“ฮ่าๆ”
หวังจื้อเฉียงหัวเราะเสียงดัง ขณะมองลูกสาวที่แสนโดดเด่นของตนเอง
“หยวนหยวนเอ๊ย ลูกเป็นคนที่พ่อเลี้ยงจนโต พ่อจะไม่รู้จุดเด่นของลูกได้ยังไง?”
หวังหยวนหยวนกล่าว “ถ้าอย่างนั้นทำไมพ่อถึงไม่ให้หนูใส่…เอ่อ…น้อยลงกว่านี้สักหน่อย”
หวังจื้อเฉียงส่ายหน้า “ลูกสาว ลูกไม่เข้าใจ การพบหน้ากันครั้งแรก จะใส่แบบเปิดเผยมากไปจะทำให้คุณเย่ดูถูกลูก รู้สึกว่าลูกเป็นผู้หญิงง่ายๆ”
“เป้าหมายของลูกคือแต่งเข้าตระกูลเย่ ไม่ใช่เป็นชู้รักหรือคนรักของคุณเย่ ดังนั้นจึงห้ามแต่งตัวโป๊เปลือยเกินไปเด็ดขาด”
“เมื่อครู่เราเพิ่งจะเจอคุณฉินกับเลขาโจวหรงหรง เสื้อผ้าของพวกเขาสองคนลูกจำได้ไหม?”
เด็กผู้หญิงที่รักสวยรักงามอย่างหวังหยวนหยวน ย่อมพอจะจำเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
หวังหยวนหยวนพยักหน้า “สองคนนั้นใส่เสื้อผ้าคล้ายๆ กัน พวกหล่อนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงสีดำ แต่กระโปรงของเลขาสั้นกว่า ส่วนฉินหงเหยียนนั้นยาวมาหน่อยแต่ก็อยู่ประมาณหัวเข่า ”
หวังจื้อเฉียงพยักหน้า “ก็เพราะความยาวของกระโปรง ทำให้เห็นว่าฉินหงเหยียนกับโจวหรงหรงนั่นมันคนละระดับกัน หุ่นฉินหงเหยียนแย่กว่าโจวหรงหรงเหรอ? ดีกว่าชัดๆ แต่ในฐานะที่เป็นผู้บริหาร หล่อนจะแต่งตัวโป๊มากเกินไปไม่ได้ ลูกก็เหมือนกัน ลูกต้องทำให้ตัวเองดูมีระดับ ทำแบบนี้คุณเย่ถึงจะเห็นคุณค่าของลูก”
หวังหยวนหยวนรู้สึกว่าหวังจื้อเฉียงพูดมีเหตุผลมากทีเดียว “ขอบคุณค่ะพ่อ หนูจะต้องแย่งคุณเย่มาจากฉินหงเหยียนให้ได้!”
หวังจื้อเฉียงพยักหน้า ทันทีที่ลูกสาวของเขาแต่งงานกับผู้บริหารของบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ป คุณนายหวังก็จะให้ความสำคัญกับครอบครัวหวังจื้อเฉียงมากขึ้น
พอถึงตอนนั้นทรัพย์สมบัติจำนวนหลายพันล้านของตระกูลหวังรวมไปถึงผู้สืบทอดของบริษัทจะต้องตกเป็นของหวังจื้อเฉียงอย่างไม่ต้องสงสัย!
สองคนพ่อลูกนั่งอยู่แบบนั้นสิบกว่านาที
“แค่ชาแก้วเดียวก็ยังไม่ให้? บริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปรับแขกแย่ขนาดนี้เลยเหรอ?”
หวังหยวนหยวนชักจะคอแห้ง ถึงได้พบว่าเลขาไม่ยกน้ำชามาให้พวกเขา
หวังหยวนหยวนทนไม่ไหวเปิดประตูออกแล้วตะโกนใส่โจวหรงหรง “เลขาโจว ขอชาสองแก้ว ของฉันขอเป็นชาแดงนะ”
“ค่ะ คุณรอก่อนนะคะ”
โจวหรงหรงตกปากรับคำ แต่เวลาผ่านไปกว่าสิบนาที เจ้าหล่อนก็ยังไม่ยกชามา
“น่าหงุดหงิดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเลขาโจวคนนี้จะกล้าดูถูกฉัน!” หวังหยวนหยวนโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ
หวังจื้อเฉียงไม่อยากให้หวังหยวนหยวนต้องอารมณ์เสียจึงปลอบใจ “รอให้ลูกได้เป็นภรรยาประธานบริษัทก่อน แค่ไล่หล่อนออกไปก็จบแล้ว อย่าโกรธไปเลย คุณเย่อาจจะเข้ามาได้ตลอดเวลานะ”
“ค่ะ”
หวังหยวนหยวนรีบกลับมานั่งในท่าเดิม ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มละมุนเหมือนเป็นลูกเศรษฐีไม่มีผิด
แล้วเวลาครึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป
“พ่อคะ หนูทนไม่ไหวแล้ว ท่านั่งลูกคุณหนูนี่ มันชวนให้เหนื่อยจริงๆ ทำไมคุณเย่ยังไม่มาอีก?”
