เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 77 – 1 การลงมือของเขา

ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีก็มาถึง  

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบด่าเขาในใจคราหนึ่ง ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผมเผ้าร่างกายของเจ้าคนนี้เละเทะไปหมด เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้สวมใส่ให้เรียบร้อย เปลือยหน้าอกครึ่งผืน ทั้งบนใบหน้ายังมีรอยชาดทาปากลายพร้อยอยู่รำไร เสียงด่าทอในใจก็พลันยิ่งรุนแรงขึ้น… ผู้ชายเฮงซวยบ้ากามจนขึ้นสมอง!  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้วก็รู้ว่าตนเองคงจะกำลังถูกด่าทออยู่เป็นแน่ เช่นนั้นก็อดจะฝืนหัวเราะออกมาไม่ได้…เพื่อถ่วงเวลาให้นาง เขาก็แช่อยู่ในทะเลสาบเย็นยะเยือกเนิ่นนาน ผู้คุ้นเคยเช่นนางกลับไม่ทักไม่ทายยังหนีไปอีก กว่าจะหลุดพ้นจากการพัวพันพิลึกพิลั่นของสตรีกลุ่มนั้นแล้วรีบเร่งตามมาได้ ยังต้องมาเห็นนางกลอกตาขาวครั้งใหญ่  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีนึกถึงยามที่ตนเองสลัดสตรีเหล่านั้นออกแล้วรีบเร่งตามมา ได้ยินอย่างเลือนรางว่ามีผู้ใดกำลังด่าทออยู่ตรงนั้นว่า “มิน่าเล่าอนุภรรยาเขาเอ่ยว่าเขาไม่ไหว ที่แท้เขาก็เป็นไอ้ไร้สมรรถภาพนี่เอง!”  

 

 

จิ่งเหิงปัวสตรีอันธพาลนางนี้เอ่ยถึงเขาว่าอะไรอีกแล้ว!  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีพลันรู้สึกว่าแท้จริงแล้วการที่ตนเองพบเจอราชินีถือเป็นการเผชิญความยากลำบากในชีวิตของจริง…  

 

 

“ท่านราชครูฝ่ายซ้าย?” จ้าวซื่อจื๋อไม่รู้เรื่องที่เหยียลี่ว์ฉีกระโดดน้ำข้ามเขตแดน สีหน้าฉายความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงโค้งคำนับแสดงความเคารพ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยว่า “ใต้เท้ามาได้ทันเวลาพอดี ภรรยาของผู้น้อยถูกมือสังหารลอบทำร้ายจนสิ้นใจ ยามนี้กำลังโอบล้อมกันอยู่ ท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดธำรงความยุติธรรม ช่วยผู้น้อยจับกุมมือสังหารด้วย!”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้วขึ้น จ้าวซื่อจื๋อนับเป็นขุนนางของพรรคพวกกงอิ้น ย่อมไม่เอ่ยวาจาแสดงท่าทางเกรงใจต่อเขา เขากลับไม่โกรธเคืองเช่นกัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าจ้าวเข้าใจผิดแล้วกระมัง นางข้างในนางนั้นคืออนุภรรยาของเปิ่นจั้วกับหญิงรับใช้ของนางโดยแท้ จะพลันกลายเป็นมือสังหารได้อย่างไรเล่า”  

 

 

“อนุภรรยาของท่านหรือ?” จ้าวซื่อจื๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไป จ้องมองเหยียลี่ว์ฉีแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นผู้น้อยคงต้องถามราชครูแล้ว อนุภรรยาของท่านพลันโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังลงมือกับฮูหยินของข้าที่ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับนางได้อย่างไร หรือจะเอ่ยว่า…” มุมปากเขากระหวัดเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยคราหนึ่ง เอ่ยสืบต่อไปว่า “อนุภรรยาของท่าน ผู้ที่นางจะลงมือสังหารแท้จริงแล้วคือข้า มิใช่ฮูหยินข้าที่ไร้โทษไร้ความผิด?”  

