“เจ้าชอบผู้หญิงคนนี้หรอกรึ? นางมีดีอะไรกัน?” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาวดังขึ้นเรื่อย ๆ
ซูหวานหว่านเปิดประตูห้องอาหารมาก็พบกับสตรีสวมเสื้อคลุมขนนกสีชมพูดั่งลูกท้อ มีปิ่นหยกแกะสลักอยู่บนศีรษะ นางสวมใส่ตุ้มหูไข่มุกสีขาวบริสุทธิ์จากทะเลจีนใต้ มือเรียวยาวของนางกำลังถือภาพวาดหนึ่งเอาไว้
ฉีเฉิงเฟิงหยิบภาพวาดขึ้นมาพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่”
ซูหวานหว่านเพิ่งสังเกตเห็นว่าหญิงสาวในภาพวาดที่กำลังส่งยิ้มสวยนั่นคือตัวนางเอง
ฉีเฉิงเฟิงวาดภาพนางตั้งแต่เมื่อใดกัน? ซูหวานหว่านรู้สึกประหลาดใจมากและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
หญิงสาวคนนั้นเหลือบมองซูหวานหว่านและจ้องมองนางอยู่อย่างนั้น พร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าทำให้ข้าต้องอดทนรอราวคนสติไม่ดี แต่ทว่าไม่เป็นไร ความรักของพวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้าตั้งใจสร้างมันขึ้นมา ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองเหมือนดอกไม้ที่ร่วงหล่นแห้งตายด้วยความตั้งใจ”
“ข้าขอโทษ” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วดึงซูหวานหว่านมานั่งข้างตนเอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “แม่นางสือ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรออกมาแล้ว ต่อไปเจ้าอย่าได้รอข้าอีกเลย โปรดทำเหมือนกับว่าหลี่หยวนเอ๋อร์ผู้นั้นได้ตายไปแล้วเสียเถอะ”
หลี่หยวนเอ๋อร์คือผู้ใด? ซูหวานหว่านจ้องมองฉีเฉิงเฟิง เขาบีบข้อมือของนางเอาไว้เพื่อที่จะส่งสัญญาณให้ซูหวานหว่านรู้เป็นนัย ๆ ว่านั่นคือนามของเขา ทว่าก็ไม่ได้ทำอะไรมาก กลับเป็นหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามมีน้ำตาคลอไหลออกมาแทน
“ตกลง มันคงไม่มีหนทางเปลี่ยนแล้วสินะ ข้ายอมแพ้แล้วก็ได้” หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ยกมือขึ้นถอดสร้อยข้อมือหยกกลมออกแล้วกล่าวว่า “ภรรยาของหลี่หยวนเอ๋อร์ ข้าขอให้เจ้าทั้งสองคนครองรักกันตลอดไป ขอให้พวกเจ้าทั้งสองครองคู่กันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะ”
เหตุใดนางถึงยอมแพ้ง่ายดายเช่นนี้? ทั้งที่ตัวเองมาไกลถึงเพียงนี้แล้วแท้ ๆ ซูหวานหว่านรับรู้ถึงความเศร้าและความเกลียดชังในดวงตาของนาง จึงเอ่ยปฏิเสธ “ไม่จำเป็น เจ้าเพียงอวยพรให้พวกเราทั้งสองก็พอแล้ว สำหรับสร้อยข้อมือเส้นนี้มีมูลค่าสูงเกินกว่าที่สาวบ้านนอกเช่นข้าจะจำเป็น เจ้านำมันคืนไปเถอะ”
สาวใช้ของเหยียนเอ๋อร์ที่ติดตามมาด้วยพูดออกมาด้วยความโกรธ “หากเจ้ารู้ว่าตัวเองเป็นแค่สาวบ้านนอก เหตุใดเจ้าจะต้องมาทำให้คุณชาย…”
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ชายที่อยู่ด้านข้างจ้องไปยังเหยียนเอ๋อร์ แล้วคิดในใจ ‘สาวใช้คนนี้ช่างปากมากนัก เกือบจะเผยตัวตนของฉีเฉิงเฟิงแล้ว’
ฉีเฉิงเฟิงมองซูหวานหว่านก่อนจะทำความเคารพคนทั้งสองและออกมา จากนั้นเขาก็ได้พาซูหวานหว่านเดินลงไปที่ชั้นล่าง เอ่ยถามอย่างออกมาอย่างครุ่นคิดว่า “เจ้าอยากกินอะไร? ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
“ฉีเฉิงเฟิง อย่ามาเฉไฉเสียดีกว่า เจ้าเป็นอะไรกับสตรีผู้นั้นกันแน่! ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เด็กหรอกนะ?” ซูหวานหว่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธจัด นางหยิกไปที่เอวของฉีเฉิงเฟิง ทำให้เขาส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมาพร้อมกับคิดภายในใจว่ามันคงถึงเวลาที่เขาจะบอกความลับของตนเองเสียแล้ว
“ใช่” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้า
หัวใจของซูหวานหว่านก็กระวนกระวายขึ้นมา หลังจากที่ได้ยินฉีเฉิงเฟิงตอบรับมาเช่นนี้ มันก็มีแนวโน้มว่าเขาอาจจะมีเรื่องโกหกนางอีก
ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาอีกครั้งว่า “จริง ๆ แล้วข้าไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีพ่อหรือแม่หรอก ครอบครัวของข้าเป็นตระกูลใหญ่มาก ถือว่าเก่าแก่มากทีเดียว แต่ไม่ว่าจะยังไงข้าก็มีเรื่องที่ข้ายากจะหลีกหนี ข้าอยากจะมีความสุขและใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ข้าหนีออกจากบ้านมาตอนที่พวกเขากำลังจะจัดงานแต่งงานให้กับข้า…”
“ดังนั้นสตรีผู้นั้นก็คือผู้หญิงที่เจ้าหนีงานแต่งงานมาเหรอ?” ซูหวานหว่านเลิกคิ้วถาม จู่ ๆ นางก็เปลี่ยนบทสนทนาโดยการถามว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากกลับไปแล้ว งั้นเจ้าก็ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับที่บ้าน แล้วเจ้าก็คงจะต้องแต่งงานเข้าบ้านข้าแล้วซินะ?”