หยวนหยวนนอนแผ่บนโซฟา แล้วยกขาขึ้นมา
หวังจื้อเฉียงปรายตามองท่านั่งที่แสนจะไม่น่ามองแล้วส่ายหน้า “ดูแล้วคุณเย่จะไม่ค่อยเห็นความสำคัญของพวกเรา คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกเรารอถึงหนึ่งชั่วโมง”
แล้วในตอนนี้เองเย่เฉินก็ผลักประตูเข้ามา
เย่เฉินเห็นภาพของหวังหยวนหยวนสวมรองเท้าส้นสูง แถมยังเอาขาพาดโซฟาก็อดพูดไม่ได้
“หยวนหยวน คุณทำตัวสบายๆ เวลาอยู่บ้านน่ะ ผมเข้าใจ แต่ออกมาข้างนอกก็ยังทำตัวสบายๆ แบบนี้อยู่อีกเหรอ? พ่อคุณไม่ได้บอกเหรอว่าแบบนี้ไม่มีมารยาทไม่รู้เหรอไง?”
หลังจากหวังหยวนหยวนได้ยินเสียงเขา ก็ตกใจจนเอาขาลงมาด้านล่างแล้วกลับมานั่งท่าเรียบร้อย
พอเย่เฉินเห็นเข้าก็กล่าวอีกว่า “อืม ใส่กี่เพ้าด้วย สามปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคุณใส่กี่เพ้า คิดไม่ถึงเลยว่าคุณก็พอจะมีกลิ่นอายของของผู้หญิงจีนอยู่บ้างนิดหน่อยนะเนี่ย”
จำเป็นต้องยอมรับว่าการแต่งกายแบบนี้ที่หวังจื้อเฉียงจัดแจงให้บุตรสาวนั้นประสบความสำเร็จมากทีเดียว
ถ้าหากก่อนนี้เย่เฉินไม่รู้จักหวังหยวนหยวน แล้วนี่ถือเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกล่ะก็ ถือว่าน่าประทับใจมากทีเดียว แถมทำให้เขาอยากจะรู้จักเจ้าหล่อนมากขึ้นด้วย
ใบหน้าหวังหยวนหยวนฉายแววรังเกียจเมื่อได้ยินคำชมจากเย่เฉิน “ไปเลยไปๆ อย่ามาจ้องฉัน ฉันไม่ได้ใส่กี่เพ้าให้นายดูแล้วกัน ฉันรู้ว่าวันนั้นที่พ่อบอกว่าตอนแรกคุณปู่ตั้งใจจะให้ฉันแต่งงานกับนาย คงทำให้นายคิดเลยเถิดกับฉัน แต่กาจะไปเหมาะกับหงษ์ได้ยังไง? กระทั่งกับเจียเหยานายยังไม่คู่ควร แล้วจะคู่ควรกับฉันได้ยังไง?”
ถึงหวังหยวนหยวนจะมีกลิ่นอายความเป็นผู้หญิง แต่สามปีมานี้ เย่เฉินไม่เคยคิดเกินเลยกับอีกฝ่ายมาก่อน
“หยวนหยวน คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมแค่อยาก…”
หวังหยวนหยวนที่ปากไวและไม่ละเว้นใครเถียงกลับทันควัน “คิดก็ไม่ได้ แค่คิดก็ผิดแล้ว!”
เย่เฉินส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วไม่สนใจอีกฝ่ายอีก หลังจากนั่งลงก็มองหวังจื้อเฉียง
ทว่าไม่ยอมรอให้เขาเปิดปากเอ่ย หวังจื้อเฉียงก็ด่าเย่เฉินต่อ “เย่เฉิน บอดี้การ์ดคนเดียวอย่างแก ขึ้นมาด้านบนทำไม? คุณเย่ล่ะ?”
