เมื่อฟังน้ำเสียงเช่นนี้ของนางแล้ว เขาก็ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะร้อง “อืม” เสียงเบาออกมา มือประคองเส้นผมของนางแช่ลงในน้ำอุ่นอย่างระมัดระวัง
จิ่งเหิงปัวร้อง “อืม…” ออกมาอย่างสบายตัว ร่างกายเริ่มที่จะผ่อนคลาย ครู่หนึ่งที่น้ำอุ่นท่วมท้นหนังศีรษะนั้น ดวงใจก็คล้ายจะร้อนผ่าวตามไปด้วย
เขากำลังลงมืออย่างแผ่วเบา ผ้าเช็ดมือที่คลุมบนกลางศีรษะของนางค่อยๆ เลื่อนลงมา แยกผมของนางออกทีละส่วนๆ แล้วแช่ไว้ในน้ำอุ่น สายตามองดูเส้นผมที่สัมผัสน้ำดำประกายดุจเมฆ คดเคี้ยววกวนแผ่วเบา ยั่วเย้าบนดวงใจของเขาด้วยท่าทางอ่อนช้อยเช่นกัน
นางหลับตาอยู่ มุมปากเจือด้วยรอยยิ้ม ไม่อยากบอกให้เขารู้ว่ายาสระผมใช้อย่างไร แค่อยากยื้อเวลาครู่หนึ่งนี้ให้นานออกไปมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานมากขึ้น
เขาก็ไม่เอ่ยถาม สองคนต่างไม่อยากเอ่ยวาจา ไม่อยากให้เสียงวาจารบกวนอารมณ์สงบเงียบในชั่วครู่นี้ เขาเปิดฝาขวดยาสระผมด้วยตนเองอย่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ก่อนอื่นเขาเทแต่กลับเทไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วใช้มือบีบขวด บีบออกมากองใหญ่กองหนึ่งดั่งคาดการณ์ เขาจ้องมองกองหนึ่งนั้น ไม่ค่อยแน่ใจว่ามากหรือน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วบีบออกมาอีกกองหนึ่ง
ขวดว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตา เขาเขย่าขวดแล้วส่ายหน้า รู้สึกว่าของสิ่งนี้แม้ว่ากลิ่นหอมใช้สะดวกแต่ไม่ทนทานโดยแท้
จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงของเหลวเย็นเยือกจากฝ่ามือเขาปกคลุมบนกลางศีรษะนาง นางชื่นชอบความรู้สึกที่ถูกห่อหุ้มศีรษะไว้แบบนี้อย่างยิ่ง มีความงดงามในการถูกปกป้อง อดจะยื่นศีรษะไปข้างหน้าแล้วถูไถกับฝ่ามือของเขาไม่ได้
เขาหยุดมือแล้วก้มหน้าลงมองนาง นางหยีตาอยู่ สีหน้าเปี่ยมด้วยความน่ารักใคร่และพึงพอใจ แสงอาทิตย์ถูกเงาบุปผากั้นกลาง ทอดลงแผ่คลุมหนาๆ บางๆ บนใบหน้าของนาง ผสมผสานโครงหน้าให้ยิ่งนุ่มนวลงดงามมากขึ้น ดั่งแมวน้อยที่ไร้ความกลัดกลุ้มตัวหนึ่ง
หน้าอกขยับเขยื้อนเพียงครั้ง จากนั้นก็เกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย ทว่าริมฝีปากเขากลับกระหวัดเพียงน้อยเป็นรัศมีโค้งผืนหนึ่ง แลดูอ่อนโยน