แต่งเข้า? เขานะหรือ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเขาก็ไม่อยากกลับไปแล้ว และตัวตนนี้ของเขาก็ไม่มีอยู่จริง มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้ามองไปที่ซูหวานหว่าน พลันใดนั้นก็ยิ้มและพูดออกมาอย่างสดชื่นว่า “งั้นก็ฟังภรรยาแล้วกัน ภรรยาพูดอะไรก็คงตามนั้น”
“ใครคือภรรยาของเจ้า!” ซูหวานหว่านกระทืบเท้าของฉีเฉิงเฟิง แล้วพาฉีเฉิงเฟิงไปหาที่นั่งกินอาหารต่อ
ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง หญิงสาวในห้องอาหารก็กัดฟันพูดออกมาอย่างขมขื่น มองไปยังชายที่อยู่ข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านพี่! ข้าอุตส่าห์มาตามเขาถึงที่ แต่เขายังไม่ชายตาแลข้าเลย ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมทิ้งทุกอย่างไปเพื่อสาวบ้านนอกนั่น ท่านต้องทำเพื่อข้านะ ช่วยข้าจัดการกับนังผู้นั้นก่อนที่พวกเราจะกลับไปที่เมืองหลวง!”
ชายคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสีเข้มของเขาก็พลันเปลี่ยนสีพร้อมกับปิดบังความเกลียดชังที่แข็งแกร่งภายใต้ใบหน้าที่ยังคงสงบนิ่งและอ่อนโยน “ตกลง”
ชายคนนั้นเดินไปที่หน้าต่างของห้องอาหาร มองลงไปที่ซูหวานหว่าน ดวงตาของเขาเต็มไปแววตาที่อยากจะฆ่าซูหวานหว่าน
ทางด้านซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงที่เพิ่งจะจัดการอาหารมื้อตรงหน้าเสร็จ และพูดคุยว่าจะกลับไปที่หมู่บ้าน ฮวงเหล่าก็ได้ไล่ตามพวกเขามาถึงร้านอาหารพร้อมกับตำราโบราณสีเหลืองในมือ
เขาส่งมันให้กับซูหวานหว่าน ซึ่งฉีเฉิงเฟิงกำลังเอื้อมมือจะออกไปรับเอาไว้แทน แต่ซูหวานหว่านก็รู้ทันทีเมื่อเห็นหนังสือโบราณเช่นนี้ จึงแสแสร้งทำเป็นยิ้มและถามออกมาโง่เขลา “ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ!”
“เหอะ! เจ้าออกมาทำอะไรข้างนอกเป็นเวลานานสองนานกัน? คนพวกนั้นที่อยู่ในบ้านของข้าถูกจับไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าอยู่บ้านคนเดียว เจ้าควรมาอยู่เป็นเพื่อนข้า! ตำราทั้งหมด 10 เล่ม วันนี้เจ้าจะต้องท่องจำให้ได้ 1 เล่ม หากท่องจำไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเพิ่มเป็น 2 เล่มให้เจ้าจำ!” ฮวงเหล่าลูบเคราของตนเองแล้วชี้ไปที่ร้านอาหาร “ไป ไปซื้อของอร่อยให้อาจารย์แล้วกลับบ้านไปกับข้าเสีย”
เหตุใดนางต้องมาเป็นลูกศิษย์หมอผู้นี้ด้วย?
