ตอนที่ 50 ถูกดูหมิ่นดูแคลน!
“ข้าได้โกหกอะไรท่านงั้นหรือ? ข้าไม่เคยยอมรับเสียหน่อยว่าข้าเป็นผี ทั้งหมดนี้มันเป็นการคาดเดาของพวกท่านเองไม่ใช่หรอกหรือ? เห็นพวกท่านกำลังคาดเดาอย่างมีความสุข ข้าจึงปล่อยมันไป” ซูหวานหว่านพูดเยาะเย้ยพร้อมกับหัวเราะออกมา “ลุงหวังอย่าโทษข้าฝ่ายเดียวเลย ท่านคิดไปเองว่าข้าเป็นผี เอ๊ะ! เหตุใดเสื้อผ้าของท่านถึงได้มีกลิ่นแปลก ๆ อ๋อ? หรือว่ากลัวจนฉี่ราดไปเลย?”
หวังต้าซุ่ยหรือที่รู้จักในนามลุงหวังโกรธขึ้นมาจึงพูดว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาเล่นตลกกับพวกเราเช่นนี้!”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย อย่ามาโทษข้าฝ่ายเดียวเสียให้ยาก ท่านต้องโทษตนเองที่เชื่อคำพูดของข้า” ซูหวานหว่านยังคงหัวเราะ หากนางจำได้ไม่ผิด หวังต้าซุ่ยเองก็โทษแม่ของนางเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขาที่ทำเรื่องที่น่ารังเกียจอีกทั้งยังไม่ยอมรับผิดอีกว่าตัวเองเป็นขโมยและยังไม่ไปอธิบายเพื่อช่วยแม่ของนาง แม่เจิ้นจะถูกแม่เฒ่าซูทุบตีจนเกือบตายรึ?
แต่เขากลับปล่อยให้แม่ของนางต้องเกือบตาย!
ซูหวานหว่านหยิบคบเพลิงขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา “ข้าไปก่อนนะ พรุ่งนี้พวกท่านก็มาที่บ้านข้า เพื่อมาขอเงินแล้วกันหากยังกล้าหน้าด้านมา”
ซูหวานหว่านพาพ่อแม่ของนางเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันที และพลันใดนางก็ได้เห็นฉีเฉิงเฟิงที่ดูเหมือนว่าเขาจะยืนรออยู่นานแล้ว
“ในที่สุดพวกท่านก็กลับออกมากันแล้ว” ฉีเฉิงเฟิงพูดพลางเอามือไขว้หลัง และพูดออกมาอย่างเบา ๆ ว่า “ข้าเพิ่งรู้ว่าซูหวานหว่านหายตัวไป ก็เลยจะขึ้นไปเพื่อช่วยตามหานางด้วยอีกแรง”
“ฉีเฉิงเฟิง!” ซูหวานหว่านได้เดินเข้าไปยืนข้าง ๆ ฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับกระทืบไปที่เท้าของเขาอย่างรุนแรงและตะโกนเรียกชื่อออกมาด้วยความโกรธ
เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนเห็นฉีเฉิงเฟิงเดินเข้าไปในป่าลึกก่อน แล้วทำไมเขาถึงออกมาก่อน? อีกยังมายืนรอข้าอยู่ที่นี่? ยังจะมาพูดจาเช่นนี้อีก?
เขาจะมาช่วยหรือมาสร้างปัญหากันแน่?
เมื่อได้เห็นพวกเขาทั้งสองคน แม่เจิ้นก็ตกตะลึงไปในทันที ความจริงก่อนที่นางจะออกมาตามหาซูหวานหว่าน นางไปตามหาลูกสาวที่บ้านของฉีเฉิงเฟิงก่อนแล้ว ทว่าก็ไม่พบตัวของซูหวานหว่าน ทั้งยังไม่พบกับฉีเฉิงเฟิงเช่นกัน
เมื่อนึกถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ แม่เจิ้นก็ได้สงสัยว่าซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงได้มาที่หลังภูเขานี้ด้วยกันหรือไม่ นางจึงดึงตัวของซูหวานหว่านออกมา แล้วพูดด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมว่า “คุณชายฉี หากเจ้าไม่ได้ชอบซูหวานหว่านของข้า อย่าพานางไปที่ด้านหลังภูเขานี้อีก เจ้าทำแบบนี้มันอาจจะทำให้ซูหวานหว่านถูกเอาไปนินทาเสีย ๆ หาย ๆ ได้!”
“ท่านป้า ข้า…” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้ว ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี?
ฉีเฉิงเฟิงหันไปมองซูหวานหว่านเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าซูหวานหว่านจ้องมองมาที่เขาอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ใครเป็นคนสั่งให้เขาออกมายืนรอนางกัน? ไม่งั้นแม่ของนางที่ไม่รู้เรื่องอะไรคงไม่พูดเช่นนี้ออกมาหรอก!
ฉีเฉิงเฟิงครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า “ท่านป้า ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
อะไรนะ?
ในหัวใจของซูหวานหว่านตอนนี้เหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งผ่านไป คำพูดของฉีเฉิงเฟิงมันหมายความว่าอย่างไร!
