ตอนที่ 284 ซ้อมผู้ชายที่มาดูตัว!
สำหรับซูมู่หลินแล้ว เย่เฉินและหลี่เฉิงเจี๋ยใครจะซ้อมใครเขาก็ไม่สนใจ
เพราะเขาเกลียดทั้งสองคนนั้นแหละ คนหนึ่งก็เหมือนแมลงวันที่คอยตอมพี่สาวเขา ส่วนอีกคนก็เคยทำผิดมหันต์เกินจะอภัยกับพี่สาวของเขา!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เฉินเคยตบเขา ต่อยเขา เตะเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนแถมยังแทงเขาอีก หนำซ้ำเกือบจะส่งเขาไปดาวอังคารด้วย !
ถูกเย่เฉินเขย่าประสาทจนหมดสภาพขนาดนี้ ซูมู่หลินอยากจะให้หลี่เฉิงเจี๋ยช่วยสั่งสอนเย่เฉินให้เหมือนกัน
เย่เฉินเกลียดท่าทางยโสโอหังของหลี่เฉิงเจี๋ยใจจะจขาด และเกลียดที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกเขาว่า‘ไอ้หมารับใช้’
เดิมทีเพิ่งจะได้รู้ว่าตนเองมีลูกสาว เย่เฉินดีใจอย่างมาก แต่ว่าในเมื่อหลี่เฉิงเจี๋ยรนหาที่ตายเอง งั้นเย่เฉินเองก็จะไม่เกรงใจเขา!
แล้วอีกอย่าง ตระกูลซูดูอยากจะให้ซูมู่ชิงแต่งงานกับหลี่เฉิงเจี๋ย แต่ซูมู่ชิงดูจะไม่ยินยอม
เขาเองก็อยากจะอาศัยโอกาสนี้เหยียบหน้าหลี่เฉิงเจี๋ย เพื่อที่ในอนาคตหมอนี่จะได้ไม่มารบกวนซูมู่ชิงอีก
ถือเสียว่าช่วยหญิงสาวก็แล้วกัน
ดังนั้นเย่เฉินจึงค่อยๆ เดินสาวเท้าลงมาด้านล่าง แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลี่เฉิงเจี๋ย
หลี่เฉิงเจี๋ยมองเย่เฉินพลางกล่าว “ไอ้หมารับใช้ รีบยืนย่อขาเลย คิดไม่ถึงว่าฉันจะถีบแกไม่ได้ ดูแล้วแกนี่เคยออกกำลังกายมาล่ะสิ ดีมาก ฉันชอบสั่งสอนไอ้พวกคนที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนา ตามฉันมา!”
หลี่เฉิงเจี๋ยเป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน ส่วนเย่เฉินก็เดินตามไปติดๆ
“ไปดูอะไรสนุกๆ เถอะ”
ซูมู่หลินและซูมู่เสวี่ยเดินมาถึงหน้าประตู
แต่ใบหน้าของพ่อแม่ของซูมู่หลินกลับเต็มไปด้วยความกังวล แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้สนใจความปลอดภัยของคนขับรถอย่างเย่เฉิน แต่ที่พวกเขากังวลคือวันนี้โทสะของหลี่เฉิงเจี๋ยจะบรรเทาลงไปหรือไม่
ตระกูลซูในตอนนี้ถือว่ายิ่งใหญ่กว่าตระกูลหลี่อยู่เล็กน้อยก็จริง แต่ว่าเมืองหลวงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตระกูลซูเองก็อยากจะทำทุกวิถีทางที่พอทำได้เพื่อผูกสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด
ตระกูลส่วนมากมีแต่ลูกชาย คิดว่ามีลูกชายแล้วจะสามารถสืบเชื้อสาย เพื่อตระกูลจะได้ดำเนินต่อไป
แต่ตระกูลซูนั้นมีธรรมเนียมว่าจะต้องมีลูกชายและลูกสาว ลูกชายจะสามารถจะสามารถสืบทอดธุรกิจของตระกูล ส่วนลูกสาวมีหน้าที่รับผิดชอบแต่งงานกับตระกูลต่างๆ
ตลอดหลายสิบปีมานี้ตระกูลซู รวมไปถึงน้า และย่าของซูมู่หลิน ต่างก็แต่งงานกับตระกูลใหญ่ๆ ทั้งนั้น
และเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทำให้สถานะของตระกูลซูมั่นคงอยู่เสมอ
หลี่เฉิงเจี๋ยเดินไปด้านนอก ตอนนี้ในทางเหนือเป็นฤดูหนาวพอดี เขาถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก เหลือแค่เสื้อไหมพรมบางๆ ตัวเดียว
เย่เฉินเดินตามออกไป ถอดเสื้อคลุมออก ภายในเป็นเสื้อเชิ้ตที่เก็บความร้อนที่สั่งตัดเอาไว้
วันนี้เขาอยู่ในสไตล์นักธุรกิจ จึงสวมรองเท้าหนัง ไม่ค่อยจะคล่องตัวนัก
แต่ว่าเย่เฉินเดาว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกับตนเอง จะใส่รองเท้าอะไรก็ไม่ต่างกัน
แล้วหลี่เฉิงเจี๋ยก็ตะโกนเสียงดัง ก่อนจะตั้งท่ามาตรฐานแล้วโจมตีเย่เฉินอย่างรวดเร็ว
“ย่าห์!”
