นี่นางมีอาจารย์เป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
ซูหวานหว่านอยากจะร้องไห้ออกมาโดยไร้น้ำตาเสียจริง ๆ แต่แล้วก็มีเสียงคนตะโกนดังราวกับมีคนตายดังขึ้นมาจากประตูลานบ้าน “พวกเจ้ารีบหน่อยได้หรือไม่! นายท่านของพวกเรามีเวลาเพียงช่วงเช้าเท่านั้น กลางคืนเขายุ่งมาก!”
ยุ่งรึ? เขาทำสิ่งใดกันในเวลากลางคืน?
ซูหวานหว่านกลอกตา จากนั้นนางจึงเดินไปล้างมืออย่างช้า ๆ ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสีเหลืองอ่อน คนรับใช้รออยู่ด้านนอกเอ่ยด้วยความใจร้อน “เร็วเข้า! ฮวงเหล่าเร็วหน่อย หากเจ้าไปสายนายท่านของพวกเราอาจจะโกรธได้!”
ตระกูลซูนั้นทำการค้า มีบริเวณบ้านกว้างใหญ่ แผ่นป้ายโลหะที่แขวนอยู่ด้านหน้าประตูเต็มไปด้วยทอง ธรณีประตูทำจากไม้กฤษณาแท้ ซูหวานหว่านถึงกับถอนหายใจ ดูเหมือนว่าตระกูลซูจะเป็นพวกเผด็จการก็ไม่ปาน
คนรับใช้รีบพาซูหวานหว่านไปยังห้องโถง พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “นายท่านขอรับ! มาแล้วขอรับ!”
“เหอะ! เพิ่งจะมารึ! ข้าละหงุดหงิดซะจริง! ฮวงเหล่า เจ้าอย่ามาหยิ่งกับข้าเพียงเพราะว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อตรวจและรักษาข้าบ่อย ๆ นะ! ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้ให้ว่าเงินค่ารักษาของเจ้าวันนี้อาจจะถูกหัก…”
คนรับใช้เปิดม่านออก ซูหวานหว่านก้าวเดินเข้าไปด้านใน เพียงก้าวเท้าเข้าไปได้ข้างหนึ่งเสียงของพ่อเฒ่าซูก็เงียบลง พร้อมกับจ้องไปที่ซูหวานหว่านเป็นเวลานาน
ครู่หนึ่งก็มีรอยยิ้มบนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวแห้งพร้อมกับพูดออกมา “นี่เป็นแม่นางบ้านใดกัน? สามารถมาเป็นคู่หมั้นคู่หมายของตระกูลซูได้หรือไม่?”
แท้จริงแล้วเข้าเป็นคนแก่ตัณหากลับ! อีกทั้งยังมาทำตัวเช่นนี้ใส่นางอีก!
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแล้วหยิบกระดาษที่ฮวงเหล่าให้ไว้ออกมา “ขอโทษนะเจ้าคะ ไม่ทราบว่าท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ?”
“เมื่อข้าเห็นหญิงงาม ข้ารู้สึกสบายมาก! ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนเลย!” พ่อเฒ่าซูยิ้มออกมาและเอื้อมมือบอกให้ซูหวานหว่านนั่งข้าง ๆ ทว่าซูหวานหว่านนั้นเสแสร้งทำเป็นวางกระดาษลงแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่ง
พ่อเฒ่าซูถึงกับโกรธเล็กน้อย คนรับใช้จึงกระซิบบางอย่างกับนายท่านของตนเอง ทำให้ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีและกล่าวออกมา “อ่อ แท้จริงแล้วเป็นลูกศิษย์ของฮวงเหล่าที่มารักษาโรคแทนเขาหรอกหรือ? แต่ว่าโรคที่ข้าเป็นอยู่มันไม่สามารถดูตรงนี้ได้ คงจะต้องเข้าไปดูในห้องถึงจะถูก”
เมื่อพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง ซูหวานหว่านจึงเดินตามเขาเข้าไป ความจริงแล้วตอนนี้นางได้เดินผ่านห้องไปสามห้องแล้ว สาวใช้ทุกคนต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบกันถึงนาง
ว่านางจะต้องเป็นสตรีคนใหม่ของพ่อเฒ่าซูอย่างแน่นอน ซูหวานหว่านเหลือบมองเข้าไปในห้องก็เห็นหญิงสาวบางคนไว้ผมประมาณไหล่ ดูแล้วนางจะอายุเพียง 15 หรือ 16 ปีเท่านั้น ส่วนพ่อเฒ่าซูอายุเกือบจะ 60 ปีแล้ว
ซูหวานหว่านได้แต่ส่ายหัวและเดินตามพ่อเฒ่าซูเข้าไปในห้องนอน เมื่อเดินไปถึงที่ประตูห้อง พ่อเฒ่าซูก็ได้ส่งสัญญาณให้กับคนรับใช้หน้าประตูห้อง
คนรับรอให้ซูหวานหว่านเดินเข้าไปในห้องนอนก่อน หลังจากนั้นก็ได้ปิดประตูห้องพร้อมกับลงกลอนประตู ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาว่า “พ่อเฒ่าซู เช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
พ่อเฒ่าซูนั่งลงข้างเตียง เขาเหลือบไปมองที่ซูหวานหว่านพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ของเจ้าตอนที่มารักษาข้า เขาก็ทำแบบนี้ตลอด หากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็กลับไปถามเขาได้”
มีใครที่เขารักษากันเช่นนี้บ้าง?