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ฟังก็รู้สึกว่าแย่แล้ว เพิ่มระดับสู่สงครามราชสำนักแล้ว ตอนนี้นางคือมือสังหารหญิงที่ถูกเหยียลี่ว์ฉีบงการให้มาลอบสังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักที่เป็นศัตรูการเมืองแล้ว  

 

 

“วันนี้เปิ่นจั้วฝึกวรยุทธ์ กระโจนสู่ทะเลสาบของจวนท่านโดยไม่ตั้งใจอีกครา” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มโดยไร้ซึ่งโทสะ ก่อนเอ่ยว่า “คนข้างกายของข้าย่อมต้องเข้ามาส่งอาภรณ์รับใช้ ทว่าเรื่องราวหลังจากนี้ เปิ่นจั้วไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน อย่างเช่นการที่หญิงรับใช้ข้างกายฮูหยินหรูของเปิ่นจั้วมาถึงลานด้านในนี้ได้อย่างไร อีกทั้งมีบาดแผลข้างปากและบนร่างกายได้อย่างไร ไม่รู้ว่าใต้เท้าจ้าวเองจะอธิบายให้เปิ่นจั้วฟังก่อนได้หรือไม่?”  

 

 

จ้าวซื่อจื๋อกลั้นหายใจอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ผู้น้อยไม่ทราบ! นางอาจจะวิ่งชนมั่วซั่ว ได้รับบาดเจ็บด้วยตนเองก็มิอาจรู้ได้!”  

 

 

“น้องสาวแกสิ!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังว่า “เจ้ามันตาเฒ่าบ้ากาม ฉุดสาวใช้ข้าไป คราวแรกให้สมรสสะเดาะเคราะห์กับบุตรชายเจ้า นางยอมสิ้นใจไม่ยอมเชื่อฟัง คราวหลังถูกลากมาให้เจ้ากระทำอีก สาวใช้ข้ามีนิสัยแข็งกร้าว พลีชีพต่อต้านจนบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง ข้าตามมาช่วยเหลือได้ทันเวลา ไอ้บ้าเอ้ย! ยังหวังลวนลามข้าอีก โชคดีที่ข้ามียาวิเศษติดกาย เมื่อครู่โปรยเซ่าหย่างซั่นไปเล็กน้อย ผ่านไปครึ่งวัน ส่วนสำคัญบางส่วนของเจ้าจะเน่าเปื่อยหนองไหลเกิดหูดหงอนไก่…อา หากเจ้าไม่เชื่อยามนี้ก็ลองลูบคลำดูสิ รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดหน่อยแล้วใช่หรือไม่?”  

 

 

“เอ่ยวาจาเหลวไหล!” จ้าวซื่อจื๋อตวาด ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนไป นิ้วมือลูบลงข้างล่างโดยจิตใต้สำนึก…  

 

 

อีชีพลันดีดนิ้วเพียงครั้ง มือของจ้าวซื่อจื๋อก็หยุดลงตรงตำแหน่งเป้ากางเกงอย่างแม่นยำ…  

 

 

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊าก…รู้เลยว่าเฒ่าบ้ากามเช่นจ้าวซื่อจื๋อนี้ กระทำเรื่องเลวร้ายมามากมายต้องมีปัญหาแน่!  

 

 

เสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน ฝูงชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งรีบตามมา คนกลุ่มนี้คือกำลังพลของสำนักตี้เกอกับทหารป้องกันนครของคั่งหลงนั่นเอง ตามระเบียบปฏิบัติแล้ว สถานที่สำคัญที่มีขุนนางสำคัญชุมนุมกันเช่นตรอกซีเกอนี้ ย่อมมีพลทหารค่ายหนึ่งตั้งมั่นปกป้องบริเวณนี้ในระยะยาว ฉะนั้นจึงมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

คนเหล่านี้พอมาถึงก็ได้มองเห็นฉากนี้ สีหน้าแปลกประหลาดโดยพลัน  

 

 

“ผู้ใดลอบทำร้ายข้า!” มือของจ้าวซื่อจื๋อถูกตรึงไว้ที่ตำแหน่งน่าอายนั้นต่อหน้าต่อตาผู้คน ใบหน้าขึ้นสีแดงม่วง เอ่ยว่า “รีบช่วยข้าคลายการสกัดจุด! อีกทั้งจับมือสังหารนางนี้ไว้ จับนางไว้!”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง ยกมือสะบัดเพียงครั้ง เงาคนชุดดำกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันพุ่งมา ขวางหน้าประตูลานบ้านไว้  

 

 

“คนของข้าเจ้ายังกล้าแตะต้องหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีสะบัดแขนเสื้อหันกายเข้าสู่กลางลานบ้าน ยกแขนเพียงครั้งผลักอีชีออกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ยื่นมือประคองไหล่ของจิ่งเหิงปัวไว้ จ้องมองดวงตาของนางอย่างอ่อนโยนแช่มช้อย เอ่ยว่า “เสี่ยวปัวร์ วันนี้ทำให้เจ้าตกใจเสียแล้ว มาสิ กลับจวนกับสามี”  

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้ม  

 

 

เสี่ยวปัวร์…  

 

 

นี่มันคำเรียกบ้าบออะไรกัน?  

