ตอนที่ 91 เรื่องความรัก
“นี่ นี่ไม่ใช่ฉีเฉิงเฟิงหรอกหรือ!”
“ใช่แล้ว! เหตุใดเขาถึงมาสู่ขอ… ไม่ใช่สิ เหตุใดเขาถึงอยากแต่งเข้าบ้านของฝ่ายหญิงล่ะ! ดูจากบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาสามารถไปสู่ขอสตรีที่มีฐานะร่ำรวยในเมืองได้เลยนะ!”
“…”
เหล่าชาวบ้านต่างพูดคุยไปต่าง ๆ นานา
ฉีเฉิงเฟิงยิ้ม และเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ซูหวานหว่าน
บุรุษร่างสูงสง่าหน้าตาหล่อเหลากับสตรีผู้งดงามสะกดสายตาคนพี่พบเจอ เมื่อชาวบ้านเห็นภาพที่ทั้งสองยืนเคียงคู่กัน พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าฉีเฉิงเฟิงและซูหวานหว่านเกิดมาเพื่อคู่กัน
“คุณชายฉี เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง?” ซูต้าเฉียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ข้าไตร่ตรองดีแล้ว จะไม่เสียใจทีหลังอย่างแน่นอน” เมื่อกล่าวจบ ฉีเฉิงเฟิงก็ยกมือขึ้นลูบหัวของซูหวานหว่านเบา ๆ ท่าทางของเขาอ่อนโยนนัก หากใครได้เห็นสายตาของฉีเฉิงเฟิงที่มองซูหวานหว่านก็คงพากันอิจฉา
พลันใดก็มีมนุษย์ป้าผู้หนึ่งพูดขึ้น “แม่เจิ้น พวกเจ้ารีบตอบตกลงเสีย! ข้าว่าคุณชายฉีมีนิสัยดี เขาคู่ควรกับลูกสาวของพวกเจ้า!”
“ใช่แล้ว! คุณชายฉีเป็นหนุ่มน้อยที่หล่อเหลา อีกทั้งพวกเราทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รู้จักกันดี เขาเป็นคนมีความรู้อีกทั้งวันนี้เขาก็ยังเอาสินสอดทองหมั้นมาให้ตั้งมากมายเช่นนี้ เขาช่างเป็นคนที่ดีมาก ๆ!”
“…”
แม่เจิ้นกับซูต้าเฉียงต่างมองหน้ากัน ทั้งคู่หันไปมองซูหวานหว่าน เมื่อเห็นใบหน้าของลูกสาวขึ้นสีแดงระเรื่อก็รู้ได้ว่าลูกสาวของพวกเขารู้สึกอย่างไร
ในตอนที่กำลังจะตอบตกลง เหมี่ยวอี้เซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็โพล่งออกมา “ฉีเฉิงเฟิงจะมีเงินทองอะไรกัน! เขาเป็นเพียงคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ เร่ร่อนมาอาศัยอยู่ที่นี่ต่างหาก ท่านลุงท่านป้าอย่าไปฟังวาจาไร้สาระของเขา! ระวังไว้เถอะซูหวานหว่านแต่งงานออกไปจะไม่มีกิน คงจะได้กินแต่ผักป่าไปวัน ๆ!”
เหมี่ยวอี้เซิงมีคุณสมบัติอะไรมาตั้งคำถามและสงสัยในสิ่งของที่เขานำมา?
“โอ้?” ฉีเฉิงเฟิงยิ้มออกมา เตรียมยกกล่องสินสอดทองหมั้นเหล่านั้น ทว่าก็ถูกชายชุดแดงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับรายการของที่อยู่ในกล่อง และโค้งคำนับฉีเฉิงเฟิงด้วยความเคารพ “คุณชายฉี จำนวนของมีข้าวสาร 20 ชั่ง เส้นบะหมี่ 40 ชั่ง ผ้าฝ้าย 30 ผืน น้ำตาลทรายแดง 10 ชั่ง น้ำทรายข้าว 10 ชั่ง น้ำมันพืช 6 ถัง น้ำมันหมู 6 ถัง อีกทั้งยังมีกระต่าย 5 ตัว ไก่ตัวใหญ่อีก 10 ตัว ลูกไก่ 30 ตัว ทั้งยังมีกล่องเครื่องประดับอีก คุณชายโปรดตรวจสอบด้วยขอรับ”
ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ ชาวบ้านก็พากันอ้าปากกว้าง ปกติแล้วชาวบ้านใน 1 ปีจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่เยอะเพียงนี้! ทว่าฉีเฉิงเฟิงกลับนำมาเยอะมาก ๆ! อีกทั้งยังมีผ้าฝ้าย ข้าวเปลือก น้ำมัน และเกลืออีก!!
