และในเวลานี้เองเย่เฉินก็ร่วมวงหัวเราะไปพร้อมๆ กับทุกคน เขายกแก้วเหล้าขึ้นแล้วเดินไปหาหวังเจียเหยา
“หวังเจียเหยา ดีใจด้วย ในที่สุดคุณก็จะได้ครองคู่กับผู้ชายที่คู่ควรกับคุณ”
หวังเจียเหยาแค่นเสียง ด้วยรู้ว่าในรอยยิ้มของเย่เฉินนั้นจะต้องแฝงไปด้วยความรันทดขมขื่น!
หวังเจียเหยากล่าวว่า “ถ้านายคุกเข่าอ้อนวอนฉัน บางทีฉันอาจจะไปขอร้องคุณย่า ไม่หย่ากับนายก็ได้”
เย่เฉินหัวเราะเสียงแผ่ว คุณทรยศผมแต่กลับจะให้ผมคุกเข่าอ้อนวอนคุณเนี่ยนะ?
ถือเป็นสังคมชั้นสูงและนับว่าเป็นตระกูลระดับสูงจริงๆ
เย่เฉินกระดกเหล้าในแก้วจนหมดในครั้งเดียว แล้วพูดทีละคำช้าๆ ชัดๆ “คุณ ไม่ คู่ ควร!”
“แก…”
ใบหน้างดงามของหวังเจียเหยาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ยามอยู่ต่อหน้าเย่เฉินเจ้าหล่อนมักวางตัวสูงส่งราวราชินี
ทว่าตอนนี้เวลานี้ข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยกลับก่อกบฏ!
หวังเจียเหยาวิ่งไปหาคุณนายหวังเกาะแขนผู้เป็นย่าพลางเอ่ย
“คุณย่า ให้หนูหย่ากับเขาแบบนี้ นับว่าเขาสบายเกินไปแล้ว!”
หวังซ่าวเจี๋ยที่นานๆ ครั้งจะอยู่ข้างเดียวกับหวังเจียเหยาก็เดินมาและกล่าว
“น้องเหยาพูดถูก ต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย!”
มือเหี่ยวย่นของคุณนายหวังตบลงบนมือหลานสาวและหลานชายปลอบไปพลางยิ้ม
“วางใจเถอะ คนตระกูลหวังเราไม่ได้รังแกกันง่ายๆ”
จากนั้นคุณนายหวังก็เดินไปหาแขกแล้วกล่าว
“ทุกท่านคะ เย่เฉินคนนี้ทำให้หลานสาวของฉันต้องเสียเวลาสามปีที่เป็นดั่งช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเธอแถมยังทำร้ายร่างกายหลานชายของฉัน หลายปีมานี้ตระกูลหวังของเราก็ถือว่าพอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้างในอวิ๋นโจว หากปล่อยไปแบบนี้ล่ะก็เกรงว่าภายหน้าคนอีกมากคงจะไม่เห็นหัวตระกูลหวังอีกต่อไป!”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงชรา นี่คุณนายหวังคิดจะเอาเรื่องเย่เฉิน!
เย่เฉินวางแก้วเหล้าในมือลงแล้วตั้งใจฟัง เขาเองก็อยากจะเห็นว่าคนตระกูลนี้คิดจะเอาเรื่องเขาอย่างไร!
คุณนายหวังกล่าวต่อ “ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ ต่างก็เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองอวิ๋นโจวทั้งนั้น ดังนั้นฉันอยากจะขอร้องทุกท่านให้ช่วยตัดทางทำมาหากินของเขาที!”
ตัดหนทางทำมาหากินของเย่เฉิน!
สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราก็คือรายได้ แล้วนี่ตระกูลหวังมาตัดทางทำมาหากินของเย่เฉินคือพวกเขาจะทำให้เย่เฉินหมดหนทางทำมาหากินในเมืองอวิ๋นโจว!
แขกต่างๆ ก็พากันถกเถียงกัน แต่ว่าผ่านไปอยู่นานก็ไม่มีใครตอบรับ
พวกเขากำลังชั่งใจและคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
คนทำธุรกิจล้วนต้องหัวไว
อย่างไรเสียการตัดหนทางทำมาหากินหนักหนารุนแรงเหมือนฆ่าบุพการีคนอื่น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากจะล่วงเกินคนอื่น
แต่ในเวลานี้กลับมีฟางเชาเสนอตัวเป็นคนแรก
“ผมขอเป็นตัวแทนตระกูลฟางยินดีสนับสนุนตระกูลหวัง!
ทุกท่านครับ ผมขอแนะนำตัวเองสักหน่อย ผมฟางเชา ตระกูลเราทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม การลงทุน แล้วยังครอบคลุมธุรกิจอื่นๆ ด้วย เรื่องอื่นผมไม่กล้าพูด แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมกล้ารับรองเลยว่าโรงแรมตั้งแต่สี่ดาวลงไปของเมืองอวิ๋นโจวจะไม่ให้เย่เฉินเข้าพัก! นายนอนได้แค่ริมถนนแค่นั้นแหละ!”