ก่อนนี้เย่เฉินเคยบอกพวกเขาว่าตนเองเป็นผู้บริหารของบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ป แต่พวกเขาไม่เชื่อ เขาเองก็คร้านจะพูดซ้ำ
เย่เฉินกล่าว “พวกคุณมาเรื่องโปรเจกต์ ‘อีผิ่นซือจ๋าย’ ใช่ไหมล่ะ? คุณพูดกับผมก็ได้”
หวังจื้อเฉียงกล่าวอย่างเหยียดหยาม “พูดกับแก? พูดกับแกมีประโยชน์อะไร? แกก็แค่บอดี้การ์ดห่วยๆ เป็นขยะที่เตะต่อยวิวาทเป็น จะเข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้เหรอ? เข้าใจเรื่องธุรกิจหรือยังไง?”
เย่เฉินเองก็เริ่มโกรธขึ้นมา “พูดแบบนี้แปลว่าคุณไม่อยากจะคุยแล้วใช่ไหม? ได้ ผมไปล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ หวังหยวนหยวนก็รั้งเย่เฉิน ทำให้เขาประหลาดใจ
ใบหน้าหวังหยวนหยวนเผยยิ้มอ่อนหวาน “เย่เฉิน อย่าเพิ่งไป ฉันถามอะไรนายหน่อย สองวันมานี้ที่นายทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของฉินหงเหยียน คงจะสนิทสนมคุ้นเคยกับฉินหงเหยียนและคุณเย่ล่ะสิ?”
เย่เฉินพยักหน้า “ก็ใช้ได้ ก็รู้อยู่บ้าง”
หวังหยวนหยวนถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นนายบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนแนบแน่นกันขนาดไหน? เวลากลางคืนอยู่ด้วยกันไหม? นอนกันที่บ้านคุณเย่หรือบ้านฉินหงเหยียนเหรอ?”
เย่เฉินรู้ดีว่าหวังหยวนหยวนเป็นคนปากสว่าง ชอบโพนทะนาไปทั่ว
ก่อนนี้ฉินหงเหยียนบอกว่าตนเองเป็นคนรักของเขา ก็ถือว่าส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของตนเองมากแล้ว เขาอยากจะอาศัยโอกาสครั้งนี้ ยืมมือหวังหยวนหยวนเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตนเองกับฉินหงเหยียนไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กัน
เย่เฉินกล่าว “พวกเขาสองคนเลิกกันแล้ว”
คำตอบนี้ทั้งไว้หน้าฉินหงเหยียนและก็ไม่ได้ปฏิเสธข้ออ้างที่ว่าเขาและฉินหงเหยียนเป็นคนรักกัน แล้วยังได้กลับมาเป็นโสดอีกครั้งด้วย
พอได้ยินคำพูดนี้หวังหยวนหยวนและหวังจื้อเฉียงน้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน
“เลิกกันแล้ว? เลิกกันแล้วเหรอ? ฮ่า…” หวังหยวนหยวนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หวังจื้อเฉียงตบที่ขาของตนเองด้วยความตื่นเต้น “นี่มันสวรรค์ทรงโปรดจริง ๆ! สวรรค์เข้าข้างตระกูลหวังแล้ว!”
เย่เฉินงุนงงจึงเอ่ยถาม “พวกเขาสองคนเลิกกัน พวกคุณดีใจขนาดนี้ทำไม?”
หวังหยวนหยวนยิ้มแล้วกลับมานั่งเรียบร้อยเหมือนเดิม โดยพาดขาบนขาอีกข้างทำให้รู้สึกเหมือนเจ้าหล่อนสูงส่งเสียเต็มประดา
“เย่เฉินเอ้ย อ้อ ไม่สิ เสี่ยวเย่เอ้ย ไม่ได้ คุณเย่ก็แซ่เย่ อย่างนั้นต้องเรียก เสี่ยวเฉิน”
ใบหน้าเย่เฉินเต็มไปด้วยคำถาม เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว หวังหยวนหยวนก็เปลี่ยนคำสรรพนามเรียกตนเองถึงสามครั้ง หล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่?
หวังหยวนหยวน “เสี่ยวเฉิน เห็นแก่ที่นายเคยเป็นพี่เขยฉัน ฉันให้โอกาสนายอีกครั้ง ไปยกชาเข้ามาให้ว่าที่ภรรยาของบอสนาย!”
ภรรยาของบอสเหรอ?