“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน?” ซูหวานหว่านถามออกมา
“ไม่มีอะไร” ฉีเฉิงเฟิงส่ายศีรษะ เหลือบมองไปที่ซูหวานหว่านครู่หนึ่งแล้วหันกลับมา “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าคุณชายถังต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดเพียงเท่านั้น?”
คุณชายถังแสร้งส่งเสียงไอพร้อมทั้งหยิบหยกขาวบริสุทธิ์ราวกับขนแกะออกมาสองชิ้น พร้อมกระดาษที่มีโครงร่างวาดลวดลายเอาไว้ออกมา “ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยแกะสลักจี้หยกคู่นี้ให้แก่ผู้สูงศักดิ์ของข้า หากเจ้าตอบตกลง ข้าจะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”
เมื่อเอ่ยจบ คุณชายถังก็หยิบเงินออกมา “นี่เป็นเงินมัดจำ 100 ตำลึง ข้าหวังว่าเจ้าจะตอบตกลงแกะสลักของจี้หยกชิ้นนี้ให้ข้า”
“ท่านไม่จำเป็นต้องให้เงินมัดจำแก่ข้าหรอก ข้ากับหวานหว่านเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน แต่ดูเหมือนว่าคุณชายถังกับแม่นางซูจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ ข้าสามารถช่วยท่านแกะสลักจี้หยกชิ้นนี้ได้ และข้าไม่ต้องการเงิน” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาพร้อมเหลือบมองซูหวานหว่านอีกครั้ง
จากการที่ฟังทั้งสองเจรจากันแล้ว ซูหวานหว่านเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นเมียน้อยหรือนางสนมที่อยู่ในวัง คำพูดของฉีเฉิงเฟิงเปรียบเหมือนหนามทิ่มแทงเสียดสีนางและคุณชายถัง ราวกับว่านางกับคุณชายถังเป็นชู้กัน!
ซูหวานหว่านจับคางของตัวเองและจ้องไปที่ฉีเฉิงเฟิง ฉีเฉิงเฟิงเองก็มองมาที่นางราวกับว่าเขากำลังโกรธนางโดยไม่มีเหตุผล
คุณชายถังยิ้มและส่ายหัวออกมาเบา ๆ เขาวางเงินเอาไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ข้ากับแม่นางซูมีความบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มีความสนิทสนมชิดเชื้ออะไรทำนองนั้นและเจ้าก็ควรรับเงินที่เจ้าสมควรได้รับเอาไว้ด้วย”
เมื่อกล่าวจบ คุณชายถังก็หยิบจี้หยกที่เอวของเขาขึ้นมายื่นให้กับซูหวานหว่านพร้อมกับยิ้มแล้วกล่าวว่า “แม่นางซู จี้หยกชิ้นนี้มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้นะ เจ้าควรเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นไปทั่ว”
เมื่อเอ่ยจบ คุณชายถังก็หมุนตัวเดินจากไป
สองคนนี้กำลังคุยเรื่องอะไรกัน? ซูหวานหว่านเตรียมหันกลับแล้วเดินตามออกไป แต่จู่ ๆ ก็มีมือใหญ่มาโอบเอวนางเอาไว้ก่อน
ฉีเฉิงเฟิงออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซูหวานหว่านก็พลิกตัวหันหลังกลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสียแล้ว
ชายหนุ่มจ้องมองไปที่ซูหวานหว่านด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสับสน เมื่อมองไปที่ริมฝีปากสีแดงสดราวกับลูกท้อของซูหวานหว่าน เขารู้สึกว่าดวงตาของตนเองรู้สึกร้อนผ่าวและค่อย ๆ ก้มหน้าลงไป
ใบหน้าของชายหนุ่มเคลื่อนเข้าใกล้ซูหวานหว่านเรื่อย ๆ ระยะห่างของพวกเขาค่อย ๆ ลดลง ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกตกใจ “ฉีเฉิงเฟิง! เจ้าคิดจะทำอะไร…อื้ม”
ริมฝีปากร้อนของชายหนุ่มทาบลงบนริมฝีปากของเด็กสาว ซูหวานหว่านนิ่งงันด้วยความตกตะลึง พลันใดใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เพียงครู่เดียวฉีเฉิงเฟิงจึงถอนริมฝีปากออกมา “ไม่เคยพบเห็นคนโง่เช่นนี้มาก่อน ตกใจเสียจนลืมหายใจ”
ฉีเฉิงเฟิงกำลังหัวเราะเยาะนาง ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแน่น นางคว้าไปที่ปกเสื้อของฉีเฉิงเฟิงและกระชากเขาเข้ามาพร้อมกับกดริมฝีปากของตนเองลงไปที่ริมฝีปากของฉีเฉิงเฟิงอีกครา
ทันใดนั้นซูหวานหว่านเหมือนจะรู้สึกตัวได้สติขึ้นมาว่าตนกำลังทำสิ่งใด จึงหยุดการกระทำนั้น
เหตุใดนางถึงจูบตอบฉีเฉิงเฟิง? เป็นเพียงเพราะอารมณ์โกรธงั้นหรือ? ดูเหมือนจะไม่ใช่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วมันเป็นเพราะเหตุผลใดกัน หรือความจริงแล้วนางชอบฉีเฉิงเฟิง?
