สองมือของเถี่ยซิงเจ๋อส่งมอบตะกร้าหูหิ้วไปให้ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ส้มสีแดงจากเขาลั่วสยากับเนื้อแดดเดียว เปี๊ยะเตาไฟ[1]ของหมู่บ้านเถา รวมทั้งมีดปาดรวงผึ้งที่มารดาข้าทำด้วยมือตนเอง ราชครูโปรดรับไว้”
สีหน้าของกงอิ้นดูนุ่มนวลเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ลำบากให้เจ้ารวบรวมจนครบ คราวหน้าขอบคุณฮูหยินแทนข้าด้วย”
จิ่งเหิงปัวเท้าคางอยู่ นางกำลังครุ่นคิดว่าจิ้งถิงนี้ก็มีของล้ำค่าอัศจรรย์ทั่วโลกหล้าส่งเข้ามาปานธารหลากทุกวัน แต่กลับไม่เคยเห็นกงอิ้นมีสีหน้าเบิกบานใจแบบนี้มาก่อนเลย
นางชำเลืองมองเถี่ยซิงเจ๋ออีกครั้ง ในความคิดของนาง ตอนที่เถี่ยซิงเจ๋อพบกับกงอิ้นนั้น เขาคือซื่อจื่อแห่งเผ่าเฉินเถี่ยที่สูงส่งเหนือผู้ใด ส่วนเขาก็คือเด็กหนุ่มยากจนที่ทุกคนเหยียบย่ำในหมู่บ้านชนบท หลายปีต่อมาโชคชะตาพลิกผัน เขากลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งต้าฮวง แต่เขากลับตกอับกลายเป็นองค์ประกันที่ถูกควบคุมภายใต้เงื้อมมือ เมื่อประสบกับความกลับตาลปัตรเพียงนี้ นั่นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดเงามืดภายในใจระหว่างเพื่อนสนิทสมัยเด็กคู่นี้เลยหรือ?
ดูจากสีหน้าของเถี่ยซิงเจ๋อแล้ว เห็นได้ว่าไม่มี
คนที่ภายในใจถูกเงามืดครอบครองไม่อาจมีสีหน้าที่ใจกว้างแจ่มชัดปานนั้นได้
นางคร้านอยู่ไม่ยอมไป กงอิ้นเองก็กลับไม่ได้ไล่นางไปเช่นกัน เขาสนทนาสภาพการณ์ของเผ่าเฉินเถี่ยกับเถี่ยซิงเจ๋อเรื่อยเปื่อย คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงได้รู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้เถี่ยซิงเจ๋อก็แหกกฎกลับสู่เขตปกครองของตนเองด้วยเพราะวาจาชี้แนะของกงอิ้น ส่วนทำอะไรโดยเฉพาะนั้น สองคนต่างเอ่ยวาจาคลุมเครืออย่างยิ่ง พอจะฟังออกได้ว่าคล้ายพวกเขากำลังสนทนาเกี่ยวกับถนนสายหนึ่ง
อาจจะเป็นเส้นทางสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทหารล่ะมั้ง
“ราชครูคล้ายสีหน้าไม่ค่อยดี” เถี่ยซิงเจ๋อพลันหรี่ตามองดูกงอิ้นแล้วเอ่ยขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวชะงักงัน มองดูกงอิ้นเช่นกัน คนที่อยู่ด้วยกันทุกวันมักจะละเลยความเปลี่ยนแปลงของฝ่ายตรงข้าม ไม่สู้คนที่ไม่ได้พบกันระยะหนึ่ง ยิ่งตอบสนองความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายขึ้น คราวนี้นางมองกงอิ้น รู้สึกได้เช่นกันว่าแม้เขาไม่ได้ซูบผอม ทว่าสีหน้าคล้ายจะขาวราวหิมะมากขึ้น บางครั้งมองเขานั่งอยู่ในแสงเงามืดครึ้มมีความรู้สึกเงาวาวท่วมท้น คล้ายว่าพริบตาต่อมาคนคนนี้จะละลายหายไปประหนึ่งน้ำแข็งสลัก
