ไม่ได้เข้าไปในมิติฟาร์มเพียงครึ่งวัน จะเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าบริเวณนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ ซูหวานหว่านจึงเอนกายพิงต้นไม้ถอดจิตวิญญาณเข้าไปในมิติฟาร์ม หากคนอื่นผ่านมาเห็นคงคิดว่านางกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่
พอได้เข้ามาแล้วก็ได้เห็นว่ามิติฟาร์มของนางได้ขยายพื้นที่ในตัวมากกว่าสองเท่า อีกทั้งพื้นที่ในมิติฟาร์มยังเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาชนิดนับร้อยที่กำลังเบ่งบานมีสีสันสวยสดใส ทั้งบนเชิงเขายังมีกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นไว้ไม่กี่หลัง
ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใหญ่ตรงไหนเลย? จิตวิญญาณมิติฟาร์มกำลังเล่นตลกอะไรกับนาง ถึงต้องหลอกนางให้เข้ามาในมิติฟาร์มด้วยวิธีนี้กัน
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าบ้านด้วยที่ท่านได้มีความรัก ตอนนี้พื้นที่ในมิติฟาร์มได้ถูกผูกไว้กับฉีเฉิงเฟิงด้วย เพื่อที่พวกท่านทั้งสองสามารถร่วมกันทำภารกิจได้ ขอให้เจ้าบ้านรับภารกิจนี้ด้วย หากว่าเจ้าบ้านนั้นได้ทำภารกิจครบมากกว่า 3 ครั้งติดต่อกันภายในระยะเวลา 1 วัน ท่านอาจจะได้รับของรางวัลที่เหมือนได้ถูกรางวัลหรือคะแนนของท่านอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวเลยก็ว่าได้”
ยังมีภารกิจที่ต้องทำอีกงั้นหรือ? ซูหวานหว่านนึกคิด ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นตัวหนังสือขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า —- ภารกิจที่จะต้องทำมีดังนี้ :
ข้อที่หนึ่ง หากท่านสามารถกอดกับฉีเฉิงเฟิงจนหมดหนึ่งก้านธูปได้ ท่านจะได้รับคะแนน 500 คะแนน
ข้อที่สอง หากท่านแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิง ท่านก็จะได้รับคะแนนไปถึง 100,000 คะแนน
ข้อที่สาม ถ้าท่านกับฉีเฉิงเฟิงนั้นนอนกลิ้งกันบนผ้าปูที่นอนจะได้รับ…
เมื่ออ่านได้ถึงข้อที่สาม ใบหน้าของซูหวานหว่านแปรเปลี่ยนไปพลัน นางตะโกนออกมาว่า “ภารกิจพวกนี้เจ้าเป็นคนเขียนขึ้นมาใช่หรือไม่? เหตุใดจะต้องเอาเรื่องความรักมาเกี่ยวข้องด้วย!”
“นี่ไม่ได้เป็นภารกิจที่ข้าเขียนขึ้นมาเองหรอก หากท่านอยากรู้ว่าทำไมต้องมีภารกิจพวกนี้ ท่านต้องถามกับคนที่ดูแลมิติฟาร์มเสียแล้วล่ะ” จิตวิญญาณมิติฟาร์มบอกพร้อมกับหัวเราะเยาะ “ท่านกำลังมีความรัก ทำให้ท่านได้รับไป 10,000 คะแนน แต่ท่านมาพูดแบบนี้กับข้า เพราะฉะนั้นท่านจะต้องโดนหัก 1,000 คะแนน”
“…”
นางอยากจะตีจิตวิญญาณของมิติฟาร์มจริง ๆ!
ซูหวานหว่านกัดฟันพร้อมกับถอนจิตวิญญาณของตัวเองกลับมา นางเตรียมตัวกลับบ้านและไม่สนใจเกี่ยวกับภารกิจที่จิตวิญญาณมิติฟาร์มพูดอีกต่อไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก ก็มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นที่มุมข้างทางขวางนางเอาไว้ “ซูหวานหว่าน ตกลงว่าผู้ชายคนนั้นที่มาบ้านเจ้าเขาเป็นใครกันแน่?”
