ตอนที่ 89 มากดดันถึงประตูหน้าบ้าน
ซูต้าคังก้าวเดินเข้ามาในบ้าน ตามมาด้วยสตรีร่างอ้วนนางหนึ่งที่เดินตามมาข้างหลัง ซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของซูต้าคัง ชื่อแม่กู้
“ซูหวานหว่าน! เจ้าคิดจะทำอะไรกับพี่เขยของตัวเอง บ้านของเจ้าไม่สั่งสอนหรืออย่างไร? ข้ารู้สึกผิดหวังมาก!” ซูต้าคังพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
เหตุใดเขาถึงมีหน้ามาพูดแบบนี้อยู่อีก? ซูหวานหว่านกลอกตา นางมองไปที่ซูต้าคังและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านลุงรอง แล้วท่านเป็นบ้าหรือไรที่ส่งซูหยวนหยวนไปเป็นเมียรองคนที่สิบสองของคนอื่น? เพราะเงินอย่างงั้นหรือ? อีกทั้งท่านยังมาช่วยคนอื่นทำร้ายครอบครัวเดียวกันอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริง”
“เจ้าบังอาจว่าพวกข้าอย่างงั้นหรือ! ช่างไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่!” แม่กู้ตะโกนออกมาแล้วเดินเข้าไปหาซูหวานหว่าน
ซูหวานหว่านแสร้งทำเป็นกลัวก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว นางลอบนำหนามแหลมคมออกมาจากมิติฟาร์ม แล้วทิ้งมันลงที่พื้น
เมื่อแม่กู้วิ่งเข้ามา นางก็เหยียบหนามไปเต็ม ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดที่เท้าของตน นางทรุดตัวลงบนพื้นและจับเท้าของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะกรีดร้องออกมา นางกำลังจะถอดรองเท้าของตัวเองออกเพื่อดูว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
ซูต้าคังเห็นดังนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความแข็งกร้าวและโกรธจัด “ภรรยาของข้า เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรกัน! เจ้ากำลังทำให้ข้าขายหน้าต่อผู้คนนะ”
“ข้า…” แม่กู้ถูกต่อว่าแทงใจดำเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา
ซูต้าคังมักจะเน้นย้ำอยู่เสมอว่าพ่อเฒ่าซูเป็นลูกเขยของเขา แต่ตัวเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าลูกสาวถูกแต่งออกไปเป็นเพียงเมียรองเท่านั้น หากเขาจับตัวซูหวานหว่านและส่งตัวนางให้กับพ่อเฒ่าซู….
เมื่อซูต้าคังนึกไปถึงเรื่องเงินที่เขาจะได้รับเท่าใดนั้นเขาก็มีความสุขขึ้นมาทันที ส่งผลให้ซูต้าคังทำเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ เช่นนี้ออกมาได้
“หัวเราะอะไร!” ซูต้าคังเดินเข้าไป “ในเมื่อป้าของเจ้าไม่ตีเจ้า งั้นข้าจะตีเอง!”
ยังคิดที่จะตีนางอยู่อีกหรือ? ซูหวานหว่านขยิบตาให้เสี่ยวเฮ่ยทันที เมื่อเห็นแบบนั้นเสี่ยวเฮ่ยจึงเดินเข้ามา เขาเหยียดแขนขวาขึ้นจับแขนของซูต้าคังเพื่อที่จะห้ามซูต้าคังเอาไว้
ซูต้าคังที่ไม่เคยเห็นเสี่ยวเฮ่ยมาก่อน จึงตะโกนขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าจะทำร้ายข้าอย่างงั้นหรือ! คนเลว! เจ้าปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
เสี่ยวเฮ่ยกำหมัดแน่น พ่อเฒ่าซูที่กำลังนอนอยู่บนพื้นตื่นตระหนกทันที เขากลัวว่าตัวเองจะถูกเสี่ยวเฮ่ยต่อยจนล้มลงไปนอนที่พื้นอีก จึงโวยวายออกมา “ซูต้าคัง! นี่เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่! รีบมาช่วยพยุงข้าลุกขึ้นแล้วพาข้ากลับไปพักผ่อนสักที!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ร่างกายของซูต้าคังก็สั่นสะท้าน “ได้เลย… ลูกเขย… ไม่ใช่สิ พ่อเฒ่าซู ไป ไป ไป”
การที่ลูกสาวของตนแต่งงานมันเหมือนเป็นการทำลายชีวิตตัวเองจนย่อยยับ ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นแบบนี้! ยังจะต้องมาปฏิบัติตัวเองเหมือนเป็นสุนัขรับใช้อีก!