ตอนแรกนั้นคนในงานไม่รู้จักฟางเชา อย่างไรเสียเขาก็อายุยังน้อย แขกที่มาตอนนี้ก็อายุอานามปาไปสี่ซ้าห้าสิบกันหมดแล้ว
ทว่าพอเขาแนะนำตัวเช่นนี้ แขกในงานทุกคนก็รู้เรื่องแล้ว
“ที่แท้ก็คุณชายฟางนี่เอง ได้ยินมาว่าโรงแรมในอวิ๋นโจว 70% เป็นธุรกิจของพวกเขา”
“แค่นั้นที่ไหน พวกเครือโรงแรมฮั่นถิงเอย หรูเจียเอยในอวิ๋นโจว พวกเขาก็มีหุ้นด้วยทั้งนั้น!”
“เย่เฉินจบเห่แล้ว ต่อไปคิดจะไปเปิดห้องกับผู้หญิงก็ไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ”
เย่เฉินได้ยินแล้วอยากจะหัวเราะ เขาที่เป็นถึงคุณชายเย่ ทำไมต้องไปพักโรงแรมที่ระดับต่ำกว่าสี่ดาวด้วย?
พอได้ฟางเชาเป็นคนเปิดบวกกับทุกคนก็รู้ดีแก่ใจว่าเย่เฉินก็เป็นแค่เขยที่แต่งเข้าไม่ได้มีเส้นสายอะไรในอวิ๋นโจวจะรังแกเขาก็ไม่เห็นเป็นไร
ดังนั้นจึงมีชายอีกคนเสนอตัวอย่างรวดเร็ว
ชายคนดังกล่าวอายุสี่สิบกว่าๆ ถลึงตามองเย่เฉินแล้วกล่าว
“ทุกท่านผมคือจงเหว่ย เจ้าของร้านอาหารโหลวว่ายโหลว ซานว่ายซานและเทียนว่ายเทียนเปิดร้านในอวิ๋นโจวได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ผมขอสนับสนุนการตัดหนทางทำมาหากินของเย่เฉินของตระกูลหวัง! ด้วยเส้นสายที่ผมมีในวงการอาหารเชื่อผมได้เลยว่าเย่เฉินจะไม่สามารถทำงานในร้านอาหารใดในอวิ๋นโจวได้แน่!”
คนตระกูลหวังประสานฝ่ามือเพื่อแสดงความขอบคุณ
หม่าเสินเองก็ก้าวออกมา “ผมหม่าเสินเป็นตัวแทนของบริษัทเดลิเวอรี่ถวนถวนประจำอวิ๋นโจว ผมเองก็ขอเข้าร่วมการตัดทางทำมาหากินเย่เฉินของตระกูลหวังด้วย!
“…เย่เฉิน ต่อไปนายอย่าได้คิดจะทำงานเดลิเวอรี่อีก ไม่ใช่แค่บริษัทเดลิเวอรี่ถวนถวนแต่บริษัทเดลิเวอรี่อื่นๆ นายก็ส่งไม่ได้!”
เย่เฉินอดแสยะยิ้มไม่ได้ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองคล้ายคลึงกับเฉียวฟงตอนอยู่บนหมู่ตึกผู้กล้าเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เป็นขโยงรุมสังหารเขาในแปดเทพอสูรมังกรฟ้า!
ทว่ากลุ่มคนตรงหน้านี้โง่งมกว่าพวกคนเลวในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้ามากนัก
เย่เฉิน “พนักงานบริการโรงแรม เดลิเวอรี่ สองสายอาชีพนี้ก็ปิดทางทำมาหากินของผมแล้วยังมีสายอาชีพอื่นอีกไหม?”
แล้วก็มีอีกคนก้าวออกมา “ผมคือเจ้าของคาราโอเกะจินคว่าง นายอย่าคิดจะทำงานเป็นพนักงานในร้านคาราโอเกะและร้านเหล้าทั้งอวิ๋นโจว!”
“ฮ่าๆ ดีมาก ยังมีอีกไหม?” เย่เฉินถามต่อ
และก็มีคนอีกสองคนยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่งานที่ไม่ต้อนรับเขานั้นก็เป็นงานระดับล่างเพราะในสายตาพวกเขาเย่เฉินไม่ได้มีวุฒิการศึกษาหรือประสบการณ์การทำงานแต่อย่างใดทำได้เพียงแค่งานบริการเท่านั้น
ขอแค่ตัดหนทางทำมาหากินพวกนี้ของเขา เขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดในเมืองอวิ๋นโจวแล้ว
พอเห็นเย่เฉินไม่มีท่าทีลนลาน จู่ๆ หวังซ่าวเจี๋ยก็โพล่งออกมา
“เย่เฉินเด็กนี่ ต่อยตีเก่งขนาดนี้ เขาคงไม่ไปสมัครเป็นบอดี้การ์ดหรอกมั้ง?”