ประตูภายในห้องค่อยๆ เปิดออก กงอิ้นเดินออกมาจากประตูนั้น ละทิ้งไอเหน็บหนาวทั่วร่างไว้ภายใน
“เถี่ยซิงเจ๋อมาถึงหรือยัง…” หางเสียงของเขายังไม่ทันสิ้น ก็พลันได้ยินเสียงเรียกขึ้นว่า “กงอิ้น!”
เสียงสูงซ้ำยังแหลมเล็กน้อย เปี่ยมด้วยความรีบเร่ง กงอิ้นเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงงัน เขาจำได้ว่านี่คือเสียงของจิ่งเหิงปัว ทว่าในความทรงจำเสียงเกียจคร้านของนางนั้นเชื่องช้าเล็กน้อย น้ำเสียงเช่นนี้ก็ได้ยินน้อยครั้งยิ่งนัก คล้ายกับมีอารมณ์นับไม่ถ้วนกำลังโหมซัดดั่งจะท่วมท้นออกมาในครู่เดียว
เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ…
ความคิดนี้ยังไม่ทันจบลง เงาร่างสีแดงสายหนึ่งก็ทะลุผ่านลานบ้านจิ้งถิงพุ่งข้ามธรณีประตูเข้ามาประหนึ่งเพลิง
“กงอิ้น!”
เงาสีแดงเพลิงนั้นพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขาโดยพลัน
เขาตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นมาโดยจิตใต้สำนึก ผลึกน้ำแข็งที่ปรากฏตรงปลายนิ้วพลันสูญสลายหายไปในพริบตา ยามที่ทอดมือลงนั้นก็ได้ร่วงหล่นลงบนเรือนผมของนางอย่างแผ่วเบาแล้ว
ท่วงท่าอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับเฉื่อยเนือยคล้ายรำคาญ เอ่ยขึ้นว่า “อะไรอีกเล่า?”
จิ่งเหิงปัวโอบเอวของเขาไว้อย่างแนบแน่น อารมณ์ท่วมท้นดุจคลื่นซ้อนคลื่นเซาะกร่อนจนนางสะอึกสะอื้นยากจะกล่าวไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คล้ายรำคาญของเขาก็อยากจะหัวเราะออกมา มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย แต่พลันมีหยาดน้ำตากลอกกลิ้งร่วงหล่นลงมา
ทั้งที่เขาควรจะมองไม่เห็น ทว่าพลันคล้ายรู้สึกได้ เรือนร่างแข็งทื่อ ยื่นมือลูบใบหน้าของนาง เอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”
จิ่งเหิงปัวก้มหน้าลง ซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของเขามากขึ้น ดูราวกับสัตว์ตัวน้อยที่กลิ้งมากลิ้งไปในอ้อมแขนเขา เพื่อค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด สุดท้ายก็เลือกหน้าอกเขา ซุกใบหน้าลงไปอย่างแนบแน่นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างยืดยาว
กงอิ้นงงงันอยู่บ้าง กลัวว่าสตรีนางนี้จะเกิดโรคประสาทอะไรขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงยื่นมือหันใบหน้าของนางมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรกันแน่…”
จิ่งเหิงปัวกอดเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้ใบหน้าหลบไปหลบมา กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “อย่าดื้อ”
กงอิ้นหยุดมือไว้ ทั้งอารมณ์ดีทั้งน่าขันอยู่บ้าง วาจานี้เขาก็ควรเป็นคนเอ่ยถึงจะถูกต้องมิใช่หรือ?
“กงอิ้น…” เขาได้ยินนางเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “…ตอนนี้ อบอุ่นหรือไม่”
เขาชะงักไปเล็กน้อย
นางแนบชิดเพียงนี้ ท่าทางกลับไม่คล้ายแทะโลมสนิทชิดเชื้อเฉกเช่นแต่ก่อน คล้ายอยากถ่ายทอดความอบอุ่นจากร่างของตนมาขจัดน้ำแข็งละลายหิมะให้เขา
นางไปรู้อะไรเข้าแล้ว?
