ใบหน้าหม่าเสินซีดเผือดทันที!
แต่ว่าในงานเลี้ยง แขกรอบตัวต่างก็กำลังมองเขาอยู่ โดยเฉพาะคนสวยๆ อย่างฉินหงเหยียนอยู่ข้างตัวเขาพอดี!
เขาจะลนลานไม่ได้ จะให้คนอื่นเห็นพิรุธไม่ได้!
หม่าเสินฝืนยิ้ม “ฮ่าๆ ขอบคุณครับคุณอู ผมว่าแล้วด้วยความสัมพันธ์ของเรา พวกเราจะต้องร่วมมือกันต่อแน่ ค่าต่อสัญญาครั้งนี้ผมก็เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วแปดล้านหยวน!”
อูเสี่ยวหงพูดในโทรศัพท์ “ต้องขอโทษด้วย เถ้าแก่หม่า บริษัทของเราตัดสินใจว่าจะส่งคนไปรับช่วงดูแลบริษัทต่อไม่ต้องมีตัวแทนแล้ว”
ในใจหม่าเสินห่อเหี่ยวแต่กลับฝืนทำใบหน้าร่าเริง “ไม่มีปัญหาๆ ถ้าเจอกันต้องดื่มกันทั้งคืนไปเลย!”
อูเสี่ยวหงงุนงงอยู่ไม่น้อย “คุณเข้าใจที่ผมพูดไหมเนี่ย? สิทธิ์การเป็นตัวแทนของคุณถูกยกเลิกแล้ว จะจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์!”
หม่าเสิน “ครับๆ คุณอู วางใจเถอะครับ ในอนาคตเราต้องร่วมมือกันอย่างราบรื่นแน่!”
อูเสี่ยวหง “เป็นบ้ารึป่าวเนี่ย ตอบไม่ตรงคำถามสักอย่าง! สรุปเลยก็คือสัญญาเราจะสิ้นสุดลงในเดือนหน้า ส่วนกลางจะส่งคนไปรับช่วงต่อ เอาแบบนี้แล้วกัน แค่นี้ล่ะ”
หม่าเสิน “ครับ คุณอู แล้วไว้ค่อยคุยกันตอนเจอกันนะครับ!”
หม่าเสินวางสายด้วยรอยยิ้ม
เย่เฉินขมวดคิ้วอย่างงุนงงหรือว่าพ่อบ้านฟางยังไม่ได้คุยกับอูเสี่ยวหง?
เพราะอะไรหม่าเสินถึงได้คุยกับอูเสี่ยวหงอย่างมีความสุขแบบนั้น?
คนอื่นได้ยินแค่คำพูดของหม่าเสินแต่ไม่ได้ยินว่าอูเสี่ยวหงพูดอะไรในสาย
หวังซ่าวเจี๋ยเป็นคนแรกที่เดินมา “เถ้าแก่หม่า ฟังจากที่คุณคุยในสาย เรื่องต่อสัญญาราบรื่นแล้วใช่ไหม?”
หม่าเสินยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ราบรื่นอย่างมาก!”
หวังซ่าวเจี๋ยรีบยกแก้วเหล้าขึ้นมา “มา เถ้าแก่หม่า ผมขอดื่มให้คุณ ขอให้ธุรกิจคุณรุ่งเรืองนะ!”
“ขอบคุณนะครับคุณหวัง” หม่าเสินยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มจนหมดในรวดเดียว!
หวังซ่าวเจี๋ยตกใจ “เถ้าแก่หม่าคุณนี่ใจกว้างจริงๆ ยกหมดแก้วเลย!”
ฉินหงเหยียนเองก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมา “เถ้าแก่หม่าพอจะมองออกว่า คุณกับคุณอูนี่สนิทกันมากทีเดียว”
หม่าเสินดื่มเสร็จไปหนึ่งแก้วบวกกับที่กำลังหัวเสีย จึงทำให้รู้สึกแย่ทีเดียวแต่ก็ยังเทเหล้าจนเต็มแก้วอย่างรวดเร็ว
ในครรลองสายตาของหม่าเสินนั้น เสี้ยวหน้าที่เย้ายวนของฉินหงเหยียนเริ่มเลือนรางไปช้าๆ
หม่าเสินกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผมกับคุณอูเราลำบากมาด้วยกัน!”
ฉินหงเหยียนกล่าว “งั้นฉันขอดื่มให้เถ้าแก่หม่าหนึ่งแก้วนะคะ ถ้ามีโอกาสหวังว่าจะได้ทำความรู้จักคุณอูจากการแนะนำของคุณนะคะ”
หม่าเสินชนแก้วกับฉินหงเหยียน “เรื่องเล็กน้อย เดี๋ยวผมจะจัดการให้”
หม่าเสินชนแก้วกับคนที่อยู่รอบตัว แล้วพวกเขาต่างก็ชื่นชมเขา
“เถ้าแก่หม่าคอแข็งจริงๆ!”