ซูหวานหว่านขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พลันใดก็ได้ยินเสียงของฉีเฉิงเฟิงหัวเราะออกมา “ไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งกล้าสามารถมากหรือไง? เหตุใดถึงไม่ทำต่อล่ะ?”
จะพูดง่าย ๆ ก็คือเขาเพียงแค่อิจฉา
“เจ้า!” ซูหวานหว่านหน้าแดงก่ำ แต่นางไม่กล้ามองสบตาฉีเฉิงเฟิงตรง ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบไปอย่างไรดี
ฉีเฉิงเฟิงคิดว่าเรื่องนี้มันกะทันหันมากเกินไป ทว่าตอนนี้มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่บ้านเช่าของเจ้าเพื่อทำการหมั้นหมาย เจ้าว่าอย่างไร?”
“หะ!” ซูหวานหว่านจ้องมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง “ข้าถูกเจ้าเอาเปรียบไปเมื่อครู่ก็มากพอแล้วนะ นี่เจ้ายังคิดจะเอาเปรียบข้าไปตลอดชีวิตเลยอย่างงั้นหรือ?”
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ได้เอาเปรียบเจ้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าถือว่าเป็นคนของข้า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมาสู่ขอเจ้า” ฉีเฉิงเฟิงพูดพลางยิ้มออกมา
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ซูหวานหว่านอีกครั้ง ซูหวานหว่านก้าวถอยหลังหนีด้วยความตกใจพร้อมกับพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้น ข้าเพียงแต่เสียริมฝีปากไปให้กับเจ้าเท่านั้น ข้าไม่ถือ หากข้าจะต้องแต่งงานกับผู้อื่นก็คงจะไม่เป็นไรเช่นกัน”
“เจ้ากล้าอย่างงั้นรึ!” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วแน่น ชายหนุ่มอุ้มซูหวานหว่านขึ้นแล้ววางนางลงบนเตียง
ขนตาที่ยาวของเขาเหมือนปีกผีเสื้อ ปลายจมูกลากผ่านแก้มซูหวานหว่าน การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวทว่าสัมผัสของมันเหมือนกับมดคลานไปทั่วร่างกาย
“เหตุใดหัวใจของเจ้าถึงเต้นแรงถึงเพียงนี้ เจ้าป่วยงั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็กดริมฝีปากสีแดงสดของตนลงไปประกบลงบนริมฝีปากของซูหวานหว่านอีกครั้ง
เหตุใดนางถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาเป็นคนที่ไร้ยางอายมากเช่นนี้! ซูหวานหว่านเปิดริมฝีปากของตัวเองออก ลิ้นร้อนของฉีเฉิงเฟิงก็สอดเข้ามาในปากของนาง พวกเขาจูบกันอย่างดูดดื่ม ซูหวานหว่านก็อดไม่ได้ที่จะร้องคร่ำครวญออกมาว่า “ประตู…ไม่ได้ปิด…!”
เมื่อพูดออกมาเช่นนั้น ซูหวานหว่านก็อยากจะตบปากตัวเองที่บอกว่าประตูไม่ได้ปิด แสดงว่านางกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างกับฉีเฉิงเฟิงใช่หรือไม่?
ฉีเฉิงเฟิงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับขยับร่างของตนออกมา “ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนโง่เหมือนตอนนี้มาก่อนเลย”
“เจ้าน่ะสิโง่!” ซูหวานหว่านสูดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับเช็ดความอบอุ่นออกจากริมฝีปากของตน นางรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญมากเมื่อเห็นท่าทีที่เฉยชาของฉีเฉิงเฟิง
ฉีเฉิงเฟิงจัดเสื้อผ้าของตัวเองเบา ๆ จากนั้นเขาจึงหยิบจี้หยกที่คุณชายถังถอดเอาไว้ขึ้นมา ผูกเอาไว้ที่รอบเอวของซูหวานหว่าน
จากนั้นหยิบจี้หยกบนข้อมือของเขาซ้อนทับกับจี้หยกของซูหวานหว่าน และเมื่อนำจี้หยกสองซีกประกบเข้าด้วยกันแล้วส่องแสงมองดูกับดวงอาทิตย์ มันก็จะปรากฏคำว่า ‘หว่าน’ ให้เห็นอย่างชัดเจน คนออกแบบหรือสลักมันออกมาได้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการทำมันออกมา
“เจ้ารู้ความในใจของข้าแล้วหรือยัง?”