นี่มันไม่ใช่เจียงเส้าปังหรอกหรือ? เขาจะถามไปเพื่ออะไรกัน? ซูหวานหว่านส่ายหัวไปมา พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าจะถามข้าไปเพื่ออะไร? เจ้าก็ไปถามเขาเองสิ!”
พอกล่าวจบ ซูหวานหว่านจึงเดินเบี่ยงตัวไปทางขวา เจียงเส้าปังสกัดนางเอาไว้เช่นกัน ไม่ว่านางจะเดินไปทางไหนเจียงเส้าปังก็จะขวางทางเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน “หากเจ้าไม่บอกกับข้ามาดี ๆ ล่ะก็ เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”
เจียงเส้าปังคิดว่าซูหว่านหว่านนั้นจะกลัว ทว่านางกลับสงบนิ่งมาก นางทำเพียงกล่าวออกมาเบา ๆ “ไสหัวไปให้พ้น!”
มีคนกล้าไล่เขาด้วยหรือ? ช่างตลกยิ่งนัก! เจียงเส้าปังดึงดาบออกมา เขาใช้มือขวาของตัวเองลูบไล้ไปที่คมดาบ แล้วกล่าววาจาข่มขู่ “หากเจ้ายังไม่บอกข้ามาดี ๆ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ทันใดนั้นเจียงเส้าปังก็จ้องไปที่คิ้วของซูหวานหว่าน เขาก้าวไปข้างหน้าก้มมองใบหน้าของนาง ทำให้เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเส้นผมจากหญิงสาว พลันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมา “ซูหวานหว่าน หากเจ้าบอกกับข้ามา ข้าอาจจะรับเจ้าไปเป็นอนุของข้าอีกคนก็ได้นะ เจ้าว่าอย่างไร?”
พูดจาราวกับว่าตนกำลังให้ทานนางอยู่งั้นรึ? เจียงเส้าปังไปเอาความกล้ามาจากที่ใดถึงกล้าพูดออกมาแบบนี้? ซูหวานหว่านรู้สึกว่าบุคคลนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกถึงความอบอุ่น และกลิ่นหอมจาง ๆ ของหมึกที่ติดอยู่กับปลายจมูกของตัวเอง มันทำให้ซูหวานหว่านรับรู้ได้ทันทีว่าคนข้างหลังคือฉีเฉิงเฟิงโดยไม่ต้องหันไปมองหน้า สิ่งที่นางรู้สึกแปลกใจก็คือว่าเหตุใดฉีเฉิงเฟิงจึงมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังของนางอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
ซูหวานหว่านหันศีรษะกลับไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ก้มศีรษะลงมา ทั้งสองจึงได้จุมพิตกันเบา ๆ ทำให้ใบหน้าของซูหวานหว่านแดงก่ำขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ มือของเขารวบไปที่เอวของเด็กสาวเอาไว้แน่น พร้อมกับจ้องมองไปที่เจียงเส้าปัง “นางเป็นผู้หญิงของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมายุ่งกับนาง”
ซูฉิงฉิงบอกกับเขาเองไม่ใช่หรือว่าซูหวานหว่านโดนถอนหมั้นไปแล้ว อีกทั้งยังไม่มีใคร แล้วที่อีกฝ่ายมาหานางก็ไม่ใช่เพราะความงามของซูหวานหว่าน แต่เพราะต้องการทราบชื่อว่าชายชุดขาวผู้นั้นว่าเป็นใครกันแน่ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มา!