จะไปหาลูกเขยที่รู้ใจเช่นนี้มาจากที่ใดอีก? แม่เจิ้นรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นถึงเกียรติที่ฉีเฉิงเฟิงมีต่อครอบครัวนาง
สีหน้าของเหมี่ยวอี้เซิงพลันเปลี่ยนไป เขาจึงพูดออกมาว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร! ฉีเฉิงเฟิงเป็นเพียงคนที่ขีด ๆ เขียนบัญชีให้กับคนหมู่บ้านเท่านั้น จะมีเงินมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร! โกหก!”
หลังจากพูดจบ เขาก็วิ่งไปงัดกล่องเพื่อเปิดดูสิ่งของที่อยู่ภายใน แต่แล้วก็ต้องตกใจ
ของที่อยู่ในกล่องมีครบทุกอย่างที่ชายชุดแดงคนนั้นกล่าวมา!
“เหมี่ยวอี้เซิง! เจ้าเห็นหรือยัง! ไม่ใช่ว่าเกิดอยากได้ขึ้นมานะ?”
“หากอยากได้ก็ไปซื้อเอง! อย่าคิดที่อยากจะได้มันเด็ดขาด ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเจ้า!”
“…”
ชาวบ้านต่างพูดกันอย่างสนุกสนาน
เหมี่ยวอี้เซิงปรับสีหน้าและวิ่งออกไป ส่วนพ่อเฒ่าซูยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ฉีเฉิงเฟิงจึงถามออกมาว่า “พ่อเฒ่าซู ได้ยินมาว่าท่านเจ็บป่วย ไม่ทราบว่าหายดีแล้วหรือยัง?”
“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!” พ่อเฒ่าซูจ้องมองฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับตื่นตระหนกภายในใจ และรีบเดินกลับขึ้นเกี้ยวทันที ซูหยวนหยวนก็เดินตามขึ้นไปด้วย ส่วนซูต้าเฉิงที่รู้สึกหงุดหงิดก็ต้องตามขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวข้าง ๆ อย่างจำใจ
ตอนนี้พวกตัวป่วนออกไปจากบ้านหมดแล้ว ทุกคนต่างยิ้มให้ฉีเฉิงเฟิงและยกย่องให้เขาเป็นโชคดีของตระกูลซู แม่เจิ้นและซูต้าเฉิงรู้สึกพอใจกับฉีเฉิงเฟิงมาก พวกเขาทั้งสองจึงตอบตกลงและขอให้ฉีเฉิงเฟิงอยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน พวกเขาต้องรอให้บ้านใหม่สร้างเสร็จก่อนถึงจะให้ฉีเฉิงเฟิงและซูหวานหว่านแต่งงานกันได้
ซูหวานหว่านที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก “ท่านแม่! ท่านอย่าเพิ่งคิดไปไกล ข้าอายุยังน้อยอยู่! ไม่ต้องรีบหรอก”
ฉีเฉิงเฟิงยิ้ม “เจ้าจะตื่นตระหนกไปไยกัน ไม่ช้าหรือเร็วเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี ไม่แน่อาจจะมีหวานน้อยให้ท่านแม่ของเจ้าอุ้มก็ได้นะ!”
“เจ้า!” ซูหวานหว่านถึงกับพูดไม่ออก และพบว่าฉีเฉิงเฟิงช่างเป็นคนที่ไร้ยางอายเหลือเกิน
“หวานหว่าน” แม่เจิ้นเอ่ยดุซูหวานหว่านและจับมือเฉิงเฟิงเดินเข้าไปในห้องเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ซูหวานหว่านรู้สึกเขินอายเล็กน้อยและวิ่งตามเข้าไปในห้อง ดันตัวแม่เจิ้นออกมา “ท่านแม่ ข้ากับฉีเฉิงเฟิงมีเรื่องใหญ่ที่ต้องหารือกัน ดังนั้นท่านออกไปคุยกับท่านป้าทั้งหลายก่อนเถอะ”
แม่เจิ้นกำลังจะพูดบางอย่างออกมา ทว่าประตูก็ถูกปิดลง นางจึงยิ้มและเดินออกไป
“เจ้ามีสิ่งใดจะหารือกับข้ารึ?” ฉีเฉิงเฟิงถามแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะพลางมองซูหวานหว่านด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป เจ้าอายุยังน้อยอยู่ข้าไม่แตะต้องเจ้าหรอก รอให้เจ้าโตกว่านี้หน่อย พวกเราค่อย…”
“ข้าเด็กตรงไหน?” ซูหวานหว่านเอ่ยขัดคำพูดของฉีเฉิงเฟิงและก้มหน้าลง อีกทั้งยังหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมานั้นถูกต้อง นางยังคงเด็กอยู่ นางจะต้องโตมากกว่านี้ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ฉีเฉิงเฟิงจะไม่แตะตัวนาง ซึ่งมันเป็นเพราะ… ซูหวานหว่านจึงตะโกนออกมาอย่างละอาย “น่าเกลียด!”
ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกขบขัน ลูบหัวของซูหวานหว่าน “ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น เจ้าอายุยังน้อยและข้าก็ยินดีที่จะรอให้เจ้าโตขึ้นกว่านี้ แล้วเราค่อยมีลูกกัน”
หือ? เขากำลังพูดถึงอายุเหรอ? ซูหวานหว่านแอบต่อว่าเขาภายในใจ แล้วจ้องไปที่ฉีเฉิงเฟิง “ใครจะมีลูกกับเจ้ากัน! ข้าบอกเจ้าเอาไว้ก่อนเลยนะว่าเจ้าสามารถมาอาศัยอยู่ในบ้านของข้าได้ แต่ห้ามแตะต้องตัวข้า”
“ตกลง” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้าและคิดในใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่ไปแตะต้องนาง หากนางมาแตะต้องเขาก่อนล่ะ? มันก็ไม่ผิดใช่หรือไม่? เขาจะต้องหาวิธีให้นางเริ่มแตะต้องตัวเขาก่อน!
ฉีเฉิงเฟิงเผลอยิ้มเลศนัยออกมา ทว่าในสายตาของซูหวานหว่านรอยยิ้มนั้นฉลาดแกมโกงราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
หลังจากที่ซูหวานหว่านตกลงกับฉีเฉิงเฟิงเสร็จ เมื่อเปิดประตูออกมาก็มีน้ำสาดลงบนใบหน้าของซูหวานหว่าน
“ท่านพี่! มันจะมากเกินไปแล้วนะ! เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้! พี่ก็รู้ว่าข้ารักพี่ฉี…”
สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของซูเสี่ยวเหยี่ยนทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกเหมือนว่าน้ำที่สาดมาคือน้ำเย็น และนางพยายามข่มอารมณ์อยู่
“เป็นอะไรไป? เหตุใดถึงไม่พูด ท่านพี่ทำให้ข้าเสียใจมาก! เหตุใดข้าถึงมีพี่สาวแบบท่าน!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนกล่าวออกมาด้วยความโกรธเคือง พลันใดนั้นก็เห็นผู้ชายเดินตามหลังซูหวานหว่านออกมา ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยี่ยนจึงเปลี่ยนในฉับพลัน การแสดงออกของนางช่างอ่อนโยน “ท่านพี่ฉี! ท่านอย่าแต่งงานกับพี่สาวของข้าได้หรือไม่ ข้าได้ยินคนอื่นเขาพูดกัน หากท่านต้องการมาอาศัยอยู่ที่บ้านใหม่ของเรา ท่านจะต้องแต่งงานกับข้า ข้าถึงจะให้มาอาศัยอยู่ด้วย!”
นางเพิ่งอายุเท่าใด! เหตุใดถึงคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ในไม่นานนางจะต้องมีนิสัยเหมือนซูฉิงฉิงแน่ ซูหวานหว่านมองไปที่ซูเสี่ยวเหยี่ยน ความรู้สึกของนางที่มีต่อน้องสาวคนนี้มันติดลบไปแล้ว
“ข้าชอบใคร ข้าก็จะแต่งงานกับคนนั้น” ฉีเฉิงเฟิงพูดขึ้นพร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา และซับน้ำออกจากใบหน้าของซูหวานหว่านแล้วพูดออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ทันได้ระวัง เลยทำให้เจ้าต้องมาเปียกน้ำเช่นนี้”
ความห่วงใยของคนทั้งสองทำให้ซูเสี่ยวเหยี่ยนโกรธจนหน้าแดงและวิ่งออกไป
ในขณะที่นางวิ่งออกจากบ้าน นางถูกชายคนหนึ่งที่แอบอยู่คว้าตัวไป ทั้งสองกระซิบวางแผนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซูเสี่ยวเหยี่ยนเช็ดน้ำตาตัวเองและวิ่งกลับไปที่บ้าน เพื่อไปขอโทษกับซูหวานหว่านทุกประการ
“ท่านพี่ข้าผิดเอง อย่าโกรธข้าเลยนะ”
ซูหวานหว่านถึงกับผงะไป เหตุใดซูเสี่ยวเหยี่ยนถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้?
อันที่จริงแล้วสิ่งที่ซูหวานหว่านยังไม่รู้ก็คือซูเสี่ยวเหยี่ยนไม่ได้เปลี่ยนไป แต่นางวางแผนร่วมมือกับคนอื่นเอาคืนนางแล้วต่างหาก!