ของเหลวเย็นสดชื่นปกคลุมเส้นผม เขาขยี้ให้นางอย่างแผ่วเบาจากการเรียนรู้โดยไม่มีผู้ชี้แนะ เส้นผมพันรอบหว่างนิ้วจนเกิดฟองขาวขุ่นนับไม่ถ้วน เฉกเช่นความรู้สึกทั้งเบิกบานทั้งอ่อนนุ่มในยามนี้
ปลายนิ้วของเขาสะกิดเกาผ่านบนหนังศีรษะนาง ออกแรงอย่างเหมาะสม นางผ่อนคลายจนร้องครางประหนึ่งแมว ทั่วทั้งร่างแอบสั่นเทาระลอกหนึ่ง อดจะนอนหงายภายใต้แสงอาทิตย์ไม่ได้
แสงอาทิตย์ค่อยๆ สว่างไสวทะลุผ่านใบไม้เขียวชอุ่มพุ่มหนึ่ง สาดส่องสตรีที่เอนกายอยู่และบุรุษที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ มือของนางวางไว้บนหน้าอก มุมปากเปี่ยมด้วยความยินดีที่ซ่อนเร้น เส้นผมแกว่งไกวในอ่างทองแดง เขานั่งอยู่ข้างศีรษะนาง สระผมยาวของนางแผ่วเบาเบื้องหน้าอ่างทองแดง แสงอาทิตย์ส่องสว่างใบหน้าด้านข้างของเขา แววตาผืนหนึ่งตั้งใจแลใสสว่าง
แสงเงาดุจผ้าโปร่ง แสงอรุโณทัยสีแดงทองอ่อนที่ปกคลุมทั่วร่าง เสียงน้ำแผ่วเบา รอยยิ้มแผ่วบาง ดอกไม้ทยอยผลิบาน สายลมพัดผ่านแผ่วโผย หยดน้ำที่ปลายนิ้วกระทบโดยมิได้ตั้งใจ แวววาวดุจความฝัน
ใต้ต้นไม้มีเสียงกระซิบกระซาบหลายครั้ง วนเวียนนุ่มนวลดุจแดนฝัน ฟังแล้วหวานชื่น
“กงอิ้น…”
“อืม”
“กงอิ้น…”
“อืม”
“กงอิ้น”
“อืม”
“กงอิ้น”
“เจ้าต้องการจะเอ่ยอะไรกันแน่?”
“…ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่อยากเรียกชื่อของเจ้าสักหน่อยเท่านั้น กงอิ้น…กงอิ้น…ชื่อของเจ้าช่างไพเราะเหลือเกิน…”
“โง่…”
เสียงนั้นเย็นชา ทว่านิ้วมือเคลื่อนไหวแผ่วเบา เปลี่ยนน้ำในอ่างเสียงดังโครมคราม ในอ่างยังคงมีฟองสีขาวอยู่ทั่ว เขาอดทนกระทำต่อไป ไม่เป็นไร สระไม่สะอาดก็ค่อยๆ สระไป วันนี้เป็นวันพักอาบ วันนี้นางอยู่ที่นี่ วันนี้ไม่ต้อนรับขุนนางใหญ่ทั้งสิ้น เขากำลังสระผม
นางก็ไม่เป็นไรเช่นกัน สระครั้งเดียวไม่สะอาดหรือ? พอดีเลย ค่อยๆ สระไป วันนี้เป็นวันพักอาบ วันนี้นางจะอยู่ด้วยกันกับเขา วันนี้หากผู้ใดมาทำลายบรรยากาศนางจะสาปแช่งคนคนนั้น วันนี้นางจะสระผม
“กงอิ้น สระผมสบายยิ่งนัก”
“อืม”
“คราวหน้าข้าจะช่วยเจ้าสระ”
“ไม่ต้อง”
“จริงนะ สบายจุง…” การออกเสียงของนางไม่ชัดเจนแล้ว กล่าวต่อไปว่า “ข้าจะสระผมให้เจ้า ข้าจะซักผ้าให้เจ้า ข้าจะห่มผ้าให้เจ้า ข้าจะมียูกชายให้เจ้า…”
“หืม?” เขาหยุดมือฉับพลัน หันข้างเอ่ยว่า “ว่าอย่างไรนะ?”