กงอิ้นพลันทอดสายตาเข้มงวดไปยังเหมิงหู่ที่ยืนอยู่ไกลออกไปนอกลานบ้าน เหมิงหู่รีบส่ายหน้าอย่างตื่นตระหนก
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ถึงความสงสัยของเขา เช่นนั้นจึงฉีกมุมปากยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มยังไม่ทันได้แย้มออกมา ก็ถูกความโศกเศร้าที่หอบผ่านขึ้นมากลบกลืน
นางหลับตาลง ได้แต่ซุกตนเองให้แนบชิดยิ่งขึ้น อบอุ่นยิ่งขึ้น
ในใจคล้ายมีกระแสน้ำโหมซัด ไม่รู้ความร้อน ไม่รู้ความหนาว เพียงรู้ว่าหมุนวนเวียนว่าย เจ็บปวดรวดร้าว ทั่วทั้งสมองต่างเป็นเมื่อภาพหลายปีก่อน หมู่บ้านเล็กๆ ในค่ำคืนพายุฝน ทารกใกล้สิ้นชีพที่ร่วงหล่นลงมา เด็กน้อยที่ดิ้นรนในน้ำลึกร้อนผะผ่าว ผู้อ่อนวัยที่ลาจากบ้านเกิดอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
คนบางคนดูสมบูรณ์พร้อมราวกับเจียระไนด้วยหยกหิมะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจนั้นมีบาดแผลที่ฝากร่องรอยไว้มากมายเท่าไร
เด็กน้อยที่เกลือกกลิ้งอย่างเงียบเชียบในกองโคลนกับมนุษย์หิมะน้ำแข็งตรงหน้าในยามนี้ปรากฏวูบหมุนเวียนอยู่เบื้องหน้าดั่งทิวาและราตรีที่สลับสับเปลี่ยน นางรู้สึกเวียนศีรษะอยู่บ้าง พลันอยากจะทุบตีเงาร่างทั้งสองนั้นแล้วผสานเข้าด้วยกัน เปลี่ยนเป็นเขาที่ไม่ต้องสมบูรณ์พร้อมมากนัก ทว่าเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริงคนหนึ่ง
นางรู้ว่าแต่ก่อนเขาคงเสมือนซี่กรงหน้าต่างที่แตกร้าว ข้ามผ่านลมหนาวที่พัดมาจากขั้วโลกหลายระลอก แต่ก่อนนางเคยหลบหนี ทว่านับแต่วันนี้ นางอยากจะก้าวเข้าไปเติมเต็มอย่างกล้าหาญ
“กงอิ้น…” นางเรียกเขาอีกครั้ง เขาร้อง “อืม” ออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วหวังจะผลักนางออก ตอนนี้เถี่ยซิงเจ๋อใกล้จะมาถึงแล้ว
แต่นางกลับก้มหน้าลงโดยพลัน ริมฝีปากทอดลงบนผืนอกของเขา
แม้จะขวางกั้นด้วยอาภรณ์ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ก่อนจะก้มหน้าอย่างตกตะลึง
มองเห็นเพียงกลางศีรษะของนาง มองเห็นว่านางประทับริมฝีปากลงบนหน้าอกของเขาอย่างแนบแน่น
รอยจุมพิตบนดวงใจนั้น หวังเพียงชดเชยความเจ็บปวดในอดีตของเจ้า รอยร้าวสลับซับซ้อนที่อยู่บนนั้น ข้าอยากใช้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งที่สุดกับการอวยพรที่จริงใจที่สุดในชีวิตนี้ทาบลงไป
บริเวณดวงใจคล้ายมีความเจ็บปวดเย็นยะเยือก ทว่าคล้ายมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ด้วยเช่นกัน เขารู้สึกเพียงร่างดั่งแยกออกเป็นสองส่วน ทว่าจิตใจราวกับถูกเหวี่ยงลงไปในน้ำอุ่น สัมผัสความอบอุ่นปานสวรรค์ท่ามกลางความเจ็บปวด
ริมฝีปากของนางเขยิบขึ้นอย่างเชื่องช้า ทอดลงตรงข้างลำคอของเขา เชื่อมต่อกับเส้นโลหิตใหญ่ของหัวใจ
ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มและชุ่มชื้นเล็กน้อย กลิ่นหอมคล้ายซึมซาบเข้าสู่อวัยวะภายในร่างกาย ดวงใจของเขาพลันเต้นระรัวดุเดือด แต่ละเสียงต่างกำลังขานรับความอ่อนโยนของนาง
ใต้ริมฝีปากของนางรู้สึกได้ถึงการเต้นระรัวอย่างดุเดือดเช่นกัน ความท่วมท้นในดวงใจแทบจะก้าวร่วมไปกับนาง แต่ละเสียงต่างเป็นการขานรับของเขา