ตอนนี้มาบอกว่าซูหวานหว่านเป็นผู้หญิงของคนอื่น เช่นนี้เขาจะยินยอมได้อย่างไร!? เขาเก็บมีดกลับไป พร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินที่เอวของตัวเองออกมา “เจ้าเด็กยากจน เจ้าบอกว่าซูหวานหว่านนั้นเป็นของเจ้างั้นหรือ? หากข้าบอกว่าข้าจะให้เงินนาง 10 ตำลึง ดูสินางจะอยู่กับเจ้าอยู่ไหม—”
เจียงเส้าปังยังไม่ทันพูดกล่าวประโยค ซูหวานหว่านก็อดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้นมา “หุบปากเจ้าไปซะ เจ้านี่มันช่างเป็นคนที่น่าขยะแขยงเสียจริง”
“เห็นหรือยัง?” ฉีเฉิงเฟิงยิ้มออกมาราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ ซูหวานหว่านเห็นแบบนั้นก็ถึงกับตกตะลึงกับรอยยิ้มนั้น
ในสายตาของเจียงเส้าปัง พวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยความรักและความเสน่หา มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก พร้อมกับพูดออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าสองคนมันก็เหมือนกับสุนัข!” หลังจากนั้นเขาจึงเก็บกระเป๋าเงินกลับเข้าไปที่เอวของตัวเองพร้อมกับพูดต่อว่า “ซูหวานหว่าน! เจ้าได้พลาดโอกาสในการอยู่ดีกินดีไปเสียแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ!”
“ข้า…” ซูหวานหว่านยังไม่ทันจะพูดจบประโยคก็ได้ถูกฉีเฉิงเฟิงกระชับกอดอีกครั้ง “ผู้หญิงของข้า ข้าจะดูแลรักษานางเป็นอย่างดี จะไม่ทำให้นางรู้สึกเสียใจ เจ้าควรวางใจซะ”
เมื่อฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาเช่นนี้ มันทำให้ซูหวานหว่านได้ยินการเต้นของหัวใจที่กำลังปั่นป่วนของตัวเองอย่างชัดเจน
“ย่อมได้! หากพวกเจ้าทำได้นะ!” ใบหน้าของเจียงเส้าปังดำคล้ำราวกับก้นหม้อ ทันใดเขาก็ลืมจุดประสงค์หลักที่จะมาถามถึงชายชุดขาวว่าเป็นใคร และเดินจากไปด้วยความโกรธ
เจียงเส้าปังเดินออกไปแล้ว แต่เหตุใดพวกเขาถึงยังกอดกันแน่นอยู่? ซูหวานหว่านรู้สึกเขินอาย นางกำลังจะผลักอ้อมกอดของฉีเฉิงเฟิงออกไป แต่เสียงของจิตวิญญาณมิติฟาร์มก็ดังขึ้นมาในใจของนาง “เจ้าบ้าน ท่านอย่าเพิ่งขยับตัวออก! ขาดแค่อีกครู่เดียวท่านก็จะถูกฉีเฉิงเฟิงกอดถึงครึ่งก้านธูปแล้ว ท่านสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้แล้วจะได้รับคะแนน”
เมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นเพียงครู่เดียวย่อมได้! นางต้องรอ! ซูหวานหว่านจึงไม่ได้ขยับตัวแต่อย่างใด แต่ฉีเฉิงเฟิงกำลังจะผลักซูหวานหว่านออก นางจึงดึงตัวของฉีเฉิงเฟิงกลับมาอย่างกะทันหัน
ทว่านางออกแรงมากเกินไปทำให้ฉีเฉิงเฟิงล้มตัวเอนลงมา ทำให้ใบหน้าของพวกเขาใกล้ชิดกัน ลมหายใจอุ่น ๆ ของฉีเฉิงเฟิงพ่นใส่ใบหน้าของซูหวานหว่าน มันราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเอาใบไม้มาถูบนใบหน้าของนางอยู่ ทำให้นางรู้สึกคันยิบยิบ
ซูหวานหว่านถอยใบหน้าห่างออกเมื่อเห็นว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังขยับมาใกล้ใบหน้าของนาง พร้อมกับปิดปากของตัวเองแล้วกล่าวออกมา “เจ้าอย่าเข้ามาใกล้นะ!”