“เจ้าตาฝาดแล้ว” กงอิ้นเพียงตอบอย่างเฉื่อยเนือย
จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นเดินไปนอกลานบ้าน คว้าเหมิงหู่ไว้แล้วถามว่า “หมู่นี้กงอิ้นได้ทานข้าวเต็มที่หรือไม่”
เหมิงหู่เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ย่อมได้…ทานบ้าง”
“ได้น้องสาวเจ้าน่ะสิ!” จิ่งเหิงปัวผลักเขาออก หันกายกลับเข้าสู่ภายในห้อง สองคนนั้นเห็นนางเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน ก็ต่างเชิดสายตาขึ้นมองนาง
จิ่งเหิงปัวไม่สนใจกงอิ้น นางเดินเข้าไปด้วยตนเองแล้วแกะกล่องของขวัญใบนั้นออก หยิบออกมาดูทีละอย่าง
การแกะของขวัญต่อหน้านี้ก็ไม่มีมารยาทยิ่งนัก เถี่ยซิงเจ๋อเบิกตากว้างเล็กน้อย กงอิ้นกระแอมไอออกมา เอ่ยกับเขาอย่างขออภัยเล็กน้อยว่า “…ฝ่าบาททรงสงสัยใคร่รู้”
จากนั้นเถี่ยซิงเจ๋อก็คืนสู่สภาพปกติ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงตรงไปตรงมาชัดเจน เป็นผู้กระทำตามพระทัยตนเองโดยแท้”
เขากะพริบตา พลันยิ้มแย้มกระซิบว่า “…ฉะนั้นท่านไม่ต้องรีบร้อนอธิบายแทนพระนางแล้ว…ไม่เช่นนั้นข้ามักจะนึกว่านางเป็นภรรยาเจ้า…”
ถ้วยชาในมือกงอิ้นร่วงลงดังกึก กลบกลืนวาจาประโยคนี้ไว้ จิ่งเหิงปัวไม่ได้ฟังอย่างชัดเจน นางหันกลับมาเบิกตากว้าง ร้องว่า “เจ้าสองคนทำลับๆ ล่อๆ เอ่ยถึงข้าว่าอะไร?”
บุรุษสองคนหันหน้าอย่างพร้อมเพรียง เอ่ยอย่างสงบนิ่งขึ้นพร้อมกันว่า “ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
จิ่งเหิงปัวไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน นางเปิดกล่องของขวัญออกอย่างโอ้อวด หยิบส้มสีแดงขึ้นมาดมกลิ่น แล้วร้องเสียงดังว่า “หอมจังๆ!”
เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มออกมา กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา มุมปากและสีหน้าฉายแววจนปัญญา
ส้มสีแดงสีสันดุจเพลิง ผลส้มเองไม่มีกลิ่นหอม
จิ่งเหิงปัวหยิบเปี๊ยะเตาไฟที่มีกระดาษห่อไว้ออกมา ดมกลิ่นชั่วครู่ แล้วร้องอีกว่า “หอมจังๆ!”
มุมปากของเถี่ยซิงเจ๋อเชิดขึ้น กงอิ้นได้แต่ก้มหน้าลงดื่มชา
เปี๊ยะเตาไฟหอมด้วยไส้ภายใน เปลือกนอกหลายชั้นดมแล้วไม่มีกลิ่นหอม
จิ่งเหิงปัวค้นวัตถุแผ่นยาวที่ใช้กระดาษน้ำมันห่อไว้ออกมาอีกอย่าง ยังไม่ทันได้ดมกลิ่นก็หลับตาส่ายหน้าชื่นชม แล้วร้องว่า “หอมจังๆ! ข้าได้กลิ่นแล้วรู้สึกหิวเลย!”