หรือว่าจะเป็นการยอมรับว่านางและเขาได้มาที่ด้านหลังภูเขาด้วยกันและไม่บอกคนอื่นให้รู้เรื่องนี้?
ไม่ได้ นางจะต้องอธิบายเรื่องนี้!
ซูหวานหว่านรู้สึกว่าในหัวของนางมีแต่เรื่องหนักอึ้ง แต่นางก็คงยังไม่พูดอะไรออกมา ฉีเฉิงเฟิงก็พูดออกมาว่า “ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกัน อีกทั้งพวกเราก็ไม่ได้เข้าไปทำเรื่องผิดผี หากข้าทำจริง แน่นอนว่าข้าจะรับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นข้าขอให้ฟ้าดินลงโทษ ท่านโปรดวางใจได้”
เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงใช้วิธีนี้แม่เจิ้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนซูต้าเฉียงยังคงอยู่ในท่าทีที่ไม่สบายใจสักเท่าไร เขาชูกำปั้นขึ้นแล้วพูดว่า “คุณชาย เจ้าอย่ามารังแกหวานหว่านของเราเด็ดขาด!”
“ข้าไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาพร้อมกับส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่! ข้ากับเขาไม่ได้ทำเรื่องผิดผีกันจริง ๆ! ข้ามีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น และตอนนี้ข้าก็ยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานออกเรือน! ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วพวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ” ซูหวานหว่านรีบเร่งเดินกลับบ้าน
หลังจากที่พูดจบ พวกเขาก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นขึ้นมาที่บนหน้าผากของตัวเอง ซูหวานหว่านจึงแบมือออกมาลองสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แล้วนางก็รู้สึกว่ามีฝนตกลงมาปรอย ๆ
ฝนกำลังจะตกงั้นหรือเนี่ย!
ซูหวานหว่านกำลังจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าถูกซูต้าเฉียงพูดขัดขึ้นมาก่อน “ฝนกำลังตกมาปรอย ๆ พวกเราอย่าเพิ่งตกใจไป”
ก่อนที่จะพูดจบ คบเพลิงในมือของซูหวานหว่านได้ถูกเม็ดฝนกระทบใส่และเมื่อมีลดพัดผ่านมาคบเพลิงก็พลันดับไป
เม็ดฝนเริ่มใหญ่และตกแรงขึ้น ซูหวานหว่านจึงวิ่งไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ ส่วนแม่เจิ้นนางได้ใช้ใบไม้ยกขึ้นเหนือหัวของตัวเองเอาไว้เพื่อใช้ทำเป็นที่กำบังฝนชั่วคราวไปก่อน
ทว่าอย่างไรก็ตามซูหวานหว่านเพิ่งรู้สึกได้ว่าหัวของนางไม่โดนเม็ดฝนเลย เมื่อได้เงยหน้าขึ้นนางก็เห็นฝ่ามือเรียวคู่หนึ่งอยู่เหนือศีรษะของตัวเอง นางมองผ่านช่องว่างบาง ๆ ระหว่างนิ้ว เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของชายหนุ่มตรงหน้า ทำเอาหัวใจของซูหวานหว่านพลันเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
“รีบวิ่งไปตอนนี้น่าจะทันอยู่ ดูท่าฝนน่าจะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ” ฉีเฉิงเฟิงได้บอกและทั้งสี่คนก็รีบวิ่งกลับไปที่บ้านของพวกเขา
ซูหวานหว่านบอกลากับฉีเฉิงเฟิง และสั่งให้กลับบ้านของตัวเองไปก่อน จากนั้นนางก็เร่งฝีเท้าตามพ่อแม่ของตัวเองไปทีหลัง ทันทีที่นางไปถึง แม่เฒ่าเจียงกำลังนั่งกอดกับซูเสี่ยวเหยี่ยนอยู่นอกประตูบ้าน พวกเขาทั้งสองคนเปียกจนตัวหนาวสั่นไปหมด
เมื่อเห็นทั้งสามกลับมาบ้าน แม่เฒ่าเจียงก็รีบพูดขึ้นมา “หลังคาบ้านรั่ว! ไม่มีที่ให้อยู่ในบ้านได้เลย! ห้องนอนก็เปียกจนนอนไม่ได้แล้ว! เร็วเข้า! รีบไปเก็บของ แล้วออกมาข้างนอกมานั่งห่มผ้าเพื่อทำร่างกายให้อบอุ่นก่อน”
เงินที่นางซ่อนเอาไว้บางส่วนยังอยู่ในห้อง!
ซูหวานหว่านรีบเข้าไปในห้องนอนทันทีแล้วดึงกระดานไม้บนผนังออก นางเอาเงินที่ซ่อนเอาไว้ออกมา พลันใดนั้นก็มีเสียงดัง ปัง ขึ้นเหนือหัวของนาง ส่วนของเสาที่ติดกับมุงหลังคาบ้านร่วงลงใส่พื้นเสียงดังสนั่น
หลังคาพัง!