นางไม่ใช่คนโง่! คิดว่าอ้างเหตุผลนี้จะหลอกนางได้อย่างงั้นเหรอ? ไม่ว่าอย่างไร ถึงแม้ว่าประตูห้องนอนจะถูกลงกลอนเอาไว้ แต่นางก็สามารถออกไปได้! ซูหวานหว่านไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ช่วงนี้ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ?”
พ่อเฒ่าซูยืนขึ้นเดินไปหาซูหวานหว่านด้วยร่างกายเปลือยเปล่า สิ่งนั้นแข็งตัวขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน พ่อเฒ่าซูยิ้มออกมาด้วยสายตาลามก “สาวน้อย อย่าเพิ่งถามว่าข้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนเลย เพียงเจ้าช่วยข้าปลดปล่อย ข้าก็สบายแล้ว…”
“น่าขยะแขยง!” ซูหวานหว่านมองไปที่พ่อเฒ่าซูด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก นางนำเข็มออกมาพร้อมกับฝังลงไปตามจุดเส้นต่าง ๆ ของพ่อเฒ่าซู จากนั้นเขาก็ล้มลงไป
“เจ้าไม่อยากรู้จริง ๆ หรือว่ามันดีอย่างไร!” พ่อเฒ่าซูกัดฟัน คิดไม่ถึงเลยว่าซูหวานหว่านจะมีความสามารถทางหมอเช่นฮวงเหล่า ดังนั้นเขาจึงอยากจะเอาชนะซูหวานหว่าน ปากพูดออกมาว่า “หากเจ้าทำตามที่ข้าสั่ง ข้าจะให้เงินแก่เจ้าทุกเดือน เดือนละ 10 ตำลึง เจ้าว่าอย่างไร?”
“ต่อให้เจ้าจะยกภูเขามาให้ข้าทั้งลูก ข้าก็ไม่มีวันชายตาแลเจ้าอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นซูหวานหว่านก็เหลือบมองพ่อเฒ่าซูสองสามครั้ง ตอนนี้นางสรุปได้แล้วว่าพ่อเฒ่าซูนั้นเป็นโรคฮัวหลิวปิ้งหรือกามโรคนั่นเอง
นางรู้ว่าวิธีการที่จะรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แต่ในสมัยโบราณนั้นเป็นเรื่องยาก นางเปิดหนังสือค้นหาเกี่ยวกับการรักษาอาการคันที่บันทึกเขียนเอาไว้ในหนังสือรักษาโบราณในเบื้องต้น พร้อมกับหันหลังแล้วกล่าวว่า “ค่าตรวจโรคคือ 100 ตำลึง ค่ายาแท่ง 10 ตำลึง ท่านควรต้องต้มยาดื่มก่อนนอนทุกวัน ดื่มเดือนละ 10 แท่ง…ห้ามมีสัมพันธ์ทางกาย ระวังจะแพร่เชื้อโรคนี้ให้กับสตรีนางอื่นด้วย”
หลังจากพูดจบ ซูหวานหว่านก็ได้สั่งเอาไว้ นางขี้เกียจเกินจะถามหาค่ารักษาจึงพูดเพียงแค่ว่า “ก่อนเย็นสามารถนำใบสั่งยานี้ไปรับยาได้เลย อย่ารอจนมันคันและเป็นหนองล่ะ มิเช่นนั้นมันจะยุ่งยากเกินกว่าจะรักษาได้”
ซูหวานหว่านรู้ทันทีว่าพ่อเฒ่าซูผู้นี้หวงแหนร่างกายของตัวเองมาก แน่นอนว่าเขาคงไปหาหมอคนอื่น ๆ ในเมืองมารักษาโรคที่เขาเป็นอยู่แล้ว แล้วไม่มีใครรักษาให้หายขาดได้ เขาจึงมาหาฮวงเหล่าให้ไปรักษาตนเอง
ซูหวานหว่านปีนออกมาจากทางหน้าต่างห้อง เมื่อเห็นว่ามีคนเฝ้าหน้าประตูอยู่สองสามคนจึงหันหลังกลับ ปีนข้ามกำแพงเพื่อไปบริเวณอื่น นางตัวเบาราวกับนกนางแอ่นพร้อมกับกระโดดลงที่โต๊ะหินอ่อนในลานบ้าน
โต๊ะหินอ่อนตรงลานกลางบ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ ดูเหมือนนางจะมีอายุแค่ 11 – 12 ปีเท่านั้น ซูหวานหว่านกำลังจะเดินออกไป แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้มาก และก็ต้องตกใจขึ้นมา
นี่มันซูหยวนหยวน ลูกสาวของซูต้าคังที่เป็นลุงรองของนางไม่ใช่หรือ?