“เจ้าจะตื่นตระหนกอะไรกัน?” ฉีเฉิงเฟิงยิ้มและกำลังจะเดินไปส่งซูหวานหว่านกลับบ้าน ซูหวานหว่านปฏิเสธไป แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะไปส่ง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ฉีเฉิงเฟิงเดินตามไปส่งนางที่บ้าน
ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงก้าวเดียว ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือทางขวาชาวบ้านต่างก็พากันพูดคุยซุบซิบกันขึ้นอีกครั้ง และเนื้อหาก็คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องอื้อฉาวที่ส่งผลแก่พวกเขาให้รู้สึกอับอาย
ซูหวานหว่านรู้สึกกังวลใจ พร้อมกับหันกลับมาจ้องฉีเฉิงเฟิงและพูดออกมาว่า “ฉีเฉิงเฟิง ข้าจะบอกอะไรเจ้าเอาไว้นะ ทางที่ดีเจ้าอย่าพูดจาอะไรไร้สาระดีกว่า”
“เจ้าตื่นตระหนกเกินไปอีกแล้ว?” ฉีเฉิงเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงความคิดภายในใจของซูหวานหว่าน “ข้ารู้ว่าข้านั้นควรจะต้องพูดจากับแม่ยายและพ่อตาของข้าอย่างไร”
ให้ตายเถอะ! เรียกว่าแม่ยายและพ่อตาเลยหรือไง! ซูหวานหว่านรู้สึกปวดหัวจนอยากจะฆ่าเขา แต่นางไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เมื่อได้มองสายตาที่อ่อนโยนของฉีเฉิงเฟิงที่มองนางอยู่
เมื่อฉีเฉิงเฟิงเดินมาส่งซูหวานหว่านถึงหน้าประตูบ้าน ซูหวานหว่านที่กำลังกังวลใจอยู่นั้นก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูลงอย่างแน่นหนา “ปัง!”
“เด็กผู้หญิงคงจะเขินอายมากจนปิดประตูใส่ ช่างแตกต่างจากผู้หญิงที่ร่ำรวยและมีอำนาจเหล่านั้นยิ่งนัก หึ” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมา เขายกยิ้มและหมุนตัวกลับไปช้า ๆ
ซูหวานหว่านเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับยืนมองดูฉีเฉิงเฟิงที่ริมหน้าต่าง และนางรู้สึกผิดเล็กน้อย นางเอนหลังพิงขอบหน้าต่างและยืนดูจนฉีเฉิงเฟิงเดินหายไปจากสายตา หลังจากนั้นนางก็ได้หันหลังกลับเพื่อเข้าไปในห้อง
พอตกกลางคืนที่เงียบสงัดในหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยควันฟืน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสุนัขเห่า
ซูหวานหว่านที่กำลังพยายามนอนอยู่ ทว่าทำยังไงนางก็นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่นกี่โมงกี่ยามแล้ว แต่ภายในหัวของนางนั้นกำลังคิดวุ่นวาย นึกถึงตอนที่ตัวเองได้ตอบตกลงกับฉีเฉิงเฟิง ทำให้นางเกิดอาการหน้าแดงขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูกอีกครั้ง
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอยู่ข้างนอก ซูหวานหว่านพลันลุกขึ้นตะแคงหูฟังที่หน้าประตูห้อง แต่เมื่อฟังจากเสียงแล้วดูเหมือนเสียงนั้นจะดังขึ้นบริเวณลานบ้าน
ซูหวานหว่านมองไปที่ซูเสี่ยวเหยี่ยนซึ่งกำลังนอนหลับอยู่
นางกระโดดออกทางหน้าต่าง ทันใดนั้นเสียงของฉ่ายโกวก็คำรามต่ำ ๆ อยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ซูหวานหว่านจึงใช้พลังวิเศษของนางเพื่อฟังเสียงฉ่ายโกวว่ากำลังคำรามอะไรอยู่ “ถ้าเจ้าต้องการฆ่าเจ้านายของข้า! ดูสิว่าข้าจะกัดพวกเจ้าตายเสียก่อนหรือเปล่า!”
รูม่านตาของซูหวานหว่านขยายกว้างขึ้น ใครมันช่างมีความกล้าหาญนักที่จะมาทำร้ายนาง!?