หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ตอนบ่ายสองโมง แสงแดดในอวิ๋นโจวร้อนแรงราวเปลวเพลิง คนที่เดินอยู่บนถนนต่างกางร่มใส่แว่นตากันแดด
ในเวลานี้เองฟางเชาที่กำลังนั่งรอหวังเจียเหยาอยู่ในรถ BMW ในใจร้อนรนราวโดนไฟเผา
“อะไรนะ? บริษัทจี้เฉิงก็เจ๊งไปแล้วเหมือนกันเหรอ? แม่งเอ้ย บริษัทที่กำลังดำเนินกิจการไปได้ดี ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เจ๊งไปได้นะ?”
ฟางเชาที่กำลังรับสายโทรศัพท์อยู่ตรงตำแหน่งที่นั่งคนขับกล่าวอย่างหัวเสีย
บริษัทจี้เฉิงแห่งนี้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบบริษัทที่ฟางเชาลงทุนไปและเป็นบริษัทที่ได้กำไรมากที่สุดด้วย
แต่สองวันมานี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำให้บริษัทที่ได้กำไรพวกนั้นของเขาจู่ๆ ก็ถูกบริษัทในสายงานเดียวกันเล่นงานถูกบีบจนทำอะไรไม่ได้จนทยอยพากันเจ๊งไปเป็นแถบ ๆ
บวกกับเดิมทีบริษัทที่เขาลงทุนไปสี่ห้าสิบแห่งก็ล้มเหลว เงินที่ฟางเชาใช้ลงทุนไปก็แทบจะเจ๊งไปหมดแล้ว
“แม่งเอ้ย! ซวยจริง ๆ!”
ฟางเชาทุบพวงมาลัยรถด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็กดโทรหาพ่อตนเอง
“พ่อครับช่วงนี้ผมดวงไม่ค่อยดีเลย บริษัทที่ผมลงทุนไว้แล้วเคยได้กำไรพวกนั้นเจ๊งไปหมดแล้ว พ่อให้เงินผมอีกซักร้อยล้านได้ไหมครับ?”
ฟางเสียนจู่กล่าวว่า “ช่วงนี้บริษัทเราก็ต้องใช้เงิน เมื่อสองวันก่อนพ่อโทรหาคุณพอล ดูบรูลเจ้าพ่อวงการโรงแรม เขาบอกพ่อว่าต้องการจะเปิดโรงแรมที่เคยเจ๊งเมื่อก่อนแล้วค่อยขยายไปตามเมืองรองระดับสามและสี่ตามเป้า”
ฟางเชากล่าวอย่างเคือบแคลงสงสัย “พ่อครับ แต่เมื่อก่อนเขาคัดค้านไม่ให้พวกเราขยายโรงแรมอย่างหน้ามืดตามัวแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
ฟางเสียนจู่กล่าวต่อ “ลูกจะไปเข้าใจอะไร! มันคนละเวลากันก็ต้องคนละแบบอยู่แล้ว! ตอนนี้ชนชั้นแรงงานก็มีกำลังพอจะพักอยู่ในโรงแรม ในด้านคุณภาพนั้นไม่ได้ต้องสูงส่งดีเยี่ยมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วที่สำคัญที่สุดก็คือจำนวน! พวกเราเตรียมจะเอาเงินส่วนใหญ่ของเราไปลงทุน”
ฟางเขานิ่งไปเงินส่วนมากจะใช้ไปกับการลงทุนครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้เงินราวๆ พันล้านหรืออาจจะถึงสองพันล้านเลยทีเดียว!
ถ้าได้กำไรก็ยังพอว่าแต่ถ้าขาดทุนขึ้นมา…
อย่างนั้นแล้วตระกูลฟางคงจะ…ถ้าถึงตอนนั้นจะไม่เท่ากับว่าพวกเขาจะอดตายกันหรือไง?
ฟางเชากล่าวว่า “พ่อครับ ผมไม่เห็นด้วย! เราจะใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียวไม่ได้นะครับ! ถ้าสมมติว่าคำแนะนำรอบนี้ของคุณดูบรูลเกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะครับ? ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาบ้านเราจบเห่แน่!”
ฟางเสียนจู่กล่าว “ที่ลูกพูดก็มีเหตุผล การกระจายเงินลงทุนคือสิ่งที่ถูกต้อง เอาแบบนี้แล้วกัน พ่อก็เห็นว่าเมื่อปีก่อนลูกทำได้ดีทีเดียว พ่อให้เงินลูกไปห้าร้อยล้านแล้วกัน! ลูกเอาไปลงทุนให้เต็มที่! ต่อให้พวกเราขาดทุนก็ยังมีลูกอยู่”
“ขอบคุณครับพ่อ! ผมจะใช้เงินห้าร้อยล้านที่พ่อให้มาลงทุนให้งอกเงยเป็นห้าพันล้านเลยครับ!” ฟางเชากล่าวด้วยความตื่นเต้น
ในเวลานี้เองหวังเจียเหยาคนสวยก็เดินเข้ามาตรงบริเวณที่นั่งข้างคนขับ
เห็นท่าทางฟางเชาหน้าชื่นตาบาน หวังเจียเหยาจึงถาม “มีเรื่องอะไรทำไมดีใจแบบนี้?”