ซูหวานหว่านส่ายหัว กล่าวออกมาว่า “ท่านลุงรอง ท่านป้า พ่อเฒ่าซู และทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บ ขอให้พวกเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ!”
หมายความว่าอย่างไรเดินทางโดยสวัสดิภาพ! เมื่อทุกคนได้ยินประโยคนี้ก็พากันหกล้มลงทันที ทว่าก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา จากนั้นก็พากันเดินกะโผลกกะเผลกออกไป
“ศิษย์ข้า สถานการณ์ทางครอบครัวของเจ้ามันน่ารำคาญมากและอาจจะเกิดปัญหาตามมาอีกก็ได้ หากข้ารู้ตั้งแต่แรกนะข้าคงจะศึกษาภูมิหลังของครอบครัวของลูกศิษย์ก่อนที่จะรับเสียก็ดี” ฮวงเหล่าลูบเคราของตัวเอง ซูหวานหว่านรู้สึกค่อนข้างมั่นใจเลยว่าในสายตาของฮวงเหล่านั้นเขากำลังล้อเลียนนาง
“โอ้! ก่อนอื่นข้าเองก็ควรจะศึกษางานยามว่างของอาจารย์ข้าเสียก่อนที่จะพิจารณาว่าจะมาสมัครเป็นลูกศิษย์หรือไม่ด้วยสิ เพราะการที่อาจารย์ของข้านั้นอยู่ดีกินดีก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเหมือนกัน” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างจริงจัง
“เจ้าเด็กเวร!” ฮวงเหล่าด่าออกมาด้วยความโกรธ จากนั้นเขาจำบางอย่างได้และพูดออกมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าร้านอาหารเจวียเซ่อนั้นได้ปิดตัวลง ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่เจ้ายังต้องให้พ่อครัวของพวกเจ้าทำอาหารมาส่งให้ข้าด้วย”
ซูหวานหว่านตบไปที่หน้าผากของตัวเองและตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นจึงบอกฮวงเหล่าว่าจะกลับไปที่หมู่บ้าน ทว่าเมื่อนางไม่พบเกวียนวัวโดยสาร ซูหวานหว่านจึงทำได้เพียงเดินกลับหมู่บ้าน
เมื่อนางเดินกลับมาถึงบ้าน พระจันทร์ก็ได้ขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าในระยะไกลแล้ว ซูหวานหว่านกลับบ้านมาก็พบว่าคนในครอบครัวของนางนอนหลับกันไปแล้ว นางไม่อยากจะเคาะประตูรบกวน ดังนั้นนางจึงปีนกำแพงบ้านเข้ามา
ฉ่ายโกวที่ยืนเฝ้าอยู่ประตูหน้าบ้านเริ่มส่งเสียงร้องออกมา เมื่อเห็นซูหวานหว่านมันก็กระโดดตัวเข้าใส่หาซูหวานหว่านอย่างดีใจ หลังจากนั้นนางจึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อหลับพักผ่อน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่ซูหวานหว่านกำลังนอนพลิกตัวไปมา นางก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“ซูต้าเฉียง มาเปิดประตู! พี่ชายรองของเจ้ากลับมาแล้ว!”
ซูต้าคังมาที่นี่อย่างงั้นหรือ?
ดวงตาของซูหวานหว่านเปิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นการไปรบกวนซูเสี่ยวเยี่ยนที่นอนหลับอยู่ ซูหวานหว่านลุกขึ้นยืนมองไปที่หน้าต่าง พร้อมกับเห็นซูต้าเฉียงและแม่เจิ้นที่ยังใส่รองเท้ายังไม่ดีด้วยซ้ำ วิ่งไปเปิดประตูหน้าบ้านอย่างมีความสุข
“พี่รอง! ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ได้!” ซูต้าเฉียงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มออกมา
“เจ้ายังจำได้ว่ามีพี่ชายอย่างข้าอยู่ด้วยรึ? เจ้าแยกครอบครัวออกมาแล้วก็ไม่บอกข้า! แล้วเรื่องที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่อีก เจ้าก็ไม่บอกกับข้าเช่นกัน! ข้าเพิ่งจะมาถึงหมู่บ้านแล้วถึงรู้เรื่องนี้”
ซูต้าคังตำหนิซูต้าเฉียงไปสักพัก จากนั้นเขาก็ได้ชี้ไปยังเกี้ยวที่วางเอาไว้อยู่ด้านนอกประตู แล้วเดินเข้าไปทุบซูต้าเฉียงอย่างแรง “เจ้าดูข้าสิ! ข้าคิดถึงเจ้าตลอดเมื่อมีสิ่งดี ๆ! มีเพียงแต่เจ้าที่จำความดีของข้าไม่ได้!”