อยากจะหัวเราะออกมา ทว่าเบ้าตาเปียกชื้นเล็กน้อย ที่จริงแล้วแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็คือคนที่ละเอียดอ่อนไวต่อความรู้สึก เชี่ยวชาญในการรับรู้เจตนาดีของผู้อื่นอย่างยิ่ง
ด้วยเพราะเขาเคยไร้สิ้นทุกสิ่ง เพราะอย่างนั้นทุกส่วนที่มอบให้เขา เขาต่างกลัวได้กลัวเสีย ลังเลที่จะสนใจ กุมไว้แน่นโดยสำนึก ทว่ายังหวาดกลัวความเจ็บปวดของการสูญเสียอีกครั้ง เพราะอย่างนั้นจึงไม่กล้าแสดงออกแม้เพียงเศษเสี้ยว
เขาคือหิมะบนยอดเขา กล้าเพียงเผชิญแสงจันทร์บนท้องฟ้าสูง เวียนวนอยู่ท่ามกลางแสงบริสุทธิ์พร่างพราวทั่วพื้น กลัวว่าหากข้องเกี่ยวกับควันไฟแห่งแดนมนุษย์แล้วจะละลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ริมฝีปากของนางขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ข้ามผ่านลำคอของเขา ลงมาที่ขากรรไกรล่าง กำลังจะถึงข้างริมฝีปาก
ร่างของเขาแข็งทื่อ
แต่นางกลับหยุดลงโดยพลัน ยิ้มเจ้าเล่ห์เพียงครั้ง ก่อนเขย่งปลายเท้ากัดติ่งหูเขาปานฟ้าแลบ
ประหนึ่งถูกย่างด้วยไฟ ติ่งหูที่เกือบจะโปร่งแสงนั้นพลันแดงเถือกขึ้นมาดังคาดการณ์
นางยิ้มตาหยีออกมาอย่างอย่างพึงพอใจ นางก็ชื่นชอบที่จะมองเห็นสีแดงอ่อนที่เกิดขึ้นจากนางภายใต้ผิวกายขาวราวน้ำแข็งหิมะของเขา
รอยฟันบางตื้นรอยหนึ่งบนติ่งหูนั้นคือเครื่องหมายของนาง นางสาบานว่าจะทิ้งร่องรอยที่เป็นของนางบนร่างกายของเขาหรือแม้แต่บนดวงใจของเขาให้มากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ นางอาจจะยังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้คือความรักหรือไม่ ทว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ความรู้สึกหวั่นไหวเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดใจเป็นครั้งแรก ความรักสุดหัวใจเป็นครั้งแรก ความรู้สึกเหล่านี้นางต่างมอบให้เขาอย่างจริงใจเพียงผู้เดียว
เพียงนี้แล้วก็ยังไม่คู่ควรให้นางทุ่มเทเรี่ยวแรงไล่ตามอีกหรือ?
เรือนร่างของเขาพลันแข็งทื่ออยู่บ้าง คล้ายว่านางก็รู้สึกได้ เมื่อหันหลังไปมองก็เห็นเงาร่างหนึ่งก้าวเข้ามาภายในลานบ้านอยู่ไกลโพ้น
นางพลันยิ้มแย้มออกมา ก่อนจะปล่อยมือออก เมื่อคำนวณเวลาที่เถี่ยซิงเจ๋อควรใช้ในการเดินทางมาถึง ชั่วครู่มุมปากก็เชิดขึ้นเล็กน้อย
รู้ว่านางจะแสดงอารมณ์ เช่นนั้นจึงตั้งใจเดินอย่างช้าๆ นับว่าเป็นคนที่น่ามหัศจรรย์เชียวล่ะ
ในใจของนางอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย นั่นไม่ใช่เพราะความเอาใจใส่ของเถี่ยซิงเจ๋อ แต่เพราะในชีวิตที่เหน็บหนาวดุจหิมะของกงอิ้น สุดท้ายแล้วก็ยังมีมิตรแท้ที่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง นับเป็นความโชคดีที่หาได้ยากเช่นกัน
มิน่าเล่าที่จวนจ้าวซื่อจื่อครั้งก่อน กงอิ้นถึงได้เอ่ยวาจานั้นกับเถี่ยซิงเจ๋อ แม้น้ำเสียงยังคงเย็นชา แต่สำหรับกงอิ้นที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเอ่ยวาจากับข้าราชบริพารให้มากแม้เพียงประโยคเดียว เรื่องนี้ก็นับเป็นบุญคุณที่หาได้ยากยิ่งแท้จริงแล้ว