“คนเรานี่พอมีเรื่องดีใจก็อารมณ์ดีจริงด้วย เรื่องต่อสัญญาเรียบร้อย เถ้าแก่หม่าก็คอแข็งเลย ฮ่าๆ”
ทว่าพอผ่านไปไม่ถึงสองนาทีทุกคนก็พบว่าหม่าเสินดื่มไปแล้วร้องไห้เสียอย่างนั้น
น้ำตาที่สุกใสสกาวหยดลงบนเหล้าขาวที่ไร้สีปนไปกันหมด จนไม่รู้ว่าเป็นเหล้าปนน้ำตาหรือน้ำตาปนเหล้ากันแน่
“เถ้าแก่หม่าทำไมคุณร้องไห้ล่ะ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ฉินหงเหยียนรีบร้อนถาม
ตอนนี้เย่เฉินเริ่มส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วกล่าว
“เถ้าแก่หม่าไม่ไหวก็ไม่ไหวสิ จะคุยโวอะไรก็ดูสถานการณ์ด้วย คุณเสแสร้งที่นี่มีประโยชน์หรือไง? ใครมองไม่ออกว่าคุณเสแสร้งบ้าง? ทำไมไม่บอกทุกคนไปล่ะว่าสิทธิ์การเป็นตัวแทนของคุณถูกยกเลิกไปแล้ว?”
เย่เฉินใช้คำพูดของหม่าเสินที่บอกเขาย้อนไปบอกเจ้าตัว!
อันที่จริงพวกฉินหงเหยียนก็รู้สึกว่าหม่าเสินมีบางอย่างที่ผิดปกติไป หากเรื่องต่อสัญญาเรียบร้อยเขาจะต้องไม่มีพิรุธแบบนี้
มีแต่เรื่องต่อสัญญามีปัญหาเท่านั้นเขาถึงจะทำแบบนี้
หม่าเสินรู้ดีแก่ใจเบื้องหลังเขาไม่ได้มีบริษัทอะไรที่จะสามารถทำให้ตนเองอยู่ในวงสังคมนี้ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนนี้เขาโชคดีที่ได้เป็นตัวแทนของบริษัทเดลิเวอรี่ถวนถวน
ในทันทีที่เขาไม่ได้เป็นตัวแทนของบริษัท เขาก็จะไม่มีคุณสมบัติมาพูดคุยหยอกเย้ากับคนในห้องนี้อีกแล้ว!
ดังนั้นเขาถึงต้องเสแสร้ง!
ทว่าตอนนี้กลับถูกเย่เฉินแฉหมดแล้ว!
หม่าเสินอาศัยฤทธิ์แอลกอฮอล์ตบโต๊ะอย่างรุนแรงแล้วเดินไปหาเย่เฉิน
“โดนยกเลิกสิทธิ์แล้วมันยังไง! นั่นเพราะบริษัทจะมาดูแลด้วยตนเองไม่ใช้ตัวแทนอีก ไม่ใช่ฝีมือขยะอย่างแก!”
เย่เฉินยิ้มน้อยๆ เขาจิบชาแล้วกล่าว “น่าสนใจจริงๆ เมื่อครู่ก็เห็นผมโทรศัพท์อยู่แต่ตอนนี้กลับมาช่วยออกตัวแทนผมเสียด้วย ฮ่าๆ ในเมื่อคุณไม่ได้คิดว่าเป็นฝีมือผม นั่นก็ดี ผมเองก็คร้านจะมีศัตรูเพิ่ม”
แขกที่อยู่ในงานเงี่ยหูฟัง แล้วพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา สิทธิ์การเป็นตัวแทนของหม่าเสินโดนยกเลิกจะเกี่ยวอะไรกับเย่เฉินหรือไม่?
จะต้องรู้ว่าคนที่นี่จำนวนมากเมื่อครู่เพิ่งบอกว่าจะช่วยตระกูลหวังตัดทางทำมาหากินของเย่เฉิน!
ถ้าหากว่าเย่เฉินเป็นคนใหญ่คนโตขึ้นมาจริงๆ คนพวกนี้ก็คงจะไม่รอด!
หวังจื้อหย่วนเห็นสถานการณ์ก็รีบลุกขึ้นแล้วกล่าว “ทุกคนอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป เถ้าแก่หม่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวเขาเป็นคนบ้านนอก ปู่เขาเป็นเกษตรกร ไม่รู้จักคุณอูที่อยู่ในเมืองหรอก!”
ซูหลานเองก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวเช่นกัน “ใช่แล้ว คนไร้ประโยชน์ผู้นี้เป็นเขยของบ้านเรามาสามปี ฉันสั่งให้เลี้ยวซ้ายเขาไม่กล้าไปทางขวาด้วยซ้ำ ถ้าหากเขารู้จักคนใหญ่คนโตขนาดนั้นทำไมถึงได้กล้ำกลืนฝืนทนอยู่ได้ตั้งสามปีล่ะ?”