นางไม่ได้ตอบคำถาม ลมหายใจหนักหน่วง นางนอนหลับไปแล้ว ตะแคงศีรษะอย่างอ่อนช้อยใต้แสงอาทิตย์ รอยยิ้มผืนหนึ่งตรงมุมปากยังคงไม่ถูกสายลมพัดพาจนสูญสลาย
เขาใช้แรงจ้องมองนางอยู่เนิ่นนานคล้ายอยากจะจ้องมองให้นางตื่นฟื้น กลับมาตอบคำถามวาจาสำคัญเมื่อครู่สุดท้ายประโยคนั้นให้เต็มที่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าคนที่ตื่นเช้าเกินไปคนนั้นก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ซ้ำยังฉวยโอกาสพลิกกายมากอดแขนฝั่งหนึ่งของเขา บ่นพึมพำพลางแนบใบหน้าลงบนแขนของเขา
การจ้องมองของเขาใกล้จะกลายเป็นการถลึงตา แขนฝั่งหนึ่งยกขึ้นมาแล้ว ท่าทางอยากจะตบนางให้ตื่นฟื้นยิ่งนัก ทว่านิ้วมือที่เปียกน้ำยังไม่ทันได้สัมผัสใบหน้าของนาง เขาพลันชักมือกลับไป ซ้ำยังฉวยมือสะบัดน้ำบนปลายนิ้วทิ้งไป จะได้ไม่ร่วงลงบนใบหน้าของนางรบกวนการนอนหลับของนาง
มียูกชาย…
เขาถอนหายใจออกมา รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับสตรีนางนี้ จิตใจต้องยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาสักหน่อยถึงจะรับไหว
ในอ่างยังคงมีฟองอยู่มากมาย เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ใจคิดว่าของสิ่งนี้คือสิ่งใดกันแน่? ของเหลวเพียงนิดเดียว เหตุใดจึงมีฟองมากมายขนาดนี้? ซ้ำยังคล้ายว่ายิ่งสระผมก็ยิ่งมีฟองมากขึ้น ดูท่าทางสิ่งของของนางไม่แน่ว่าจะเป็นของดีไปเสียทุกสิ่ง น้ำอะไรที่ใช้สระผมขวดนี้ หากต้องสระขนาดนี้จะไม่ทำให้คนเหนื่อยจนสิ้นชีพหรอกหรือ
เดิมทีนางเสนอว่าภายภาคหน้าจะสระผมให้เขาบ้าง เขาก็ยังรู้สึกหวั่นไหวนิดหน่อยอยู่หรอก ยามนี้ดูท่าทาง ปฏิเสธได้ถูกต้องยิ่งนัก
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาดีดนิ้วเป็นครั้งที่ยี่สิบ เอ่ยว่า “เปลี่ยนน้ำ”
…
ครึ่งชั่วยามใหญ่ๆ ต่อมาจิ่งเหิงปัวพึมพำเสียงหนึ่งตื่นฟื้นขึ้นมา งงงวยอยู่เนิ่นนาน มองเห็นบนพื้นมีถังขนาดมหึมาใบหนึ่งเพิ่มเข้ามา ในถังมีน้ำร้อนอยู่เต็ม ที่ซึ่งไกลออกไปมีเหล่าองครักษ์ยืนโซซัดโซเซอยู่ บนพื้นมีรอยสาดน้ำเต็มไปหมด
นางชะงักไปเนิ่นนาน ถึงร้อง “ว้าย” เสียงหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไอ้เวรเอ้ย กงอิ้น เหตุใดยังสระผมไม่เสร็จอีก? ขยี้จนกระดูกข้าปวดร้าวไปหมดแล้ว อีกทั้งเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหนังศีรษะเจ็บปวดยิ่งนัก…”
มหาเทพชูมือสองข้างที่ถูกน้ำลวกจนแดงไปหมดแล้วของตนเองขึ้น มองดูฟองสีขาวที่ยังคงดำรงอยู่ในอ่าง เงียบกริบเนิ่นนานนัก หันหน้า เอ่ยว่า “เปลี่ยนน้ำ”
…
ศีรษะเดียวสระไปถึงครึ่งช่วงเช้า
ในที่สุดจิ่งเหิงปัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนนอนได้เสียที นางรู้สึกว่ากระดูกจะร้าวไปหมดแล้ว หนังศีรษะปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว
นางหายใจเข้าดังซี้ดซ้าด คิดอยู่ว่าอธิษฐานให้สระผมคราวนี้ยาวนานสักหน่อย ยาวนานอีกสักหน่อย คราวนี้สวรรค์คงได้ยินจริงแล้ว ยาวนานจนพอจะทบเวลาสระผมไปหนึ่งปีแล้ว
อยากหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้ก่อน ไม่ได้นะ ถ้าหัวเราะออกมา คราวหน้าคงไม่ต้องหวังให้มหาเทพปรนนิบัตินางอีกแล้ว ดูใบหน้าน้อยเขียวคล้ำของเขานั่นสิ
ชุ่ยเจี่ยยกถาดรองอยู่ ลังเลว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ ยามนี้เวลานี้แล้ว ยังมีความจำเป็นต้องส่งอาหารเช้าอีกหรือ?