เถี่ยซิงเจ๋ออดไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาหัวเราะออกมาดังพรืด น้ำชากระเซ็นทั่วสาบเสื้อ
กงอิ้นวางถ้วยชาลง แล้วกวักมือบอกใบ้ให้เหมิงหู่เข้ามา เอ่ยว่า “ดูว่าห้องครัวมีขนมใดบ้าง รีบเร่งทำส่งขึ้นมา”
“ทำอะไรน่ะๆ ข้าไม่ได้อยากกินขนม…” จิ่งเหิงปัวแกะกระดาษห่อออกดังกร๊อบแกร๊บเล็กน้อย ก่อนแสร้งทำท่าเคลิ้บเคลิ้ม จมูกเข้าใกล้ดมกลิ่นอย่างเกินจริงครั้งหนึ่ง แล้วร้องว่า “หอมจัง…แหวะ…”
นางเกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว…กลิ่นมันเลี่ยนเหม็นคาวอย่างแปลกประหลาดพุ่งเข้าสู่ปลายจมูก พริบตานั้นส่งผลกระทบไปถึงกระเพาะลำไส้ จนอยากจะพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรเสียเลย
ชาถ้วยหนึ่งถูกส่งมาให้ คนส่งชาก็คือเถี่ยซิงเจ๋อ
มือข้างหนึ่งของเขาตบที่กลางหลังของนางอย่างแผ่วเบา ตบเพียงครั้งก็สงบความคลื่นเ**ยนจากกระเพาะลำไส้ของนางเอาไว้ มือของกงอิ้นนั่นเอง
เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ กลั้นไปพลางรู้สึกผิดด้วยเพราะอาการอดจะหัวเราะไม่ได้ของตนเอง เอ่ยอย่างขออภัยว่า “ฝ่าบาท เนื้อแดดเดียวได้ผ่านการจัดการโดยเฉพาะแล้ว ยามที่ยังไม่ได้ผ่านการนึ่งให้สุก กลิ่นก็เหม็นยิ่งนัก…”
จิ่งเหิงปัวน้ำตาคลอเบ้า ใช้สายตาด่าทอเขายกใหญ่… ทำไมไม่รีบพูดก่อน!
กงอิ้นรับชามาป้อนให้นางดื่มอึกหนึ่ง ประคองนางให้นั่งลง แล้วเอ่ยว่า “หากอยากทานประเดี๋ยวจะส่งไปให้เจ้าได้ทานในตำหนักของเจ้า จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ?”
สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้นั่งลง เพียงทำหน้ามุ่ยเกาะโต๊ะไว้ เอ่ยว่า “จริงๆ แล้วก็ยังหอมยิ่งนัก ข้าไม่ชอบทานคนเดียว ข้าอยากทานกับเจ้าที่นี่…”
ในใจกงอิ้นสั่นสะท้าน เงาด้านหลังแข็งทื่อ
นี่จึงจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่นางทำหน้าหนาแกะกล่องของขวัญ หลับหูหลับตาเอ่ยว่าเนื้อหอมสินะ?
นางอยากทานข้าวด้วยกันกับเขา
แต่เขาคิดจะปฏิเสธโดยพลัน
หมู่นี้การทานอาหารของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจทานข้าวกับนางได้จริงๆ
ทว่าพอเขาหันกาย และได้มองเห็นนัยน์ตาคู่นั้นของนางที่ยังคงมีหยาดน้ำตาแวววาวด้วยเพราะความคลื่นเ**ยนเมื่อครู่ แตกต่างจากความเย่อหยิ่งกำเริบเสิบสานในยามปกติ ท่าทางสงบเสงี่ยมเช่นนี้ทำให้ก้นบึ้งของหัวใจของเขาพลันเอ่อล้นด้วยกระแสน้ำอ่อนนุ่มผืนหนึ่ง ท่วมท้นชายฝั่งแข็งแกร่ง
จากนั้นเขาก็ได้ยินตนเองเอ่ยขึ้นว่า “แจ้งห้องเครื่อง คืนนี้ฝ่าบาทพระราชทานเลี้ยงอาหารแก่เฉินเถี่ยซื่อจื่อ ราชครูตามเสด็จ”
เถี่ยซิงเจ๋อพลันยิ้มแย้มโค้งคำนับ เอ่ยว่า “กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”
จิ่งเหิงปัวแอบดีดนิ้วครั้งหนึ่ง… บิงโก! รู้อยู่แล้วว่าลูกไม้นี้ได้ผล!
เจ้าคนนี้ไม่ได้กินข้าวด้วยกันกับนางมานานมากแล้ว ทุกครั้งต่างมีเหตุผลต่างๆ เพื่อคอยหลีกเลี่ยง วันนี้นางจะต้องดูความชอบและความอยากอาหารของเขาอย่างแน่ชัดให้ได้ เปี๊ยะเอย เนื้อเอยอะไรนี่ ถ้าเขาชอบจริงนางจะเรียนรู้
สตรีเปรียบเสมือนน้ำอย่างไรเล่า นอกจากน้ำแล้ว ยังจะมีอะไรท่วมท้นป้อมปราการเหล็กกล้าได้อีกหรือ?
[1] เปี๊ยะเตาไฟ ขนมเปี๊ยะชนิดหนึ่ง ข้างในมีไส้ต่างๆ ใช้เตาไฟในการย่างให้แป้งเหลืองกรอบ