ซูหวานหว่านเกิดอาการตกใจเพราะว่าบ้านทำจากไม้ หากหลังคาพังขึ้นมาแล้วล่ะก็แน่นอนว่ามันจะทนต่อฝนที่ตกหนักในคืนนี้ไม่ได้แน่ ๆ แล้วแถมบ้านจะขึ้นราและห้องนอนจะต้องมีกลิ่นอับชื้นจนอยู่ไม่ได้
เมื่อได้ยินเสียงดัง แม่เจิ้นและคนอื่น ๆ ก็พากันวิ่งเข้ามาดู เมื่อพวกเขาเห็นภาพตรงหน้าก็พากันตกใจที่มีรูขนาดใหญ่บนหลังคาบ้าน
“พวกเด็ก ๆ ซูต้าเฉียง! พวกเราจะทำอย่างไรกันดี! ต่อไปพวกเราจะไปอยู่ที่ใดกัน!”
ซูต้าเฉียงยืนมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยความงุนงง และพูดพึมพำออกมาว่า “หรือว่าเราจะไปขออยู่อาศัยกับท่านแม่ก่อนดี?”
“ไม่!” ซูหวานหว่านรีบคัดค้านออกมา หากนางต้องแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากแม่เฒ่าซู ปล่อยให้นางตายอยู่ตรงนี้เสียจะดีกว่า!
ซูหวานหว่านครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง นางยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้างน่าจะพอเอามาซ่อมแซมบ้านได้
เมื่อคิดว่าจะซ่อมแซมบ้าน ซูหวานหว่านก็รู้สึกตื่นเต้นมากและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้ามีวิธีแก้ปัญหาแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกท่านไปขอแรงจากชาวบ้านมาช่วยเราซ่อมแซมบ้าน ส่วนข้าจะขึ้นเกวียนไปกับลุงฉือโถวเพื่อนำของที่เราเก็บมาจากหลังภูเขาเข้าไปขายในเมือง เมื่อข้าขายของหมดแล้วได้เงินมาข้าจะเอาเงินที่ได้มาจ่ายเป็นค่าแรงงานของพวกเขา”
พ่อและแม่ของนางก็ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปสักพัก ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงเท่านี้
พวกเขาจึงพากันวิ่งไปที่ชายคาเพื่อหลบฝนก่อน สายลมหนาวพัดผ่านมาอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่มีใครที่จะนอนหลับได้ลงเลยในตอนนี้ จนกระทั่งผ่านไป 1 ชั่วยาม ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ฝนที่ตกหนักในที่สุดก็ได้หยุดลง
ซูหวานหว่านจึงรีบวิ่งไปหาลุงหลี่ฉือโถวเพื่อเหมาเกวียนเข้าไปขายของในเมือง จู่ ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเอาของบางสิ่งมาด้วย นางจึงลงจากเกวียนแล้วเดินกลับบ้านไปเอาของก่อน
ทว่าก่อนที่นางจะเดินถึงบ้าน นางก็ได้เห็นซูต้าเฉียงถูกครอบครัวหนึ่งกำลังขับไล่ออกมา พลันใดนางก็ได้ยินเสียงแหลมคมพูดถากถางขึ้นว่า “ซูต้าเฉียง! ตอนนี้ก็เช้าแล้ว เจ้ากำลังพูดเรื่องตลกฝันกลางคืนอันใดอยู่! เจ้ามีเงินจ่ายค่าแรงพวกชาวบ้านผู้ชายที่จะให้ไปช่วยเจ้าซ่อมแซมบ้านหรือ? ครอบครัวเจ้าตกอับซะขนาดนั้น? เจ้าคงจะบ้าไปแล้วแน่ ๆ!”
ปัง! ประตูหน้าถูกปิดใส่หน้าซูต้าเฉียง
“พี่หวัง ข้าจะให้เงินพวกท่านจริง ๆ นะ!” ซูต้าเฉียงพูดออกมา เขาไม่สามารถแบกหน้าตัวเองต่อไปได้ และเสียงของพ่อของนางก็เบาลงเรื่อย ๆ
ซูหวานหว่านเห็นเช่นนั้นนางถึงกับโกรธมาก พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “ป้าหวังเรื่องเงินค่าจ้างไม่ใช่เรื่องที่ข้าพูดโกหก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นแล้วหากเมื่อใดที่พวกเจ้ามาของานทำ ข้าก็จะไม่รับพวกเจ้าเหมือนกัน!”
“ฮึ่ย! หากพวกเจ้ามาอดตายต่อหน้าข้า ข้าก็จะไม่มีทางให้การช่วยเหลือใด ๆ ครอบครัวเจ้าเด็ดขาด!” จู่ ๆ ป้าหวังก็เปิดประตูบ้านออกมาอย่างกะทันหัน และยกถังน้ำออกมาสาดใส่พร้อมกับพูดว่า “รีบไสหัวออกไปซะ อย่ามาทำให้ประตูบ้านของข้าเปอะเปื้อนเสนียดจัญไร!”
ซูหวานหว่านถึงกับเปลี่ยนสีหน้าทันที แล้วใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ครอบครัวของนางตกอับถึงขนาดไหนกัน ถึงได้ถูกคนอื่นดูถูกดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามศักดิ์ศรีได้เพียงนี้!?