 

 

ยังมีคำว่า ‘สามี’ นั่นอีก?  

 

 

ฟังแล้วเหตุใดมันถึงเปี่ยมด้วยความอ่อนหวานละมุนละไมขนาดนั้นวะ?  

 

 

นางกลอกตา ครุ่นคิดชั่วครู่ ช่างเถอะ ยามวิกฤตต้องปรับตัวตามสถานการณ์ แค่ถูกเอาเปรียบด้วยวาจาหน่อยเดียวเองไม่ใช่หรือ? ยากนักที่เหยียลี่ว์ฉีจะหวังดีขนาดนี้ ถึงขนาดยินยอมแบกรับเรื่องยุ่งยากไว้เพื่อนางแล้ว นางให้เขาเอาเปรียบด้วยวาจานิดหน่อย นับว่าเป็นการตอบแทนย่อมได้  

 

 

สำหรับเรื่องที่ให้เหยียลี่ว์ฉีหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวนี้ นางไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียว ในมุมมองของนาง เหยียลี่ว์ฉีมีความยุ่งยาก นี่ก็เท่ากับลดความยุ่งยากให้กงอิ้น ดีจะตายไป   

 

 

“นี่ๆ” มีคนไม่พอใจแล้ว กรงเล็บของอีชียื่นเข้ามาแกะมือของเหยียลี่ว์ฉีออกอย่างไม่เกรงใจ โอบไหล่อีกฝั่งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวไว้ แล้วเอ่ยว่า “นางเป็นภรรยาข้าโดยแท้ เจ้าวิ่งมาแย่งอะไรของเจ้า?”  

 

 

“พี่น้องเจ็ดสังหาร” เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม เอ่ยว่า “เรื่องโลกมนุษย์นี้ ไม่ใช่สิ่งที่แผนต้มตุ๋นของพวกเจ้าจะเข้ามาวุ่นวายด้วยได้ ไม่สู้เฉลียวฉลาดสักหน่อย ยามที่ควรหยุดมือจงหยุดมือ เป็นอย่างไร?”  

 

 

“ภรรยา” อีชีไม่สนใจเขา จูงจิ่งเหิงปัวไว้ เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด อย่าเอ่ยวาจากับแมงป่องให้มาก มีพิษ”  

 

 

“นี่มันยามใดแล้วเจ้าก่อกวนอะไรของเจ้ากัน!” เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเย็นชา   

 

 

ทางนั้นจ้าวซื่อจื๋อร้องตะโกนเสียงดังต่อผู้บัญชาการกองย่อยของคั่งหลงที่รีบตามมาว่า “ผู้บัญชาการเหยา สตรีนางนี้สวมรอยเป็นอนุภรรยาของราชครูสังหารฮูหยินของข้า รีบเร่งจับกุมนางไว้!”  

 

 

ถัดจากทางนั้นพวกเฮฮาหกคนกลับมาแล้ว มองเห็นว่ามีคนกล้าคุมเชิงกับศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาจึงพุ่งเข้ามาโดยพลัน ร้องว่า “ผู้ใดกล้าแย่งคนกับพวกเรา!”  

 

 

ถัดจากทางนั้นนายอำเภอของสำนักตี้เกอร้องเรียกเสียงสูงว่า “ท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดอธิบายด้วย…”  

 

 

ถัดจากทางนั้นเหล่าน้องสาวตระกูลจ้าวที่ได้ยินข่าวแล้วรีบเร่งตามมาเริ่มตะโกนก้องร้องไห้โฮว่า “พี่หญิงสิ้นชีพแล้ว! จับมือสังหารด้วย!”  