“ทูตเฉินเถี่ยเถี่ยซิงเจ๋อ ถวายบังคมองค์ราชินี คำนับท่านราชครู”
เถี่ยซิงเจ๋อขานนามตรงระเบียงทางเดินอย่างเคร่งครัดตามกฎระเบียบ ตามระเบียบปฏิบัติแล้ว เหล่าองค์ประกันต่างนับเป็นทูตของแคว้นหนึ่งเผ่าหนึ่ง ไม่เอ่ยถึงฐานะองค์ประกัน เช่นนี้สื่อนัยว่าหลงเหลือศักดิ์ศรีให้พวกเขา
จิ่งเหิงปัวหันกลับมายิ้มให้จนตาหยีพลางกวักมือเรียกขึ้นว่า “รีบเข้ามาสิ ขอบใจมากนะที่เจ้าเดินเชื่องช้า”
กงอิ้นหันข้างมองนางปราดหนึ่ง…สตรีนางนี้ก็เคยพบกับเถี่ยซิงเจ๋อแล้วหรือ? ดูจากน้ำเสียงก็เหมือนคุ้นเคยกันมาแต่ไหนแต่ไร
จิ่งเหิงปัวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เดิมทีนึกว่าจะมองเห็นใบหน้าเขียวคล้ำหรือดำกระด่างของท่านราชครู ใครจะรู้ว่าเขาเพียงนั่งลงด้วยลักษณะท่าทางอ่อนโยน แล้วยกมือให้เถี่ยซิงเจ๋อ
คราวนี้จิ่งเหิงปัวก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้นว่า สำหรับกงอิ้นแล้ว เถี่ยซิงเจ๋อก็แตกต่างออกไปจริงๆ
นางยังคิดจะลองอีกสักหน่อย เช่นนั้นพลันเท้าคางยิ้มแย้มกระซิบที่ข้างหูกงอิ้นว่า “นี่ เฉินเถี่ยซื่อจื่อคนนี้หล่อจังเลย อายุเท่าไรแล้ว สมรสแล้วหรือยัง เขามีแม่นางที่ถูกใจหรือไม่”
“เจ้าก็ถามเขาเองเถิด” กงอิ้นเอ่ยอย่างสงบเงียบว่า “ดูว่าเขาคงจะยินยอมพร้อมใจที่จะเจรจากับคู่หมั้นที่กำลังรอเขากลับไปสมรสที่บ้านเกิดของตนเอง หย่ากับนาง แล้วสมรสกับเจ้าหรือไม่”
เขายกถ้วยชาขึ้น ฝาถ้วยผสานบนถ้วยชาอย่างเชื่องช้า เอ่ยสืบต่อไปว่า “เพียงแต่เขามีความรักฝังลึกกับคู่หมั้น หลายปีมานี้รักษาตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องในตี้เกอ หากเขาไม่ยอมหย่ากับว่าที่ภรรยาแล้วสมรสใหม่ ข้าก็แนะนำให้เจ้าตระเตรียมเป็นอนุภรรยาได้เลย”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมาเสียงดัง…นี่ก็คือหึงแล้วเหรอ? ในที่สุดครั้งนี้เขาก็เจอวิธีการหึงหวงที่ถูกต้องแล้ว นางชอบยิ่งนัก!
เถี่ยซิงเจ๋อที่เข้าประตูมาได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้วก็หัวเราะเจื่อนๆ แล้วเอ่ยว่า “ราชครู พอไม่ระวังเข้าหน่อยก็ถูกท่านขายเสียแล้ว”
“ย่อมด้วยเพราะมีคนขายข้าก่อน” กงอิ้นโบกมือ บอกใบ้ให้เขานั่งลง
จิ่งเหิงปัวกับเถี่ยซิงเจ๋อมองหน้ากันปราดหนึ่ง ก่อนที่ต่างคนจะต่างหัวเราะออกมา กงอิ้นมีจิตใจละเอียดอ่อนปานผลึกแก้ว เพียงมองจากอารมณ์แปรปรวนของจิ่งเหิงปัวเมื่อครู่ก็ยังเดาได้ว่านางพบกับเถี่ยซิงเจ๋อแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางก็น่าจะรู้เรื่องเก่าของเขาบางส่วนแล้ว
เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังกังวลว่าเขาจะโมโห แล้วพาลโกรธเคืองเถี่ยซิงเจ๋อ แต่ดูจากสีหน้าของเขาคล้ายไม่ได้ไม่พอใจอะไร เช่นนนั้นจึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
กงอิ้นชำเลืองมองนางคราหนึ่ง สีหน้าของนางซื่อตรงต่อหน้าเขาเพียงนี้ ความรู้สึกยินดีโกรธเคืองกังวลฉายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
นางก็นึกว่าเขาจะไม่ถือสาที่เรื่องเก่าในวัยเด็กถูกผู้อื่นล่วงรู้จริงหรือ?
ไม่หรอก เพียงแต่เพราะผู้ที่ได้ฟังคือนางเท่านั้น