาทำอาหาร หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปขึ้นเกวียน ซูจิ่นเฉียงเห็นน้องสาวถือถ้วยอาหารที่ถูกผ้าปิดเอาไว้จึงนึกสงสัย ทว่าเมื่อขึ้นมานั่งบนเกวียนแล้วเปิดดู จึงพบว่ามันคือเห็ดหูหนูและเห็ดหอมผัด
ซูจิ่นเฉียงเห็นก็รู้สึกประหลาดใจในการกระทำของนางจึงอดที่จะบ่นขึ้นมาอย่างสงสัยเสียไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าเมื่อวานเจ้าบอกไว้ว่าจะนำของพวกนี้ไปขายเพื่อหาเงินไม่ใช่หรือไง แล้วเจ้าเอามันมาทำอาหารหมดเลยงั้นหรือ?”
“ท่านพี่ เมื่อถึงเวลาท่านก็จะรู้เอง” ซูหวานหว่านตอบกลับพร้อมมอบรอยยิ้มที่เป็นปริศนาไปให้กับซูจิ่นเฉียง
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ออกเดินทางเข้าไปในเมืองด้วยกัน เมื่อถึงจุดหมายพวกเขาทั้งคู่ไม่ลืมถามผู้คนข้างทางว่าร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้คือที่ใด เมื่อได้คำตอบว่า ‘ร้านอาหารไท่อัน’ เป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุด มีผู้แวะเวียนเข้ามามากมายทั้งราคาก็ไม่ได้ถูก ซูหวานหว่านจึงรีบลากพี่ชายไปยังร้านอาหารแห่งนั้นทันที
ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปในร้านได้นั้นก็ได้พบกับเด็กหน้าร้านที่เชิดหน้าเชยคางมองใส่ด้วยความดูถูกอยู่ “ขอโทษทีนะ ร้านนี้หากต้องการเข้าไปต้องมีเงินอย่างน้อย 2 ตำลึงเงิน ข้าขอเก็บค่าผ่านทางจากพวกเจ้าคนละ 1 ตำลึง”
เหตุใดเด็กต้อนรับของที่นี่ถึงเป็นแบบนี้?
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วร้านอาหารนี้อาจจะถูกปิดก็ได้ การร่วมมือกับร้านอาหารแบบนี้คงจะไม่ใช่เรื่องดี
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขากำลังโดนดูถูกอยู่ คิดเหรอว่าคนอย่างซูหวานหว่านจะยอมปล่อยไปง่าย ๆ
ซูหวานหว่านหยิบตราไม้ออกมาจากแขนเสื้ออย่างเงียบ ๆ แล้วแสดงมันให้พวกเขาดู พลันใดนั้นท่าทางและคำพูดของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “โอ้…เชิญเข้ามาเลยท่านหญิง ข้าจะบอกให้ว่าร้านอาหารไท่อันของเราเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส! ทั้งยังมีพ่อครัวมีฝีมืออีกด้วย! ไม่ว่าท่านอยากทานอะไร ก็สามารถหาได้จากที่นี่!”
เขาดูให้ความสนใจกับนางมากเหลือเกิน ผิดกับเมื่อครู่
ทว่าซูหวานหว่านกลับตอบกลับไปแบบเหยียด ๆ “ขออภัยด้วย ข้าว่าร้านอาหารของเจ้าไม่เหมาะกับคนอย่างข้าหรอก ข้าควรเข้าร้านเล็ก ๆ แถวนี้ดูดีกว่า” เมื่อหญิงสาวพูดจบก็ดึงพี่ชายตัวเองออกจากหน้าร้าน
พูดจบนางก็ลากซูจิ่นเฉียงเดินออกไป เด็กหน้าร้านส่งสายตามองไปยังร่างผอมบางของทั้งคู่คนที่เดินออกไปด้วยความสงสัย ก่อนจะขยี้ตาหนึ่งครั้ง สิ่งที่พวกเขาสวมใส่อยู่ดูเหมือนเศษผ้าที่ขาดวิ่น “การใส่เสื้อผ้าที่ดูเหมือนขอทานนี่มันเป็นที่นิยมของคนมีเงินหรืออย่างไรกัน”
แต่งตัวแบบนี้จะไปรู้ได้ไงว่าร่ำรวย!
ซูจิ่นเฉียงยังคงงงกับท่าทีของเด็กหน้าร้านอาหารเมื่อครู่ไม่หาย เพราะเหตุใดท่าทางของคนผู้นั้นถึงเปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันไปถามซูหวานหว่านด้วยความสงสัย นางจึงซ่อนตราไม้ไว้ในแขนเสื้อดังเดิมก่อนจะพูดว่า “เขาอาจจะพบสัจจะธรรมของชีวิตก็เป็นได้”
ซูจิ่นเฉียงนึกขำให้กับคำตอบของซูหวานหว่าน “เขาดูถูกเราแบบนั้นจนข้าล่ะอยากจะท้าให้เข้ามาทดสอบความสามารถแข่งกับข้าจริง ๆ!”
ซูหวานหว่านไม่เข้าใจว่าการทดสอบความสามารถมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่นานสองพี่น้องก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้า ‘ร้านเจวียเซ่อ’ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้านอาหารไท่อัน แม้ว่าการตกแต่งร้านจะดูดีไม่เท่ากับร้านก่อน ทว่าดมจากกลิ่นอาหารอันหอมหวนชวนน่ากินที่ลอยมาแตะจมูก ซูหวานหว่านก็มั่นใจได้เลยว่ารสชาติและการปรุงอาหารของร้านนี้สามารถเทียบได้กับร้านอาหารไท่อันแน่ ๆ
หญิงสาวไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าร้านไท่อันที่การบริการแย่เพียงนั้น ทำไมผู้คนมากมายถึงเลือกที่จะเข้าไปกินร้านนั้นอยู่อีก!?