ฟางเชากล่าว “พ่อให้เงินฉันมาอีกห้าสิบล้าน! ฮ่าๆ เจียเหยาเป็นคุณนายฟางรู้สึกยังไงบ้าง? เงินห้าร้อยล้านนี้จะกลายเป็นห้าพันล้านอย่างรวดเร็ว!”
หวังเจียเหยาดีใจแล้วลอบกล่าวกับตนเองในใจ “ตระกูลฟางมีเงินเกินไปแล้วล่ะมั้ง? อยู่ๆ พ่อตาก็ให้เงินมาตั้งห้าร้อยล้าน”
หวังเจียเหยาเอื้อมมือไปกำมือฟางเชาแล้วกล่าวว่า “ฟางเชาได้แต่งงานกับนายนี่ได้ช่างมีความสุขจริงๆ นี่เป็นความสุขที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน”
ฟางเขากล่าวอย่างลิงโลด “ยังจะต้องพูดอีกเหรอ? คิดว่าแค่ห้าหมื่นพ่อของขยะอย่างเย่เฉินก็น่าจะไม่มีให้เธอหรอก ฮ่าๆ!”
“จริงสิ พวกเราจดทะเบียนกันแล้ว เธอควรจะเปลี่ยนคำเรียกได้แล้วล่ะมั้ง?”
หวังเจียเหยาลังเลเล็กน้อยแล้วถึงยอมเปิดปากกล่าว “ที่…ที่รัก”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหล่อนเรียกชายอื่นว่าที่รัก เมื่อก่อนคำสรรพนามนี้เป็นแค่ของเย่เฉินเพียงคนเดียว
ในวินาทีนี้จู่ๆ หล่อนก็หวนระลึกถึงเย่เฉิน คิดถึงวินาทีที่เรียกเย่เฉินว่าที่รักในเวลาสามปีที่ผ่านมา
เย่เฉินเป็นเขยที่แต่งเข้าจึงไม่มีที่ยืนในบ้าน ดังนั้นตอนหล่อนเรียกเขาว่าที่รักต่างก็เป็นเวลาที่หล่อนดีใจมากๆ เท่านั้น
ดังนั้นพอเรียกเขาว่าที่รักใบหน้าหล่อนก็มักจะแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ
แต่ครั้งนี้ที่เรียกฟางเชาว่าที่รัก หวังเจียเหยากลับไม่ได้มีรอยยิ้มแต่รู้สึกเจ็บปวดใจแทน
“บางทีนี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตของฉันกับเย่เฉินก็ได้”
หวังเจียเหยาสะท้อนในอก แล้วกลับมาสู่บทบาทในปัจจุบันของตนเอง
หวังเจียเหยากล่าวต่อว่า “ที่รักคะส่งฉันไปที่บริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปเถอะค่ะ ฉันอยากจะไปส่งการ์ดแต่งงานให้คุณฉินกับคุณเย่ด้วยตัวเอง”
งานแต่งงานระหว่างฟางเชาและหวังเจียเหยาได้กำหนดวันไว้เรียบร้อยแล้วจะถูกจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าวันที่ 12 เดือนพฤษภาคม
ตอนนี้ตระกูลหวังกับบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปกำลังร่วมมือกันทำโปรเจกต์อีผิ่นเจียเหยา หวังเจียเหยาเป็นรองผู้ดูแลโปรเจกต์ หล่อนแต่งงานทั้งทีก็ต้องเชิญผู้บริหารของบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ป
ฟางเชากล่าว “ได้ จริงสิ ได้เชิญเย่เฉินไหม?”
หวังเจียเหยายิ้มอย่างกระดากใจ “เขาเป็นอดีตสามีของฉัน เชิญเขามาทำไมเหรอ?”
ฟางเชากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เชิญเขามาสิถึงจะสนุก ยังพอจะมีการ์ดแต่งงานที่ไม่ได้ใช้บ้างไหม? เอามาให้ฉันใบหนึ่งจะเอาไปให้เขา!”
ฟางเชาเอาการ์ดแต่งงานที่ยังไม่ได้เขียนชื่อใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเย่เฉิน เขาหยิบปากกาแล้วเขียนชื่อของเย่เฉินลงไป
แล้วเขียนข้อความเอาไว้ด้านล่างว่า “เป็นลูกผู้ชายก็มาที่งาน ฉันจะให้แกได้เห็นว่างานแต่งงานที่เรียกว่างานหรูหราแห่งปีเป็นยังไง!”