 

 

ความวุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งเบียดเสียดกันมาถึงในสมองของจิ่งเหิงปัว ซ้ำทางซ้ายทางขวายังมีคนจูงนางไว้ไม่ยอมปล่อย  

 

 

อีชีลากแขนของนางไว้ เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด เจ้าอย่าได้ยอมรับว่าเป็นอนุภรรยาของเขาเชียว”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ทางขวากดไหล่ของนางไว้ เอ่ยว่า “เจ็ดสังหารมีเจตนาไม่ชัดเจน เจ้าเข้าใกล้พวกเขาให้น้อยหน่อย ไปกับข้า!”  

 

 

ทางนั้นจ้าวซื่อจื๋อตะโกนลั่น “วันนี้หากอธิบายให้ข้าฟังไม่ได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะออกไปได้แม้เพียงผู้เดียว! ข้าจะต้องสับนังเลวทรามคนนี้เป็นหมื่นชิ้น…”  

 

 

ทางนั้นจิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นว่า “ปล่อยข้านะให้ข้าไป…ระวัง!”  

 

 

พอนางเงยหน้า มองเห็นทันทีว่ากลางฝูงชนฝั่งตรงข้ามพลันมีสายฟ้าเยือกเย็นผืนหนึ่งพุ่งออกมา!  

 

 

พวกเฮฮามีความระแวดระวังมากล้น กะพริบกายปกป้องเบื้องหน้านางผสานกลายเป็นกำแพงมนุษย์โดยพลัน เจ้าคนหนึ่งในนั้นตื่นเต้นดีใจมากเกินไป ตะโกนลั่นว่า “คุ้มกันเสด็จ! คุ้มกันเสด็จ!”  

 

 

…  

 

 

ในสมองของจิ่งเหิงปัวมีเสียงดัง  หวึ่ง  เสียงหนึ่ง   

 

 

รอบด้านพลันเงียบสงัด   

 

 

เสียงของเจ้าคนที่ตะโกนลั่นผู้นั้นดังกังวานยิ่งนัก การออกเสียงแจ่มชัด ทุกผู้คนได้ฟังอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน  

 

 

เหล่าองครักษ์ปากอ้าตาค้าง   

 

 

ขุนนางสำนักตี้เกอเบิกตาโพลง   

 

 

ผู้บัญชาการกองย่อยของคั่งหลงมีสีหน้าเปลี่ยนไป   

 

 

เหล่าน้องสาวภรรยาที่ร้องไห้อยู่พากันงงงัน   

 

 

นายน้อยที่ถูกคนประคองโซซัดโซเซมาหลังจากได้ยินข่าวมารดาสิ้นชีพ ดวงตากลอกเพียงครั้ง สลบไสลไปอีกแล้ว   

 

 

ทุกผู้คนงงงวยไปพริบตาหนึ่ง หันหน้ามองจ้าวซื่อจื๋อโดยพร้อมเพรียง   

 

 

สีหน้าของจ้าวซื่อจื๋อยากจะอธิบาย จากขาวเป็นเขียวจากเขียวเป็นแดง สุดท้ายกลายเป็นสีม่วงเฉกเช่นตับหมู โทสะเดือดดาลกำจายจากกลางหน้าผากเขา แม้แต่หางตายังกำลังกระตุกเล็กน้อย   

 

 

เขาหันหน้ามองดูผู้บัญชาการคั่งหลงท่านนั้น ท่ามกลางทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาคือผู้ที่น่าจะรู้จักราชินีมากที่สุด  

 

 

ผู้บัญชาการท่านนั้นเพียงดูแลความสงบเรียบร้อยของตรอกซีเกอแห่งนี้แห่งเดียว ไม่เคยได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จร้อยลี้ และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรอกหลิวหลีคราวก่อน ทว่าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้น เขาเคยเข้ายามรักษาการณ์อยู่ห่างไกล จดจำจิ่งเหิงปัวได้แจ่มชัด ก่อนหน้านี้มองได้ไม่ชัดเจนด้วยเพราะมีลานบ้านกับควันไฟขวางกั้น อีกทั้งไม่อาจนึกไปถึงราชินีได้ ยามนี้พอมองโดยละเอียด ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าอัปลักษณ์อย่างยิ่ง   

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ   

 

 

สำเร็จก็เฮฮา พ่ายแพ้ก็เฮฮาโดยแท้   

 

 

ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?  