ซูหวานหว่านเหลือบมองฉีเฉิงเฟิงอย่างเขินอายแล้วพูดออกมาว่า “งั้นวันนี้เจ้ากลับไปก่อนเถอะ อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะตามกลับไปที่หมู่บ้าน”
“ตกลง งั้นข้าจะกลับไปเตรียมตัวก่อน” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้า
“เตรียมตัวอะไร?” ซูหวานหว่านถามออกมาอย่างมึนงง
“เตรียมตัวสู่ขอเจ้าอย่างไรเล่า” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมา พลันใดใบหน้าของซูหวานหว่านก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ
ฮวงเหล่าที่ยืนอยู่ด้านข้างกระทืบเท้าด้วยความโกรธ พร้อมกับหยิบตำราโบราณที่อยู่ในอ้อมแขนของฉีเฉิงเฟิงกลับมา “ไป! ไป! ไปเลยนะ! พ่อหนุ่ม! เจ้ากล้าแสดงความรักต่อหน้าข้าได้อย่างไรกัน! คิดจะมารังแกข้าทางอ้อมอย่างงั้นรึ!”
ซูหวานหว่านยิ้มออกมาและบอกกล่าวให้ฉีเฉิงเฟิงกลับไป จากนั้นนางก็ได้เดินไปที่ร้านอาหารเจวียเซ่อเพื่อสั่งอาหาร ฮวงเหล่าก็เดินตามมาข้าง ๆ นาง แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนลูกศิษย์ของซูหวานหว่านมากกว่า จึงถามขึ้นมาว่า “สาวน้อย! อาหารล่ะ?”
“ข้าสั่งให้พวกเขาทำแล้ว เดี๋ยวพวกเขาจะไปส่งถึงที่เลยเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” ฮวงเหล่าถึงกับกระทืบเท้าด้วยความตกใจ “พวกเขาจะคิดเงินเพิ่มเป็น 2 ตำลึงเชียวนะถ้าให้ไปส่งอาหาร!”
“ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มสักเหรียญหรอกเจ้าค่ะ อีกทั้งจะไม่คิดค่าอาหารด้วยซ้ำ” ซูหวานหว่านยิ้มออกมาและเหลือบมองฮวงเหล่า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่ใจกว้างมากกับคนที่จู้จี้จุกจิกเช่นเขา
“เหตุใดถึงไม่คิดเงิน!” ฮวงเหล่าเหลือบมองซูหวานหว่านแล้วสงสัย “เจ้าคงไม่ใช่…”
“ข้าเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งในร้านอาหารเจวียเซ่อนี้เจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านยิ้มออกมา
ฮวงเหล่าตกใจอย่างมาก ซึ่งไม่กี่วันต่อมา ซูหวานหว่านก็รู้สึกเสียใจที่บอกเรื่องนี้ให้กับฮวงเหล่าได้รู้ เพราะเมื่อฮวงเหล่ารู้ถึงตัวตนของนาง เขาก็ไม่เคยก่อไฟบนเตาหรือทำอาหารกินเองอีกเลย เขาเอาแต่สั่งอาหารจากร้านเจวียเซ่อแล้วก็ไม่จ่ายเงินสักแดงเดียว
ซูหวานหว่านกลับไปที่บ้านของฮวงเหล่า ที่อีกฝ่ายได้จัดเตรียมห้องส่วนตัวให้นางนอนเรียบร้อย แล้วก็ได้จัดเตรียมเสื้อผ้าสะอาดไว้สองสามชุดสำหรับผู้หญิงใส่
ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าพวกนั้นจะเป็นของคนที่เสียไปแล้ว ซึ่งซูหวานหว่านปฏิเสธ หลังจากนั้นนางจึงออกไปซื้อเสื้อผ้าใหม่หลายตัว พอกลับมานางก็เข้าไปที่มิติฟาร์มเพื่อไปอ่านหนังสือที่ฮวงเหล่าให้นางมา
ข้อดีของมิติฟาร์มคือมีเวลาแตกต่างจากเวลาภายนอกอย่างมาก เวลา 1 วันข้างนอกเทียบเท่ากับ 5 วันในมิติฟาร์ม ซูหวานหว่านไม่เคยลืมเรื่องนี้ นางใช้เวลา 1 คืนในการทำความเข้าใจและจำเนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับหมอได้อย่างละเอียด
ท้องฟ้าในมิติฟาร์มเริ่มสว่างขึ้น ซูหวานหว่านก็พลันได้ยินเสียงบ่นออกมาจากข้างนอก ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงกระทบกันของดาบ นางจึงดึงจิตวิญญาณออกมาและมองออกไปนอกหน้าต่าง นางก็เห็นฮวงเหล่าและชายชุดดำกำลังต่อสู้กัน
“เจ้าเป็นใครกันแน่! กล้าดียังไงบุกรุกเข้ามาในบ้านของฮวงเหล่า!” ฮวงเหล่าพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
“ไปให้พ้น! ข้าไม่ได้จะมาฆ่าเจ้า! ข้าแค่ได้รับคำสั่งให้มาเอาชีวิตเมียของหลี่หยวนเอ๋อร์!”
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและครุ่นคิดภายในใจ ชีวิตของภริยาของหลี่หยวนเอ๋อร์จะเป็นใคร? หากไม่ใช่นาง….!
มีคนต้องการอยากที่จะเอาชีวิตนาง! เมื่อดูจากทักษะการต่อสู้ของพวกเขาแล้วนั้นไม่เลวเลย