“ย่าห์!”
“ย่าห์!”
หลี่เฉิงเจี๋ยปล่อยหมัดออกมาแล้วตะเบ็งเสียง อีกทั้งท่าของเขายังได้มาตรฐานอย่างมาก ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดออกมา ทั้งตำแหน่ง พลัง ท่าล้วนแต่แม่นยำอย่างยิ่ง
อีกทั้งพลังของเขาก็ไม่ได้แย่ ถ้าเป็นคนทั่วๆ ไป เมื่อโดนหมัดหลายๆ ครั้งเข้าคาดว่าคงจะหมอบไปแล้ว
ทว่าเย่เฉินมีความสามารถในการรับหมัดที่ไม่ธรรมดา เขาสามารถรับหมัดทั้งหมดจากนั้นเย่เฉินก็ส่งยิ้มให้หลี่เฉิงเจี๋ย “หมัดชุดนี้ ผมเองก็เคยเรียนมาก่อน!”
แล้วเห็นเย่เฉินตั้งการ์ดท่าเดียวกับหลี่เฉิงเจี๋ย เขายืนนิ่งแล้วย่อตัวน้อยๆ จากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไป
หลี่เฉิงเจี๋ยประหลาดใจ เพิ่งจะได้ชักเท้าไปด้านหลัง เย่เฉินก็เตะเข้าที่หน้าของเขา
จากนั้นเย่เฉินจึงปล่อยหมัดออกไปตรงๆ ถึงสามครั้ง
โครม! โครม! โครม!
หลี่เฉิงเจี๋ยโดนต่อยจนถอยกรูด
ท่ามวยที่ได้มาตรฐานของเย่เฉินนี้ทำเอาทุกคนที่อยู่ที่นั่นตกใจกันไปหมด
หลี่เฉิงเจี๋ยเองก็ประหลาดใจอย่างมาก “แกเคยเป็นทหารด้วยเหรอ?”
เย่เฉินกล่าว “ประมาณนั้น”
หลี่เฉิงเจี๋ยกล่าวอย่างเหยีดหยาม “เคยเป็นก็เคยเป็น ถ้าไม่เคยเป็นก็ไม่เคยเป็น แกมันไอ้คนสำนึกผิด ใช้ท่ามวยครึ่งๆ กลางๆ คิดจะขู่ให้ฉันกลัวเหรอ? รนหาที่ตายชัดๆ!”
หลี่เฉิงเจี๋ยปล่อยหมัดออกไป
เย่เฉินใช้วิชาการต่อสู้แบบเดียวกันรับมืออีกฝ่าย
วิชาการต่อสู้ชุดนี้นั้นเย่เฉินแค่เคยเรียนมาผ่านๆ ส่วนหลี่เฉิงเจี๋ยใช้วิชานั้นทำมาหากิน แต่ว่าเขากลับไม่สามารถใช้วิชาที่ตนเองเก่งกาจนักหนาเอาชนะเย่เฉินได้
ต่อสู้ไปครู่หนึ่ง เย่เฉินก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ เห็นซูมูชิงและซือซือเองก็มาที่ในสวน ก็อยากจะให้ลูกสาวของตนเองได้เห็นการแสดงหมัดมวยที่น่าสนใจ
“ไอ้หนุ่ม ฉันจะสอนฟู่ฮอกเซียงหยิงควิ่นแกสักกระบวนท่าหนึ่ง”
เย่เฉินพูดจบ ก็ทำมือเป็นรูปหงส์ จากนั้นก็มีหลายกระบวนท่ากลายเป็นพยัคฆ์โหนกระโจน ท่าทางแข็งแกร่ง กรงเล็บแหลมคมเหมือนพยัคฆ์ทั้งสองข้างตวัดลงบนหน้าหลี่เฉิงเจี๋ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เพี้ยะ!