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 77 – 1 การลงมือของเขา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 77 – 1 การลงมือของเขา

ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีก็มาถึง  

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบด่าเขาในใจคราหนึ่ง ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผมเผ้าร่างกายของเจ้าคนนี้เละเทะไปหมด เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้สวมใส่ให้เรียบร้อย เปลือยหน้าอกครึ่งผืน ทั้งบนใบหน้ายังมีรอยชาดทาปากลายพร้อยอยู่รำไร เสียงด่าทอในใจก็พลันยิ่งรุนแรงขึ้น… ผู้ชายเฮงซวยบ้ากามจนขึ้นสมอง!  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้วก็รู้ว่าตนเองคงจะกำลังถูกด่าทออยู่เป็นแน่ เช่นนั้นก็อดจะฝืนหัวเราะออกมาไม่ได้…เพื่อถ่วงเวลาให้นาง เขาก็แช่อยู่ในทะเลสาบเย็นยะเยือกเนิ่นนาน ผู้คุ้นเคยเช่นนางกลับไม่ทักไม่ทายยังหนีไปอีก กว่าจะหลุดพ้นจากการพัวพันพิลึกพิลั่นของสตรีกลุ่มนั้นแล้วรีบเร่งตามมาได้ ยังต้องมาเห็นนางกลอกตาขาวครั้งใหญ่  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีนึกถึงยามที่ตนเองสลัดสตรีเหล่านั้นออกแล้วรีบเร่งตามมา ได้ยินอย่างเลือนรางว่ามีผู้ใดกำลังด่าทออยู่ตรงนั้นว่า “มิน่าเล่าอนุภรรยาเขาเอ่ยว่าเขาไม่ไหว ที่แท้เขาก็เป็นไอ้ไร้สมรรถภาพนี่เอง!”  

 

 

จิ่งเหิงปัวสตรีอันธพาลนางนี้เอ่ยถึงเขาว่าอะไรอีกแล้ว!  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีพลันรู้สึกว่าแท้จริงแล้วการที่ตนเองพบเจอราชินีถือเป็นการเผชิญความยากลำบากในชีวิตของจริง…  

 

 

“ท่านราชครูฝ่ายซ้าย?” จ้าวซื่อจื๋อไม่รู้เรื่องที่เหยียลี่ว์ฉีกระโดดน้ำข้ามเขตแดน สีหน้าฉายความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงโค้งคำนับแสดงความเคารพ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยว่า “ใต้เท้ามาได้ทันเวลาพอดี ภรรยาของผู้น้อยถูกมือสังหารลอบทำร้ายจนสิ้นใจ ยามนี้กำลังโอบล้อมกันอยู่ ท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดธำรงความยุติธรรม ช่วยผู้น้อยจับกุมมือสังหารด้วย!”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้วขึ้น จ้าวซื่อจื๋อนับเป็นขุนนางของพรรคพวกกงอิ้น ย่อมไม่เอ่ยวาจาแสดงท่าทางเกรงใจต่อเขา เขากลับไม่โกรธเคืองเช่นกัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าจ้าวเข้าใจผิดแล้วกระมัง นางข้างในนางนั้นคืออนุภรรยาของเปิ่นจั้วกับหญิงรับใช้ของนางโดยแท้ จะพลันกลายเป็นมือสังหารได้อย่างไรเล่า”  

 

 

“อนุภรรยาของท่านหรือ?” จ้าวซื่อจื๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไป จ้องมองเหยียลี่ว์ฉีแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นผู้น้อยคงต้องถามราชครูแล้ว อนุภรรยาของท่านพลันโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังลงมือกับฮูหยินของข้าที่ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับนางได้อย่างไร หรือจะเอ่ยว่า…” มุมปากเขากระหวัดเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยคราหนึ่ง เอ่ยสืบต่อไปว่า “อนุภรรยาของท่าน ผู้ที่นางจะลงมือสังหารแท้จริงแล้วคือข้า มิใช่ฮูหยินข้าที่ไร้โทษไร้ความผิด?”  