นางจำได้ว่าซูต้าคังได้พาครอบครัวของตัวเองเข้าไปอยู่ในเมืองเพื่อหางานทำและตั้งถิ่นฐานรกรากในเมือง แล้วเหตุใดถึงขายลูกสาวตนเองให้มาอยู่กับพ่อเฒ่าซูเช่นนี้?
ซูหวานหว่านหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากไป นางไม่สามารถช่วยเหลือหรือจัดการเรื่องนี้ได้ หลังจากคิดได้แบบนั้น ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเดินไปไหนก็ถูกซูหยวนหยวนเรียกเอาไว้ก่อน “เจ้าเป็นคนที่มาใหม่อย่างงั้นหรือ? ไม่รู้จักกาลเทศะเลยหรือไร? เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักทำความเคารพคนที่อยู่มาก่อนอีก? ข้าเป็นถึงเมียรองของพ่อเฒ่าซูลำดับที่สิบสองเชียวนะ!”
ซูหยวนหยวนกำลังเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งคู่นอนของพ่อเฒ่าซูอย่างงั้นหรือ?
นางแตกต่างจากซูหยวนหยวนนะ!
ซูหวานหว่านหัวเราะ หยิบหนังสือเกี่ยวกับการรักษาในมือของตนเองออกมา โดยรู้ว่าซูหยวนหยวนนั้นไม่เคยเห็นหนังสือแบบนี้มาก่อน นางหันหลังกลับแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นลูกศิษย์ของฮวงเหล่า ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพียงเพื่อทำการตรวจและรักษาโรคให้กับพ่อเฒ่าซูแค่นั้น ข้าคงจะเดินเข้ามาผิดที่ ท่านได้โปรดอย่าเข้าใจผิดไปเลย”
เมื่อพูดจบ ซูหวานหว่านก็เตรียมตัวที่จะกลับบ้าน นางกำลังเดินไปถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ทว่าซูหยวนหยวนกลับวิ่งเข้ามาจับมือของนางเอาไว้และพูดออกมาอย่างเขินอาย “เจ้าเป็นหมอจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
“ใช่” ซูหวานหว่านพยักหน้า นางเห็นว่าใบหน้าของซูหยวนหยวนค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ จากนั้นนางก็ได้หยิบเหรียญทองแดงออกมาสองสามเหรียญจากแขนเสื้อ พร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดออกมาอย่างเขินอายว่า “เจ้าได้โปรดตรวจหาโรคและบอกวิธีการรักษาให้ข้าได้หรือไม่?”
ซูหยวนหยวนจำนางไม่ได้อย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของซูหยวนหยวน นางรู้สึกว่ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีผุดขึ้นมาภายในใจของนาง จึงหยิบเหรียญทองแดงแล้วถามออกมา “ข้าขอโทษนะ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเจ้ามีสัมพันธ์ทางกายกับใครหรือไม่?”
“ข้ามี” ใบหน้าของซูหยวนหยวนแดงขึ้นมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่เริ่มไหลริน
“บริเวณส่วนนั้นใช่หรือไม่?” ซูหวานหว่านถาม นึกถึงตอนที่ซูหยวนหยวนอยู่ที่บ้านเก่า แต่นางก็ไม่เคยเรียกหรือใช้ให้ซูหวานหว่านทำสิ่งใด …ซูหวานหว่านอยากให้นางรู้สึกเสียใจแต่แล้วก็ส่ายหัว นั่งลงบนเก้าอี้และเขียนใบสั่งยาให้กับอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกันก็มีแขกมาเยี่ยมเยือน คนผู้นั้นแต่งตัวสวยงามเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “น้องสาวที่แสนดีของข้า พี่สาวคนนี้มาเยี่ยมเยือนเจ้าแล้ว ซูหวานหว่านนังสารเลวทำให้ข้าต้องติดคุก! ข้าจะบอกอะไรกับเจ้าให้ว่าข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะออกมาจากห้องได้ ใจของข้าทุกข์ระทมเป็นอย่างมาก! เจ้าจะต้องให้ข้ายืมเงินสักสองสามตำลึงมาให้ข้าใช้เสียหน่อยนะ เมื่อข้าได้แต่งงานออกเรือนไปกลายเป็นฮูหยิน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากเลย”
ทันใดนั้นสตรีนางนี้ก็หันไปมองซูหวานหว่านอย่างตกตะลึง จากนั้นนางก็ได้พับแขนเสื้อขึ้นและรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับพูดว่า “ซูหวานหว่าน! นังสารเลว! เจ้ายังจะกล้ามาที่นี่อีกรึ!”
อะไรนะ ! แท้จริงแล้วหมอคนนี้คือซูหวานหว่านหรือ?
ซูหยวนหยวนถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