ซูหวานหว่านมองไปที่แก้มของฉีเฉิงเฟิง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ว่าชายผู้นี้เป็นคนที่ไม่เลวเลยจริง ๆ ทว่าพอนางกำลังจะปฏิเสธออกมา ฉีเฉิงเฟิงก็เดินไปที่โต๊ะเพื่อเขียนอะไรบางอย่าง เขานำกระดาษมาวางพร้อมกับเขียนข้อตกลงขึ้นมา
“นี่คือคำมั่นสัญญาของข้าที่มีต่อเจ้า มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต”
เห็นคำว่า ‘สัญญา’ สองคำที่เขียนอยู่บนกระดาษ ในบรรทัดถัดมาก็มีตัวหนังสือเรียบหรูเขียนเอาไว้ว่า….. ตราบเท่าที่เจ้าต้องการข้า เจ้าก็จะมีข้าอยู่
“เจ้าเคยบอกว่า ในชีวิตนี้ของเจ้าจะต้องเป็นคู่ชีวิตของใครสักคนเพียงแค่คนเดียว และข้าให้สัญญากับเจ้าได้เลย ว่ามันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
คำพูดของเขาเหมือนจะดูดี ทว่าเราจะเชื่อคำพูดของผู้ชายได้อย่างไรกัน? ซูหวานหว่านยังคงไม่เชื่อในตัวฉีเฉิงเฟิง นางส่ายหัวไปมาอย่างไม่ต้องการสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป แต่นางก็ได้รับกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้พร้อมกับพูดว่า “งั้นพอแค่นี้เถอะ ข้าขอกลับก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน” ฉีเฉิงเฟิงรั้งซูหวานหว่านเอาไว้ “เจ้าคิดว่าข้าควรไปสู่ขอเจ้าเมื่อใดดี? หากเจ้าไม่บอกข้า พรุ่งนี้ข้าจะไปบ้านเจ้าอย่างแน่นอน”
ฉีเฉิงเฟิงกำลังเร่งเร้านางรึ? เหตุใดถึงรีบร้อนเพียงนี้?
ซูหวานหว่านหยุดคิดชั่วครู่ พร้อมกับเอ่ยถามออกมา “เจ้าอยากจะแต่งงานกับข้าจริง ๆ หรือ?”
“อืม” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้า พลางรีบหยิบกล่องใบหนึ่งภายในบ้านออกมา เขาเปิดมันออกและมีป้ายไม้เล็ก ๆ เขียนเอาไว้ว่าร้านแลกเงิน ในกล่องมีเงินจำนวนมากกระจัดกระจายวางอยู่ในนั้น “ฮูหยินฉี นี่เป็นของเจ้า”
เหตุใดเขาถึงกล้าเรียกนางว่าฮูหยิน? ช่างหน้าอายเสียจริง ๆ! ซูหวานหว่านบ่นกับตัวเองในใจแต่ใบหน้าของตนกลับขึ้นสีแดงระเรื่อ นางรับกล่องเงินนั้นมาพร้อมมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง “หากเจ้าพูดออกมาเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ต้องทำให้ได้ด้วย เช่นนั้นแล้วข้าขอพูดอย่างตรงไปตรงมากับเจ้าเลยแล้วกัน เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า ตามใจข้า ไม่หลอกลวงข้า ดูถูกข้าหรือหักหลังข้า หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”
“ตกลง ข้าสัญญากับเจ้า” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้แล้ว พรุ่งนี้ข้าควรไปสู่ขอเจ้าเลยดีหรือไม่?”
อยากจะตีหัวเขาสักที!
ทำไมเร็วนัก! นางยังไม่ทันบรรลุนิติภาวะเลย!
ซูหวานหว่านถึงกับกลอกตาและพูดว่า “ให้มันผ่านไปสักสองสามวันก่อนค่อยพูดเรื่องนี้”
“ย่อมได้” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้าอีกครั้งด้วยท่าทางสุภาพ “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปในเมือง แล้วจะแวะไปเยี่ยมเยียนพี่เขยนะ”
ให้ตายเถอะ! พี่เขยอย่างงั้นเหรอ! ช่างไร้ยางอายเสียจริง! ใบหน้าของซูหวานหว่านขึ้นสีแดง นางเดินกลับออกไปแบบทำตัวไม่ถูก ทำให้ฉีเฉิงเฟิงเห็นแล้วถึงกับเผยยิ้ม เขาได้นำภาพวาดบนผนังออกมา แล้วเผยให้เห็นว่าในภาพวาดนั้นเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งฉีเฉิงเฟิงพลันรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองมันสดชื่นขึ้นมามาก
ซูหวานหว่านเดินไปถึงครึ่งทาง ในระหว่างทางนั้นนางก็ได้นึกถึงคำพูดของฉีเฉิงเฟิง หัวใจของนางรู้สึกสับสน นางรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันช่างหวานราวปานน้ำผึ้ง
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงออกมาจากในหัว มันก็คือเสียงของจิตวิญญาณมิติฟาร์มนั่นเอง “เจ้าบ้านที่เคารพของข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”