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ฟังก็รู้สึกว่าแย่แล้ว เพิ่มระดับสู่สงครามราชสำนักแล้ว ตอนนี้นางคือมือสังหารหญิงที่ถูกเหยียลี่ว์ฉีบงการให้มาลอบสังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักที่เป็นศัตรูการเมืองแล้ว  

 

 

“วันนี้เปิ่นจั้วฝึกวรยุทธ์ กระโจนสู่ทะเลสาบของจวนท่านโดยไม่ตั้งใจอีกครา” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มโดยไร้ซึ่งโทสะ ก่อนเอ่ยว่า “คนข้างกายของข้าย่อมต้องเข้ามาส่งอาภรณ์รับใช้ ทว่าเรื่องราวหลังจากนี้ เปิ่นจั้วไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน อย่างเช่นการที่หญิงรับใช้ข้างกายฮูหยินหรูของเปิ่นจั้วมาถึงลานด้านในนี้ได้อย่างไร อีกทั้งมีบาดแผลข้างปากและบนร่างกายได้อย่างไร ไม่รู้ว่าใต้เท้าจ้าวเองจะอธิบายให้เปิ่นจั้วฟังก่อนได้หรือไม่?”  

 

 

จ้าวซื่อจื๋อกลั้นหายใจอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ผู้น้อยไม่ทราบ! นางอาจจะวิ่งชนมั่วซั่ว ได้รับบาดเจ็บด้วยตนเองก็มิอาจรู้ได้!”  

 

 

“น้องสาวแกสิ!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังว่า “เจ้ามันตาเฒ่าบ้ากาม ฉุดสาวใช้ข้าไป คราวแรกให้สมรสสะเดาะเคราะห์กับบุตรชายเจ้า นางยอมสิ้นใจไม่ยอมเชื่อฟัง คราวหลังถูกลากมาให้เจ้ากระทำอีก สาวใช้ข้ามีนิสัยแข็งกร้าว พลีชีพต่อต้านจนบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง ข้าตามมาช่วยเหลือได้ทันเวลา ไอ้บ้าเอ้ย! ยังหวังลวนลามข้าอีก โชคดีที่ข้ามียาวิเศษติดกาย เมื่อครู่โปรยเซ่าหย่างซั่นไปเล็กน้อย ผ่านไปครึ่งวัน ส่วนสำคัญบางส่วนของเจ้าจะเน่าเปื่อยหนองไหลเกิดหูดหงอนไก่…อา หากเจ้าไม่เชื่อยามนี้ก็ลองลูบคลำดูสิ รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดหน่อยแล้วใช่หรือไม่?”  

 

 

“เอ่ยวาจาเหลวไหล!” จ้าวซื่อจื๋อตวาด ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนไป นิ้วมือลูบลงข้างล่างโดยจิตใต้สำนึก…  

 

 

อีชีพลันดีดนิ้วเพียงครั้ง มือของจ้าวซื่อจื๋อก็หยุดลงตรงตำแหน่งเป้ากางเกงอย่างแม่นยำ…  

 

 

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊าก…รู้เลยว่าเฒ่าบ้ากามเช่นจ้าวซื่อจื๋อนี้ กระทำเรื่องเลวร้ายมามากมายต้องมีปัญหาแน่!  

 

 

เสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน ฝูงชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งรีบตามมา คนกลุ่มนี้คือกำลังพลของสำนักตี้เกอกับทหารป้องกันนครของคั่งหลงนั่นเอง ตามระเบียบปฏิบัติแล้ว สถานที่สำคัญที่มีขุนนางสำคัญชุมนุมกันเช่นตรอกซีเกอนี้ ย่อมมีพลทหารค่ายหนึ่งตั้งมั่นปกป้องบริเวณนี้ในระยะยาว ฉะนั้นจึงมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

คนเหล่านี้พอมาถึงก็ได้มองเห็นฉากนี้ สีหน้าแปลกประหลาดโดยพลัน  

 

 

“ผู้ใดลอบทำร้ายข้า!” มือของจ้าวซื่อจื๋อถูกตรึงไว้ที่ตำแหน่งน่าอายนั้นต่อหน้าต่อตาผู้คน ใบหน้าขึ้นสีแดงม่วง เอ่ยว่า “รีบช่วยข้าคลายการสกัดจุด! อีกทั้งจับมือสังหารนางนี้ไว้ จับนางไว้!”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง ยกมือสะบัดเพียงครั้ง เงาคนชุดดำกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันพุ่งมา ขวางหน้าประตูลานบ้านไว้  

 

 

“คนของข้าเจ้ายังกล้าแตะต้องหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีสะบัดแขนเสื้อหันกายเข้าสู่กลางลานบ้าน ยกแขนเพียงครั้งผลักอีชีออกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ยื่นมือประคองไหล่ของจิ่งเหิงปัวไว้ จ้องมองดวงตาของนางอย่างอ่อนโยนแช่มช้อย เอ่ยว่า “เสี่ยวปัวร์ วันนี้ทำให้เจ้าตกใจเสียแล้ว มาสิ กลับจวนกับสามี”  

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้ม  

 

 

เสี่ยวปัวร์…  

 

 

นี่มันคำเรียกบ้าบออะไรกัน?  