เพี้ยะ!
เพี้ยะ!
ตบไปพลาง เลียนเสียงเสือไปด้วย
“โฮก! โฮก!”
ซือซือที่อยู่ด้านข้างปรบมือลงตรงๆ “อ๊าก เสียงคำรามของเสือ เหมือนจังเลย! เหมือนจังเลย!”
เย่เฉินไม่ใช่คนที่ทำเสียงเลียนแบบของสัตว์ ดังนั้นที่เขาร้องได้เหมือนมาก เป็นเพราะเขาเคยสู้กับเสือจริงๆ มาก่อน!
เย่เฉินฝึกวิชาป้องกันตัวตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ตอน 18-19 ก็มีชะตาชีวิตที่ไม่ธรรมดา คนปกติจะสู้เขาไม่ไหว เขาก็เลยไปสู้กับเสือ!
ผลลัพธ์ก็คือไม่เคยต่อสู้กันมาก่อน จนสุดท้ายแล้วใช้ปืนยาชาฉีดใส่เขา
เย่เฉินนึกถึงสถานการณ์ที่โดนเสือทำร้าย ตนเองกลายเป็นเสือ กระโดดเด้งขึ้นไปหลังจากนั้นก็พุ่งไปหลี่เฉิงเจี๋ย!
“กระโดดเก่งจริงๆ!”
หลี่เฉิงเจี๋ยตกใจ คิดไม่ถึงเย่เฉินกระโดดสูงแบบนี้
เย่เฉินลงมาจากฟ้า สอยหลี่เฉิงเจี๋ยจนร่วงลงไปในหมัดเดียว หลังจากนั้นก็ขี่บนตัวหลี่เฉิงเจี๋ย ทั้งสองกรงเล็บประหนึ่งกรงเล็บแหลมคมของเสือ ผลัวะดังขึ้น ฉีกเสื้อไหมพรมของหลี่เฉิงเจี๋ยออกเป็นชิ้นๆ!
จากนั้นเย่เฉินก็ชูหมัดขวา ประเคนฟาดหน้าใส่หน้าหลี่เฉิงเจี๋ยจนเขาขยับไม่ได้!
แต่ในเวลานี้เอง…
“หยุดนะ!”
“หยุดนะ!”
จากด้านนอกบ้าน ทันใดนั้นเองก็มีคนเตะคนกลุ่มหนึ่งออกมา เย่เฉินหันมามองในตอนนั้นคิดไม่ถึงมีปืนอย่างน้อยๆ ห้ากระบอก ชี้ใส่หัวเย่เฉิน!
“หลี่เฉิงเจี๋ยคนนี้ไม่ธรรมดา!”
เย่เฉินถึงได้เพิ่งตระหนักได้ถึงความร้ายกาจของหลี่เฉิงเจี๋ย
คนติดตามของเขาพกปืนห้ากระบอกตลอดเวลา ในเทียนไห่ตระกูลหลิ่วยังไม่กล้าทำอะไรแบบนี้เลย
ตอนนี้ซูมู่หลินเปิดปากกล่าว “หลี่เฉิงเจี๋ยตอนนี้คุณนี่ใจกล้ามากขึ้นทุกที คิดไม่ถึงว่าจะกล้าควักปืนในตระกูลซูของเรา? คุณไม่เห็นหัวตระกูลซูในสายตาแล้วใช่ไหม! สู้ไม่ได้ก็สู้ไม่ได้ กระทั่งแรงน้อยนิดเท่านี้ก็ไม่มีแล้วเหรอ?”
หลี่เฉิงเจี๋ยโดนกดลงบนพื้น ตอนนี้ทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยข่วนของเย่เฉิน จนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไปหมด
แล้วที่ยิ่งน่าขายหน้าไปกว่านั้นก็คือทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คนในดวงใจของเขาอย่างซูมู่ชิงเองก็อยู่ในเหตุการณ์ ตอนนี้จึงขายขี้หน้าเกินจะรับ!
หลี่ซ่าวเจี๋ยกล่าวกับพวกลูกน้องของเขา “ใครให้พวกเขาเข้ามา ออกไปให้หมด!”
“ครับ!”
คนถือปืนทั้งห้าคนสลายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว
และในเวลานี้เองเย่เฉินก็เก็บมือจากร่างกายของเขา
หลี่เฉิงเจี๋ยตะกายขึ้นมาจากพื้น แล้วมองเย่เฉินด้วยแววตาที่โกรธเกรี้ยว “บอกชื่อมา!”
เย่เฉินมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “คุณไม่คู่ควรจะได้รู้ชื่อผม!”