ซูต้าเฉียงรู้สึกเจ็บปวดจนยืนนิ่งงันพร้อมกับมองไปที่เกี้ยว และมองไปข้าง ๆ เกี้ยวที่มีคนหามมาโดยใช้คนถึงสองสามคนที่แบกมา
เมื่อมองไปที่เกี้ยว ซูหวานหว่านที่อยู่ในบ้านก็ขมวดคิ้ว เมื่อวานนี้พ่อเฒ่าซูเพิ่งโดนสั่งสอนไปและขาของเขาคงจะอ่อนแรง ไหนเรื่องที่เขาป่วยเป็นโรคนั้นอีก มันก็คงคันเกินไป คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะออกมาเจอผู้คน แต่ตอนนี้ซูหวานหว่านมั่นใจได้ในทันทีว่าคนที่อยู่ในเกี้ยวนั้นคือพ่อเฒ่าซู
ครอบครัวของพวกเขาจะมาแบ่งปันสิ่งดี ๆ อะไร? แม่เจิ้นถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “ข้าขอถามพี่รองหน่อย เจ้ามีอะไรดี ๆ มาบอกเราอย่างงั้นหรือ?”
ซูต้าคังยืดตัวตรงพร้อมกับทำหน้าลำบากใจ “ซูหวานหว่านก็โตพอที่จะออกเรือนแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือ! ข้ากำลังจะหาคู่ครองที่ดีให้กับนาง! เจ้าเห็นหรือไม่ คนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวนั้นก็คือนายท่านซูที่เป็นเศรษฐีอยู่ในเมืองเชียวนะ”
“นายท่านซู?” ทั้งสองคนตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ทว่าเกี้ยวนั้นดูหรูหราเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังตกตะลึง ซูต้าคังก็กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ “น้องพี่ ถ้าเจ้าไว้ใจพี่ชายของเจ้า ก็ตอบตกลงแล้วพาซูหวานหว่านออกมาเถิด ข้าจะพานางเข้าไปในเมืองเพื่อไปอยู่กินอย่างสุขสบาย!”
ซูต้าเฉียงและแม่เจิ้นต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เพื่อนบ้านที่แอบดูก็พากันกระซิบกันพร้อมกับพูดแทนแม่เจิ้นออกมา “แต่งงานรึ? พวกเจ้าจะต้องดูลูกเขยก่อนไม่ใช่หรือไง? เหตุใดจะต้องรีบร้อนแต่งขนาดนี้! แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปกับผู้ชายที่ใดก็ไม่รู้?”
“พวกเจ้านี่พูดมากจังนะ! นายท่านซูเป็นคนที่มีฐานะที่ร่ำรวย เขาจะมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนง่าย ๆ ได้อย่างไร!” ซูต้าคังจ้องมองไปที่กลุ่มชาวบ้าน พร้อมกับหยิบถุงเงินออกมาแล้วพูดว่า “นี่คือเงินสินสอดจำนวน 20 ตำลึง! นายท่านซูให้เงินมาเป็นจำนวนมาก! เขาไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับซูหวานหว่านอย่างเลวร้ายเสียหน่อย!”
พวกชาวบ้านต่างตกตะลึง เงินสินสอดจำนวน 20 ตำลึงก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย ช่างเป็นคนที่หน้าใหญ่จริง ๆ! ดูท่าน่าจะเป็นคนที่ร่ำรวย!
ซูหวานหว่านที่แอบยืนฟังอยู่ในห้องก็อดไม่ได้ที่จะเปิดประตูออกมา นางกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “ท่านลุง เมื่อวานที่พวกท่านเดินกะเผลกวิ่งออกไป พวกท่านยังไม่ล้มเลิกความคิดนั้นและยังไม่ปล่อยข้าอีกรึ แล้ววันนี้ท่านกล้ามาที่บ้านของข้าเพื่อมาหลอกพ่อแม่ของข้า ท่านคงจะรอไม่ไหวแล้วจริง ๆ ใช่ไหมที่จะส่งข้าเข้าปากเสือ!”
เมื่อเห็นซูหวานหว่าน ซูต้าคังก็ตกใจและกลัวว่าซูหวานหว่านจะทำร้ายเขาอีก ดังนั้นเขาจึงเร่งเร้าซูต้าเฉียงทันที “ข้าจะให้เงินสินสอดแก่เจ้าเพิ่มเป็นจำนวนเงิน 30 ตำลึง! แล้วพวกเจ้าก็จงส่งตัวซูหวานหว่านมาให้กับข้าเสีย!”