ท้องของจิ่งเหิงปัวรู้สึกหิวตั้งนานแล้ว พอมองเห็นก็รีบเร่งร้องเรียกว่า “ส่งมาๆ” ซ้ำยังโอ้อวดให้กงอิ้นฟังว่า “เจ้าต้องลองชิมนะ โจ๊กของวันนี้ข้าต้มเองเลย ผักดองข้าก็ตระเตรียมให้เจ้าเองเช่นกัน”
ชุ่ยเจี่ยกลอกตาขาว…มือกวนในอ่างข้าวสองครั้งก็นับว่าต้มโจ๊กแล้ว นี่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
คราวนี้สีหน้าของกงอิ้นถึงได้ดูดีขึ้นมาบ้าง ถูกจิ่งเหิงปัวจูงมานั่งบนม้าหินใต้ชั้นวางกระถางต้นไม้ฝั่งหนึ่ง โบกมือให้คนที่ก้าวเข้ามาปรนนิบัติถอยออกไปทั้งหมด ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวช่วยเขาลงมือ ฉวยมือหยิบชามที่วางอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วตักโจ๊กชามหนึ่งให้นาง
“เฮ้อ ข้ายังอยากตักให้เจ้าด้วยมือตนเองอยู่เลย” จิ่งเหิงปัวเสียดายที่สูญเสียโอกาสมอบความรักไปครั้งหนึ่ง
“ข้าเกรงว่าหากให้เจ้าเป็นคนตัก ข้าคงจะไม่ได้กินโจ๊กร้อนสักคำเดียว” มหาเทพยังคงปากคอเราะร้ายทว่าท่วงท่าอ่อนโยน ซ้ำยังคีบขนมให้นางจานหนึ่งด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
จิ่งเหิงปัวกลับยิ้มแย้มเปิดฝาครอบเงินฝาหนึ่งบนจานกระเบื้องสีขาวออกให้เขา ร้องว่า “แถ่นแทนแทนแท้น ผักดองที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของล้างปากเรียกน้ำย่อยอันดับหนึ่งสำคัญทั้งอยู่บ้านหรือเดินทางออกโรง!”
จานกระเบื้องสีขาวละเอียดประณีตงดงาม เผยให้เห็นก้นจานสีเขียวหยกเล็กน้อย ผักดองลำต้นเรียวยาวสีเหลืองอ่อนกลุ่มเล็กประดับด้วยพริกแดงสดเล็กน้อย สีสันสดใส พาให้คนเจริญอาหาร
ใช่แล้ว ตำนานที่ในหมู่ผักดองพบเห็นได้ทั่วไปที่สุดเผยแพร่ที่สุดเป็นที่ชื่นชอบทั้งเหนือทั้งใต้เคียงข้างผู้คนนับไม่ถ้วนข้ามผ่านกาลเวลาในโรงอาหาร จ้าไช่[1]นั่นเอง
ตอนแรกที่จิ่งเหิงปัวล้วงจ้าไช่ถุงหนึ่งนี้ออกมาจากซอกชั้นประกบในกระเป๋า นางก็น้ำตาคลอเบ้าโดยแท้…รสชาติที่ไม่ได้พบกันมานานน่ะมีบ้างไหม!
พ่อจ้าไช่ หมู่นี้สบายดีหรือเปล่า? คู่หูบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับไส้กรอกแฮมของเจ้าคิดถึงเจ้าจังเลย!
ของล้ำค่าเพียงซองเดียวนี้ หลายครั้งเมื่อนางหิวกระหายอยากจะฉีกซองกินให้หมด แต่หลายครั้งลังเลด้วยความเสียดาย สิ่งของมากมายในยุคปัจจุบัน พอมาถึงยุคโบราณย่อมแลดูล้ำค่าอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุผลด้านคุณภาพดินหรือเปล่า ผักดองของต้าฮวงส่วนมากมีรสเค็มฝาด ห่างไกลไม่มีทางเปรียบเทียบแม้แต่จ้าไช่ที่เรียบง่ายที่สุดที่เทคโนโลยียุคปัจจุบันผลิตขึ้น
แต่นำออกมาแบ่งปันกับเขา นางถึงรู้สึกว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว
[1] จ้าไช่ ผักดองชนิดหนึ่ง ทำจากผักกาด (Brassica juncea var.tumida) เนื้อกรอบนุ่ม กลิ่นรสหอมสดเฉพาะตัว