เขียนเสร็จแล้วเขาก็ยัดคืนไปให้หวังเจียเหยา
หวังเจียเหยารู้ว่าฟางเชามีเจตนาอย่างไร เขาอยากจะเปรียบเทียบกับเย่เฉินให้ถึงที่สุด อยากให้แขกทุกคนได้เห็นว่าอดีตสามีและสามีคนปัจจุบันของหวังเจียเหยาต่างกันราวฟ้ากับเหว!
“จริงสิเจียเหยา วันนี้มานอนที่บ้านฉันสิ สองวันมานี้ฉันเครียดมากเลย บริษัทที่ลงทุนให้ล้มละลายไปแล้วเธอช่วยคลายเครียดให้ฉันหน่อยสิ”
ฟางเชากุมมือหวังเจียเหยาเอาไว้
ตามหลักการแล้วทั้งสองคนจดทะเบียนสมรสกันแล้ว หวังเจียเหยาสามารถย้ายเข้าไปอยู่กับเขาได้แล้ว
ทว่าหวังเจียเหยากลับกล่าวว่า “คุณย่าบอกแล้วว่าก่อนจะจัดงานแต่งงาน ห้ามย้ายเข้า นายรอหน่อยอีกแค่อาทิตย์เดียวพวกเราก็จะแต่งงานกันแล้ว”
ฟางเชาหงุดหงิด “คุณย่าเธอหัวโบราณมากเกินไปแล้ว! เฮ้อ รู้จักเธอมานานขนาดนี้นอนกับเธอไปแค่ครั้งเดียวเองแต่ฉันก็ยังดีกว่าเย่เฉินล่ะนะ หมอนั่นแต่งงานกับเธอมาตั้งสามปียังไม่เคยได้นอนกับเธอเลย ฮ่าๆ!”
หวังเจียเหยาก้มหน้า “เอาเถอะ ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว ขับรถไปเถอะ”
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป จนไปถึง 80 กม.ต่อชั่วโมงอย่างรวดเร็ว หวังเจียเหยาหันไปมองทิวทัศน์ที่ด้านนอกหน้าต่างแล้วคิดในใจ
“เย่เฉินนายอย่าโทษฉันล่ะที่เมื่อสามปีก่อนไม่ยอมให้นายได้แตะต้องฉัน ที่จริงฉันเองก็ชอบนายมาก แต่ถ้าเป็นผู้หญิงของนายขึ้นมาจริงๆ ฟางเชาในตอนนี้คงจะไม่รักฉันแบบนี้ ตระกูลฟางก็คงจะไม่ยอมรับฉันเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขา ถ้าจะโทษ…นายก็โทษที่พวกเราเจอกันผิดเวลาแล้วกัน!”
ยี่สิบนาทีต่อมา หวังเจียเหยาก็มาถึงบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ป
ผมหวังเจียเหยายาวประบ่า เจ้าตัวใส่ตุ้มหูสี่เหลี่ยมชิ้นใหญ่เล็กซ้อนกัน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ใส่กางเกงแสล็คเอวสูงสีดำ ทั้งดูใสซื่อบริสุทธิ์แต่ก็ดูโตเหมือนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
ก๊อก ก๊อก
หวังเจียเหยาเคาะประตูออฟฟิศของฉินหงเหยียน
“เชิญเข้ามาได้”
พอหวังเจียเหยาผลักประตูเข้าไป ฉินหงเหยียนก็รีบลุกขึ้นมาทันทีแล้วกล่าว “คุณนายฟาง วันนี้คุณแต่งตัวสวยมากเลยค่ะแต่งเข้าตระกูลที่ร่ำรวยนี่ทำให้คุณดูแพงและสูงส่งขึ้นมากกว่าเดิมเยอะเลยนะคะ”
หวังเจียเหยาไม่รู้สึกถึงคำพูดเหน็บแนมที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของฉินหงเหยียน จึงตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณคุณฉินที่ชมนะคะ ฉันยังต้องรออีกสิบปีถึงจะมีมาดและมีรสนิยมแบบคุณฉินได้”
“จริงสิ ที่มาวันนี้เพราะจะมาแจกการ์ดแต่งงานให้คุณกับคุณเย่”
ฉินหงเหยียนชะงักไปแล็กน้อย “กำหนดวันแต่งงานแล้วเหรอคะ?”
หวังเจียเหยากล่าวว่า “อืม สัปดาห์หน้าวันที่ 12 เดือนพฤษภาคม”
ฉินหงเหยียนชะงักไป “วันที่ 12 เดือนพฤษภาคมเหรอ? วันนั้นเป็นวันเกิดของเย่เฉินไม่ใช่เหรอ!”