 

 

ยังมีคำว่า ‘สามี’ นั่นอีก?  

 

 

ฟังแล้วเหตุใดมันถึงเปี่ยมด้วยความอ่อนหวานละมุนละไมขนาดนั้นวะ?  

 

 

นางกลอกตา ครุ่นคิดชั่วครู่ ช่างเถอะ ยามวิกฤตต้องปรับตัวตามสถานการณ์ แค่ถูกเอาเปรียบด้วยวาจาหน่อยเดียวเองไม่ใช่หรือ? ยากนักที่เหยียลี่ว์ฉีจะหวังดีขนาดนี้ ถึงขนาดยินยอมแบกรับเรื่องยุ่งยากไว้เพื่อนางแล้ว นางให้เขาเอาเปรียบด้วยวาจานิดหน่อย นับว่าเป็นการตอบแทนย่อมได้  

 

 

สำหรับเรื่องที่ให้เหยียลี่ว์ฉีหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวนี้ นางไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียว ในมุมมองของนาง เหยียลี่ว์ฉีมีความยุ่งยาก นี่ก็เท่ากับลดความยุ่งยากให้กงอิ้น ดีจะตายไป   

 

 

“นี่ๆ” มีคนไม่พอใจแล้ว กรงเล็บของอีชียื่นเข้ามาแกะมือของเหยียลี่ว์ฉีออกอย่างไม่เกรงใจ โอบไหล่อีกฝั่งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวไว้ แล้วเอ่ยว่า “นางเป็นภรรยาข้าโดยแท้ เจ้าวิ่งมาแย่งอะไรของเจ้า?”  

 

 

“พี่น้องเจ็ดสังหาร” เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม เอ่ยว่า “เรื่องโลกมนุษย์นี้ ไม่ใช่สิ่งที่แผนต้มตุ๋นของพวกเจ้าจะเข้ามาวุ่นวายด้วยได้ ไม่สู้เฉลียวฉลาดสักหน่อย ยามที่ควรหยุดมือจงหยุดมือ เป็นอย่างไร?”  

 

 

“ภรรยา” อีชีไม่สนใจเขา จูงจิ่งเหิงปัวไว้ เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด อย่าเอ่ยวาจากับแมงป่องให้มาก มีพิษ”  

 

 

“นี่มันยามใดแล้วเจ้าก่อกวนอะไรของเจ้ากัน!” เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเย็นชา   

 

 

ทางนั้นจ้าวซื่อจื๋อร้องตะโกนเสียงดังต่อผู้บัญชาการกองย่อยของคั่งหลงที่รีบตามมาว่า “ผู้บัญชาการเหยา สตรีนางนี้สวมรอยเป็นอนุภรรยาของราชครูสังหารฮูหยินของข้า รีบเร่งจับกุมนางไว้!”  

 

 

ถัดจากทางนั้นพวกเฮฮาหกคนกลับมาแล้ว มองเห็นว่ามีคนกล้าคุมเชิงกับศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาจึงพุ่งเข้ามาโดยพลัน ร้องว่า “ผู้ใดกล้าแย่งคนกับพวกเรา!”  

 

 

ถัดจากทางนั้นนายอำเภอของสำนักตี้เกอร้องเรียกเสียงสูงว่า “ท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดอธิบายด้วย…”  

 

 

ถัดจากทางนั้นเหล่าน้องสาวตระกูลจ้าวที่ได้ยินข่าวแล้วรีบเร่งตามมาเริ่มตะโกนก้องร้องไห้โฮว่า “พี่หญิงสิ้นชีพแล้ว! จับมือสังหารด้วย!”  

 

 

ความวุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งเบียดเสียดกันมาถึงในสมองของจิ่งเหิงปัว ซ้ำทางซ้ายทางขวายังมีคนจูงนางไว้ไม่ยอมปล่อย  

 

 

อีชีลากแขนของนางไว้ เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด เจ้าอย่าได้ยอมรับว่าเป็นอนุภรรยาของเขาเชียว”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ทางขวากดไหล่ของนางไว้ เอ่ยว่า “เจ็ดสังหารมีเจตนาไม่ชัดเจน เจ้าเข้าใกล้พวกเขาให้น้อยหน่อย ไปกับข้า!”  

 

 

ทางนั้นจ้าวซื่อจื๋อตะโกนลั่น “วันนี้หากอธิบายให้ข้าฟังไม่ได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะออกไปได้แม้เพียงผู้เดียว! ข้าจะต้องสับนังเลวทรามคนนี้เป็นหมื่นชิ้น…”  

 

 

ทางนั้นจิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นว่า “ปล่อยข้านะให้ข้าไป…ระวัง!”  

 

 

พอนางเงยหน้า มองเห็นทันทีว่ากลางฝูงชนฝั่งตรงข้ามพลันมีสายฟ้าเยือกเย็นผืนหนึ่งพุ่งออกมา!  

 

 

พวกเฮฮามีความระแวดระวังมากล้น กะพริบกายปกป้องเบื้องหน้านางผสานกลายเป็นกำแพงมนุษย์โดยพลัน เจ้าคนหนึ่งในนั้นตื่นเต้นดีใจมากเกินไป ตะโกนลั่นว่า “คุ้มกันเสด็จ! คุ้มกันเสด็จ!”  

 

 

…  

 

 

ในสมองของจิ่งเหิงปัวมีเสียงดัง  หวึ่ง  เสียงหนึ่ง   

 

 

รอบด้านพลันเงียบสงัด   

 

 

เสียงของเจ้าคนที่ตะโกนลั่นผู้นั้นดังกังวานยิ่งนัก การออกเสียงแจ่มชัด ทุกผู้คนได้ฟังอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน  

 

 

เหล่าองครักษ์ปากอ้าตาค้าง   

 

 

ขุนนางสำนักตี้เกอเบิกตาโพลง   

 

 

ผู้บัญชาการกองย่อยของคั่งหลงมีสีหน้าเปลี่ยนไป   

 

 

เหล่าน้องสาวภรรยาที่ร้องไห้อยู่พากันงงงัน   

 

 

นายน้อยที่ถูกคนประคองโซซัดโซเซมาหลังจากได้ยินข่าวมารดาสิ้นชีพ ดวงตากลอกเพียงครั้ง สลบไสลไปอีกแล้ว   

 

 

ทุกผู้คนงงงวยไปพริบตาหนึ่ง หันหน้ามองจ้าวซื่อจื๋อโดยพร้อมเพรียง   

 

 

สีหน้าของจ้าวซื่อจื๋อยากจะอธิบาย จากขาวเป็นเขียวจากเขียวเป็นแดง สุดท้ายกลายเป็นสีม่วงเฉกเช่นตับหมู โทสะเดือดดาลกำจายจากกลางหน้าผากเขา แม้แต่หางตายังกำลังกระตุกเล็กน้อย   

 

 

เขาหันหน้ามองดูผู้บัญชาการคั่งหลงท่านนั้น ท่ามกลางทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาคือผู้ที่น่าจะรู้จักราชินีมากที่สุด  

 

 

ผู้บัญชาการท่านนั้นเพียงดูแลความสงบเรียบร้อยของตรอกซีเกอแห่งนี้แห่งเดียว ไม่เคยได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จร้อยลี้ และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรอกหลิวหลีคราวก่อน ทว่าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้น เขาเคยเข้ายามรักษาการณ์อยู่ห่างไกล จดจำจิ่งเหิงปัวได้แจ่มชัด ก่อนหน้านี้มองได้ไม่ชัดเจนด้วยเพราะมีลานบ้านกับควันไฟขวางกั้น อีกทั้งไม่อาจนึกไปถึงราชินีได้ ยามนี้พอมองโดยละเอียด ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าอัปลักษณ์อย่างยิ่ง   

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ   

 

 

สำเร็จก็เฮฮา พ่ายแพ้ก็เฮฮาโดยแท้   

 

 

ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset