เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 79 – 4 ให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่เจ้า

คล้ายเพื่อสมดุลสภาพบริสุทธิ์เรียบง่ายเกินไปของจิ้งถิง รอบด้านของจิ้งถิงปลูกต้นหงเฟิง[1]ไว้มากมาย ด้วยเพราะตำหนักอวี้จ้าวมีสภาพอากาศอบอุ่น แม้ยามนี้เป็นต้นฤดูหนาว ทว่าหงเฟิงยังคงสวยสดงดงาม สีแดงเข้มดุจเพลิงลุกโชนบนพื้นผิวศิลาหิมะของจิ้งถิง ไกลออกไปอีกเล็กน้อยก็เป็นเบญจมาศสีเหลืองใบไม้เขียวขจีในอุทยาน แต่งแต้มสีสันอย่างสดใสท่ามกลางสีแดงแพรวพราว

 

 

งานเลี้ยงพระราชทานที่ไม่เป็นทางการครั้งนี้จัดขึ้นใต้ต้นหงเฟิงตามคำแนะนำของเถี่ยซิงเจ๋อ เหล่าราชองครักษ์ปูพรมแพรปักขนาดมหึมา โดยมีทุกคนนั่งขัดสมาธิบนนั้น

 

 

หงเฟิงที่อยู่เหนือศีรษะสั่นไหว มองเห็นท้องฟ้าสีครามทะลุผ่านใบไม้แดงลายพร้อยได้ ดูสูงส่งกว้างไกล เมฆปานเข็มขัดเส้นหนึ่งที่เวียนวนผันผ่านอย่างรวดเร็วบ่อยครั้ง

 

 

แน่นอนว่าอาหารนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ผลิตผลจากท้องถิ่นธรรมดาๆ ไม่กี่อย่างนั้น แต่จิ่งเหิงปัวยังได้สั่งให้ยงเสวี่ยเร่งรีบแสดงฝีมือก่อนหน้านี้แล้ว ตุ๋นซุปผัดผักในห้องครัววังบรรทมของนาง จะต้องส่งอาหารที่ทำให้คนอยากทานที่สุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

ทว่ากงอิ้นยังคงไม่ค่อยทานเท่าไรนัก

 

 

เขาถือผลส้มสีแดงก่ำดุจเพลิงลูกหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ปอกกลางหว่างนิ้ว ลอกเยื่อสีขาวบนกลีบส้มทีละเส้นออกอย่างละเอียด จิ่งเหิงปัวคีบอาหารชิ้นหนึ่งไว้ แล้วแอบมองซ้ายขวาแวบหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าเนื้อผลสีแดงส้มนั้นเวียนวนระหว่างนิ้วมือฝ่ามือขาวราวหิมะของเขาเป็นความงดงามที่อธิบายไม่ได้

 

 

จู่ๆ มือขาวราวหิมะคู่นั้นกลับยื่นมาตรงหน้านาง เนื้อผลในฝ่ามือดูงดงามประณีต

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้าลงอย่างงงงัน ความหอมหวานของผลส้มซึมซาบเข้าไปในหัวใจ…ที่มหาเทพยุ่งวุ่นวายอยู่นานนี่ เขาก็ปอกให้นางหรือ?

 

 

กงอิ้นกลับคล้ายรำคาญแล้ว เขามือยื่นไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

 

ราชองครักษ์ต่างยืนอยู่ไกลๆ ส่วนเถี่ยซิงเจ๋อพลันคล้ายมีความรักกับเป็ดห่อแพรเบื้องหน้า ก้มหน้าลงตั้งใจจ้องมอง

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วยิ้มแย้มขึ้นมา

 

 

นางแบ่งผลส้มออกเป็นสองซีก ก่อนจะยัดครึ่งซีกหนึ่งเข้าไปในปากเขาอย่างรวดเร็ว

 

 

มหาเทพที่เคี้ยวผลส้มครึ่งซีกนั้นเบิกตามองท่าทางของนางที่อ่อนหวานละมุนละไมยิ่งนัก ทำให้นางยิ้มอย่างเบิกบานมากยิ่งขึ้น

 

 

กงอิ้นจ้องมองรอยยิ้มสดใสของนาง ในแววตาเปล่งแสงรุ่งโรจน์ออกมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ กลืนผลส้มเข้าไปในปาก รสชาติหวานเย็นชุ่มฉ่ำเต็มปาก เมื่อเข้าปากก็เป็นความหวานอร่อยล้ำเลิศ เมื่อเข้าสู่หัวใจกลับก่อเกิดเป็นความเจ็บปวดหนาวเหน็บออกมา

 

 

สีหน้าของเขาเผือดซีดเล็กน้อย ทว่าก็พลันยิ้มแย้มตรงมุมปากให้จิ่งเหิงปัวที่กำลังมองดูเขาอย่างรอคอย จากนั้นก็หันหน้าหยิบผลส้มลูกหนึ่งยื่นให้เถี่ยซิงเจ๋อ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง เห็นนางกำลังฮึกเหิมที่จะหยิบผลส้มขึ้นมาปอกด้วยตนเองอย่างยินดีปรีดา ดูท่าทางแล้วคงคิดจะปอกคืนไปบ้างเช่นกัน

 

 

“ทานอาหารเงียบๆ ไม่ปริปากเช่นนี้ก็คล้ายจะขาดความสนุกสนานไปหลายส่วน” เถี่ยซิงเจ๋อพลันยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เรามาเล่นพนันดื่มสุรากันเถิด”

 

 

แววตาของกงอิ้นกะพริบวูบ เอ่ยนำหน้าว่า “ได้”

 

 

จิ่งเหิงปัวดีใจยกใหญ่ นางชอบสุรา อีกทั้งยังคอแข็งจนน่าประหลาดใจ หลังจากทะลุมิติก็ไม่ได้มีโอกาสดื่มสุราอะไรนัก เมื่อได้ยินคำแนะนำนี้ดวงตาก็พลันสว่างวูบวาบขึ้นมาแล้ว

 

 

“เหมิงหู่ นำ…สุราน้ำแข็งหลงซานมา” กงอิ้นสั่ง

 

 

เหมิงหู่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนมองกงอิ้นปราดหนึ่ง จากนั้นก็โค้งคำนับถอยไปตระเตรียม

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “วันนี้ได้อาศัยพระบารมีของฝ่าบาท เป็นลาภปากโดยแท้!”

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง สุราที่กงอิ้นนำออกมา ซ้ำเถี่ยซิงเจ๋อยังมีปฏิกิริยาแบบนี้ แล้วยังจะมีรสชาติแย่ได้อย่างไร?

 

 

เหมิงหู่ส่งสุรามาให้ด้วยตนเอง กาหยกสีเดียวกันสามใบ สุราสีเขียวอ่อนภายในกานั้นมันวาวโปร่งแสงละมุน มองจากที่ห่างไกลๆ ก็ดูดั่งหยกเขียวน้ำงามเลิศล้ำก้อนหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่ากาสุราของกงอิ้นนั้นแตกต่างจากกาสุราของทั้งสองคนอยู่บ้าง นอกผิวกายังมีไอน้ำเกาะอยู่เล็กน้อยคล้ายกับแช่เย็นมาก่อน ทว่าวรยุทธ์ของกงอิ้นเองเป็นสายน้ำแข็งหิมะอยู่แล้ว นางจึงไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน

 

 

นางหยิบกาสุราขึ้นมา พลันรู้สึกไม่พอใจกับขนาดอย่างมาก เอ่ยขึ้นว่า “น้อยเพียงนี้? หนึ่งคนกี่กากัน”

 

 

“ฝ่าบาทตรัสวาจากล้าหาญยิ่งนัก” เถี่ยซิงเจ๋อหรี่ตาลงคล้ายว่าเมามายตั้งแต่ยังไม่เริ่มดื่ม เอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมยังกังวลว่าสุรานี้กระหม่อมจะดื่มไม่หมดด้วยซ้ำ สุรานี้เป็นสุราที่มีชื่อมากที่สุดของต้าฮวง กลั่นในบึงโคลนสุราเพียงหนึ่งเดียวในต้าฮวง แล้วเก็บไว้ใต้ดินในบึงโคลนน้ำแข็ง แบ่งเป็นกลั่นสิบปี กลั่นยี่สิบปี กลั่นสามสิบปีและกลั่นร้อยปี สามขวดนี้…” เขาดมกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้ม เอ่ยว่า “เกรงว่าจะเป็นหลงซานร้อยปีที่ลือชื่อว่า ‘หยดหนึ่งตำลึงทองเซียนมัวเมา ดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืน’ นั้นแล้ว”

 

 

“หยดหนึ่งตำลึงทองเซียนมัวเมา ดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืน? หมายความว่าอะไรหรือ”

 

 

“หยดหนึ่งตำลึงทองหมายถึงราคา เซียนมัวเมาไม่ต้องเอ่ยก็คงเข้าใจได้ ส่วนดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืนนั้น…” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “พระองค์ทรงดื่มเสร็จก็คงจะรู้แล้ว”

 

 

“เอ่ยวาจากำกวม” จิ่งเหิงปัวพึมพำ แต่ก็ยิ่งมีความสนใจมากขึ้นเช่นกัน นางดึงจุกกาสุราออก ก่อนจะสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง

 

 

ไม่มีกลิ่นเหล้าเข้มข้นมากนัก รู้สึกเพียงว่ากลิ่นบริสุทธิ์หอบหนึ่งดั่งลอยพุ่งออกมากลายเป็นความหนาวเหน็บรำไร ประชิดใกล้สู่ปลายจมูก พริบตาต่อมานั้นนางก็เบิกตาโพลง พลันรู้สึกว่าชาแปลบทั่วผิวบริเวณโดยรอบจมูกประหนึ่งต้องสายฟ้า ที่เบื้องหน้ามีดวงดาวนับไม่ถ้วนกะพริบผ่านในชั่วครู่ ส่องสะท้อนบนท้องฟ้าอย่างยุ่งเหยิง

 

 

“ดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืน” เต็มที่เลย!

 

 

นี่มันเหล้าอะไรกันเนี่ย? ทำไมรู้สึกแปลกประหลาดขนาดนี้

 

 

“สุรานี้ยังเลื่องชื่อว่า ‘คลื่นซ้อนสามหน’ อีกด้วย” กงอิ้นเอ่ย

 

 

“นั่นหมายความว่าอะไรอีกเล่า”

 

 

“หมายถึงฤทธิ์เดชของสุรานี้ทำให้คนมึนเมาได้ถึงสามครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นฤทธิ์สุราของมันไม่ใช่ต่อเนื่อง แต่เป็นชั้นหนึ่งซ้อนอีกชั้นหนึ่งประหนึ่งกระแสคลื่น ชั้นหนึ่งผ่านไปแล้วอาจจะได้สติระยะหนึ่ง พอฤทธิ์เดชอีกคลื่นพุ่งขึ้นมาจะรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดสามครั้ง” เถี่ยซิงเจ๋ออธิบายต่อว่า “ทว่าแม้สุรานี้จะเข้มข้น แต่ตัวมันเองคือสุราบำรุงกำลังที่ได้มาอย่างยากยิ่ง เป็นสุราศักดิ์สิทธิ์ในหมู่สุราที่มีสรรพคุณในการยืดอายุต่อชีวิตอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสุราร้อยปี…กระหม่อมแทบจะไม่เคยได้ยินว่ามีสุราร้อยปีดำรงอยู่จริง”

 

 

“เพิ่งครบร้อยปี” กงอิ้นเอ่ย

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งคล้ายเข้าใจขึ้นมา ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนี้ กระหม่อมนับว่าอาศัยพระบารมีของฝ่าบาทแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกสุรานี้ดึงดูดโดยสิ้นเชิง นางอดจะพลิกไปพลิกมาเพื่อพินิจให้ละเอียดไม่ได้ กงอิ้นที่อยู่ทางนั้นมองนางปราดหนึ่ง ในขณะที่ตนเองรินไปครึ่งถ้วย

 

 

“เล่นพนันกันเถิด” เขาเอ่ย

 

 

“ควรเป็นเช่นนั้น” เถี่ยซิงเจ๋อย่อมเห็นด้วย

 

 

จิ่งเหิงปัวก็สนับสนุนอารมณ์สนุกสนานที่กงอิ้นยากจะมีอย่างยิ่งเช่นกัน นางกล่าวว่า “ดีเลยๆ แต่อย่าได้เล่นพวกทรงความรู้เกินไปนะ ข้ากลัวว่าความรู้ความสามารถของข้าจะเลิศล้ำเลิศเกินไป พาให้พวกเจ้าตกใจจนสิ้นชีพ”

 

 

กงอิ้นไม่ได้โค่นล้มนางอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาเพียงเอ่ยว่า “ทุกคนเอ่ยถึงของสิ่งหนึ่ง จากนั้นเอ่ยรับสองประโยค ขอให้สองประโยคคล้องจองทว่าต่างความหมาย”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อพยักหน้าติดๆ กัน แล้วเอ่ยว่า “การละเล่นนี้คือหนึ่งของเอ่ยสองวรรค ทั้งชัดเจนและเข้าใจง่าย ทั้งยังทดสอบความว่องไว ดียิ่งนัก”

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังเข้าใจอยู่บ้าง นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถามว่า “กำหนดอย่างไรว่าผู้ใดจะเป็นเอ่ย?”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองดูโต๊ะอาหาร แล้วหยิบช้อนกระเบื้องมาวางไว้กลางจาน นิ้วมือเขี่ยให้หมุน เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากช้อนกระเบื้องหยุดลง หากด้ามช้อนชี้ไปทางผู้ใด ผู้นั้นดื่ม”

 

 

“ดีเลยๆ ยุติธรรม แต่พวกเจ้าสองคนก็เก่งวรยุทธ์ ห้ามโกงเชียวนะ” จิ่งเหิงปัวมองดูกงอิ้นด้วยท่าทางยิ้มตาหยี ใช้ริมฝีปากกระซิบว่า “หากเจ้าไม่กลัวข้ากระทำการมั่วซั่วหลังดื่มสุรา ก็โกงให้ข้าดื่มได้เต็มที่เลย จุ๊บๆ”

 

 

กงอิ้นขยับเขยื้อนเรือนร่างออกห่างจากสตรีไร้ศีลธรรมนางนี้อีกหน่อย

 

 

ช้อนเริ่มหมุนแล้ว แววตาของจิ่งเหิงปัวแพรวพราว ร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นว่า “ชี้กงอิ้น! ชี้กงอิ้น!”

 

 

นางเปลี่ยนความคิดแล้ว มอมเหล้ากงอิ้นน่าจะดีที่สุด นางก็คิดถึงมหาเทพที่ถูกพิษเทียนซือซั่นจนเรือนร่างอ่อนยวบผลักล้มง่ายตอนนั้นมากเลยนะ

 

 

ช้อนหยุดหมุน ด้ามช้อนชี้ไปยังเถี่ยซิงเจ๋อ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มให้จิ่งเหิงปัวอย่างรู้สึกผิด ดื่มถ้วยหนึ่งในอึกเดียว แล้วเอ่ยว่า “กระทำเกินหน้าที่แล้ว เทียนไขกลางสายลม ไหลรินครึ่งแท่ง แบ่งเหลือครึ่งหนึ่ง”

 

 

จิ่งเหิงปัวปรบมือ ร้องว่า “ฮ่าๆ อัศจรรย์นัก ข้าต้องดื่มด้วยสักถ้วยหรือไม่?”

 

 

“ไม่ต้อง!” บุรุษสองคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

 

ครั้งที่สองด้ามช้อนหันไปทางกงอิ้น เขาเม้มปากเบาบางครั้งหนึ่ง เอ่ยตามอารมณ์ว่า “ดอกไม้ในแดนฝัน เด็ดไว้ดอกหนึ่ง ถึงมือสูญเสีย”

 

 

“วรรคนี้ของราชครูท่วงทำนองงามสง่า!” เถี่ยซิงเจ๋อชื่นชม

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับส่ายหน้า ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “สูญเสียได้อย่างไร? เด็ดไว้ดอกหนึ่ง ดอกหนึ่งนั้นย่อมอยู่ในมือเจ้า ขอเพียงเจ้าทะนุถนอมก็พอ”

 

 

กงอิ้นมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ฉะนั้นถึงเอ่ยว่าในความฝัน”

 

 

“ไม่คล้องๆ” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้ายกใหญ่

 

 

ด้ามช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง คราวนี้ยังคงเป็นกงอิ้น เขาดื่มสุราครึ่งถ้วยที่เหลืออยู่ แล้วเอ่ยว่า “กำแพงแกร่งแย่งเมือง คนหนึ่งเข้ามา ครานั้นสิ้นชีพ”

 

 

“วรรคนี้ของราชครูมีกลิ่นอายสังหาร เอ่ยถึงศึกเผ่าหวงจินก่อกบฏครั้งนั้นหรือ?” เถี่ยซิงเจ๋อหรี่ตาขึ้นคล้ายมีสีหน้าใฝ่หา

 

 

“ยามนั้นเผ่าหวงจินใช้พลกล้าตายเปลือยกายชิงนคร ปีนกำแพงเมืองฝ่าฝนธนูของคั่งหลง ทุกครั้งที่ขึ้นมาคนหนึ่งย่อมมีผู้สิ้นชีพคนหนึ่ง ทุกหนึ่งชุ่นที่ขึ้นกำแพงเมืองย่อมสูญเสียปณิธานแห่งเผ่าหนึ่งชุ่น” น้ำเสียงของกงอิ้นเรียบง่าย ทว่าเหล่าองครักษ์ข้างหนึ่งรู้สึกว่ามีกลิ่นอายอำนาจรุนแรงปะทะใบหน้า อดจะนึกถึงช่วงเวลาสวมเกราะควบอาชายามนั้นไม่ได้ ทุกคนกุมอาวุธแน่น หลังมือมีเอ็นเขียวปูดโปน

 

 

มีเพียงมหาราชินีแซ่จิ่งเท่านั้นที่มีปฏิกิริยาเชื่องช้าต่อการรบราฆ่าฟัน นางยังยุ่งอยู่กับการดื่มการกินยกใหญ่

 

 

ด้ามช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง แววตาของจิ่งเหิงปัวแพรวพราว สุดท้ายช้อนก็หยุดลง ยังคงทอดลงทางเถี่ยซิงเจ๋อนั้นพาให้นางผิดหวัง

 

 

“นี่มันอะไรกัน! พวกเจ้าห็เหมากันหมดแล้ว? ขี้โกงๆ!” นางไม่พอใจ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มให้นางอย่างขออภัยครั้งหนึ่ง เร่งรีบดื่มสุราถ้วยนั้นของตนเอง แล้วเอ่ยว่า “หญิงชายไร้วาสนา พบพานหนึ่งครั้ง พลั้งพลาดหนึ่งคู่” เอ่ยจบสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย ฝืนใจยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ขออภัยด้วย มิได้มีเจตนาอื่น เพียงพลันนึกถึงเรื่องหยุมหยิมบางเรื่องของตนเองจริงๆ ฝ่าบาทและราชครูโปรดอย่าได้ถือสา”

 

 

กงอิ้นมองเขาอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยว่า “การหมั้นครั้งก่อนนั้นในยามนั้น ยังไม่ได้แก้ไขหรือ”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า เอ่ยขึ้นว่า “นั่นคือเรื่องราวที่แก้ไขได้ในชั่วครู่ชั่วคราวหรือ? ตัวข้าอยู่ตี้เกอจากไปไม่ได้ เรื่องนี้เลยได้แต่พักไว้ก่อนแล้ว”

 

 

“บางครั้ง ภายภาคหน้า” กงอิ้นยกถ้วยไว้ เอ่ยคล้ายใจลอยและคล้ายไม่ได้ใส่ใจว่า “เจ้าจะมีโอกาสจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อประหวั่นพรั่นพรึง เงยหน้าขึ้นมองเขา ส่วนกงอิ้นเบนสายตาออกไปแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังจนสับสนงุนงง นางชะโงกเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “นี่ๆ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีคู่หมั้นแล้วหรือ? เหตุใดยังมีการหมั้นครั้งก่อนอีกล่ะ การหมั้นนี้ก็ยุ่งยากยิ่งนักหรือ บอกข้าสิข้าจะช่วยเจ้าแก้ไข แม่นางคนนี้ไม่มีความสามารถอื่นใด แต่เรื่องด่าทอสตรีหน้าหนาเหล่านั้นก็มีประสบการณ์เป็นที่สุดแล้ว…”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะฮ่าๆ ยกกำปั้นคารวะนางเสมือนจริงจังกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง เอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องพึ่งพาฝ่าบาทแล้ว ภายภาคหน้าหากฝ่าบาททรงมีโอกาสเสด็จมาถึงเผ่าเฉินเถี่ย โปรดทรงจดจำคำมั่นสัญญาในวันนี้”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเราเป็นใครกัน? เจ้าเป็นสหายสนิทของกงอิ้นก็เท่ากับเป็นสหายสนิทของข้าด้วย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน รับปากโดยไม่กังวล

 

 

กงอิ้นที่ถือถ้วยไว้ในมือ เมื่อได้ยินวาจาครึ่งแรกนิ้วมือก็ชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ฟังวาจาครึ่งหลังหัวคิ้วเชิดขึ้นเล็กน้อย

 

 

แม้แต่เหมิงหู่ที่ยืนอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างกันราวน้ำแข็งกับเพลิงกลุ่มหนึ่งเมื่อครู่

 

 

ช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวไม่ยอมล้มเหลวอีกแล้ว นางตบโต๊ะดังปังๆๆ แล้วร้องว่า “หยุดเลย! หยุดเลย!”

 

 

ช้อนค่อยๆ หยุดลง หมุนกลับไปกลับมาระหว่างนางกับเถี่ยซิงเจ๋ออย่างเชื่องช้า เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้ม มือที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ จมลง ช้อนนั้นสั่นไหวเพียงครั้ง ก่อนสิ้นสุดลงเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวเห็นด้วยอย่างยิ่ง “รู้งาน!” ดื่มสุราที่รินไว้ตั้งนานแล้วในรวดเดียวอย่างร้อนอกร้อนใจ

 

 

ลงไปอึกเดียว ก็รู้สึกเพียงว่าน้ำสุรามีรสสัมผัสอย่างยิ่ง ดั่งหยกก้อนหนึ่งที่ไหลลื่นลงคอหอย ทอดลงบนพวกโลหิตกระเพาะลำไส้ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง จากนั้นก็ดังครืน ลุกโชนโชติช่วงภายในร่างกาย ดูคล้ายลมแรงที่พัดผ่านเซลล์เม็ดเลือดทั่วเรือนร่าง ทั่วทั้งร่างกายร้อนรุ่มแผ่ซ่าน ความร้อนผ่าวสายหนึ่งพุ่งตรงสู่แก้ม

 

 

“สุดยอดไปเลย!” นางเปล่งเสียงออกมากะทันหัน คล้ายกับวิงเวียนเล็กน้อย ค้ำยันขากรรไกรล่างไว้

 

 

แววตาของบุรุษสองคนพลันแข็งทื่อ

 

 

 

 

[1]  ต้นหงเฟิง  หรือเมเปิ้ลแดงญี่ปุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์  Acer palmatum ‘Atropurpureum’

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 79 – 4 ให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่เจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 79 – 4 ให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่เจ้า

คล้ายเพื่อสมดุลสภาพบริสุทธิ์เรียบง่ายเกินไปของจิ้งถิง รอบด้านของจิ้งถิงปลูกต้นหงเฟิง[1]ไว้มากมาย ด้วยเพราะตำหนักอวี้จ้าวมีสภาพอากาศอบอุ่น แม้ยามนี้เป็นต้นฤดูหนาว ทว่าหงเฟิงยังคงสวยสดงดงาม สีแดงเข้มดุจเพลิงลุกโชนบนพื้นผิวศิลาหิมะของจิ้งถิง ไกลออกไปอีกเล็กน้อยก็เป็นเบญจมาศสีเหลืองใบไม้เขียวขจีในอุทยาน แต่งแต้มสีสันอย่างสดใสท่ามกลางสีแดงแพรวพราว

 

 

งานเลี้ยงพระราชทานที่ไม่เป็นทางการครั้งนี้จัดขึ้นใต้ต้นหงเฟิงตามคำแนะนำของเถี่ยซิงเจ๋อ เหล่าราชองครักษ์ปูพรมแพรปักขนาดมหึมา โดยมีทุกคนนั่งขัดสมาธิบนนั้น

 

 

หงเฟิงที่อยู่เหนือศีรษะสั่นไหว มองเห็นท้องฟ้าสีครามทะลุผ่านใบไม้แดงลายพร้อยได้ ดูสูงส่งกว้างไกล เมฆปานเข็มขัดเส้นหนึ่งที่เวียนวนผันผ่านอย่างรวดเร็วบ่อยครั้ง

 

 

แน่นอนว่าอาหารนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ผลิตผลจากท้องถิ่นธรรมดาๆ ไม่กี่อย่างนั้น แต่จิ่งเหิงปัวยังได้สั่งให้ยงเสวี่ยเร่งรีบแสดงฝีมือก่อนหน้านี้แล้ว ตุ๋นซุปผัดผักในห้องครัววังบรรทมของนาง จะต้องส่งอาหารที่ทำให้คนอยากทานที่สุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

ทว่ากงอิ้นยังคงไม่ค่อยทานเท่าไรนัก

 

 

เขาถือผลส้มสีแดงก่ำดุจเพลิงลูกหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ปอกกลางหว่างนิ้ว ลอกเยื่อสีขาวบนกลีบส้มทีละเส้นออกอย่างละเอียด จิ่งเหิงปัวคีบอาหารชิ้นหนึ่งไว้ แล้วแอบมองซ้ายขวาแวบหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าเนื้อผลสีแดงส้มนั้นเวียนวนระหว่างนิ้วมือฝ่ามือขาวราวหิมะของเขาเป็นความงดงามที่อธิบายไม่ได้

 

 

จู่ๆ มือขาวราวหิมะคู่นั้นกลับยื่นมาตรงหน้านาง เนื้อผลในฝ่ามือดูงดงามประณีต

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้าลงอย่างงงงัน ความหอมหวานของผลส้มซึมซาบเข้าไปในหัวใจ…ที่มหาเทพยุ่งวุ่นวายอยู่นานนี่ เขาก็ปอกให้นางหรือ?

 

 

กงอิ้นกลับคล้ายรำคาญแล้ว เขามือยื่นไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

 

ราชองครักษ์ต่างยืนอยู่ไกลๆ ส่วนเถี่ยซิงเจ๋อพลันคล้ายมีความรักกับเป็ดห่อแพรเบื้องหน้า ก้มหน้าลงตั้งใจจ้องมอง

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วยิ้มแย้มขึ้นมา

 

 

นางแบ่งผลส้มออกเป็นสองซีก ก่อนจะยัดครึ่งซีกหนึ่งเข้าไปในปากเขาอย่างรวดเร็ว

 

 

มหาเทพที่เคี้ยวผลส้มครึ่งซีกนั้นเบิกตามองท่าทางของนางที่อ่อนหวานละมุนละไมยิ่งนัก ทำให้นางยิ้มอย่างเบิกบานมากยิ่งขึ้น

 

 

กงอิ้นจ้องมองรอยยิ้มสดใสของนาง ในแววตาเปล่งแสงรุ่งโรจน์ออกมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ กลืนผลส้มเข้าไปในปาก รสชาติหวานเย็นชุ่มฉ่ำเต็มปาก เมื่อเข้าปากก็เป็นความหวานอร่อยล้ำเลิศ เมื่อเข้าสู่หัวใจกลับก่อเกิดเป็นความเจ็บปวดหนาวเหน็บออกมา

 

 

สีหน้าของเขาเผือดซีดเล็กน้อย ทว่าก็พลันยิ้มแย้มตรงมุมปากให้จิ่งเหิงปัวที่กำลังมองดูเขาอย่างรอคอย จากนั้นก็หันหน้าหยิบผลส้มลูกหนึ่งยื่นให้เถี่ยซิงเจ๋อ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง เห็นนางกำลังฮึกเหิมที่จะหยิบผลส้มขึ้นมาปอกด้วยตนเองอย่างยินดีปรีดา ดูท่าทางแล้วคงคิดจะปอกคืนไปบ้างเช่นกัน

 

 

“ทานอาหารเงียบๆ ไม่ปริปากเช่นนี้ก็คล้ายจะขาดความสนุกสนานไปหลายส่วน” เถี่ยซิงเจ๋อพลันยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เรามาเล่นพนันดื่มสุรากันเถิด”

 

 

แววตาของกงอิ้นกะพริบวูบ เอ่ยนำหน้าว่า “ได้”

 

 

จิ่งเหิงปัวดีใจยกใหญ่ นางชอบสุรา อีกทั้งยังคอแข็งจนน่าประหลาดใจ หลังจากทะลุมิติก็ไม่ได้มีโอกาสดื่มสุราอะไรนัก เมื่อได้ยินคำแนะนำนี้ดวงตาก็พลันสว่างวูบวาบขึ้นมาแล้ว

 

 

“เหมิงหู่ นำ…สุราน้ำแข็งหลงซานมา” กงอิ้นสั่ง

 

 

เหมิงหู่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนมองกงอิ้นปราดหนึ่ง จากนั้นก็โค้งคำนับถอยไปตระเตรียม

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “วันนี้ได้อาศัยพระบารมีของฝ่าบาท เป็นลาภปากโดยแท้!”

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง สุราที่กงอิ้นนำออกมา ซ้ำเถี่ยซิงเจ๋อยังมีปฏิกิริยาแบบนี้ แล้วยังจะมีรสชาติแย่ได้อย่างไร?

 

 

เหมิงหู่ส่งสุรามาให้ด้วยตนเอง กาหยกสีเดียวกันสามใบ สุราสีเขียวอ่อนภายในกานั้นมันวาวโปร่งแสงละมุน มองจากที่ห่างไกลๆ ก็ดูดั่งหยกเขียวน้ำงามเลิศล้ำก้อนหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่ากาสุราของกงอิ้นนั้นแตกต่างจากกาสุราของทั้งสองคนอยู่บ้าง นอกผิวกายังมีไอน้ำเกาะอยู่เล็กน้อยคล้ายกับแช่เย็นมาก่อน ทว่าวรยุทธ์ของกงอิ้นเองเป็นสายน้ำแข็งหิมะอยู่แล้ว นางจึงไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน

 

 

นางหยิบกาสุราขึ้นมา พลันรู้สึกไม่พอใจกับขนาดอย่างมาก เอ่ยขึ้นว่า “น้อยเพียงนี้? หนึ่งคนกี่กากัน”

 

 

“ฝ่าบาทตรัสวาจากล้าหาญยิ่งนัก” เถี่ยซิงเจ๋อหรี่ตาลงคล้ายว่าเมามายตั้งแต่ยังไม่เริ่มดื่ม เอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมยังกังวลว่าสุรานี้กระหม่อมจะดื่มไม่หมดด้วยซ้ำ สุรานี้เป็นสุราที่มีชื่อมากที่สุดของต้าฮวง กลั่นในบึงโคลนสุราเพียงหนึ่งเดียวในต้าฮวง แล้วเก็บไว้ใต้ดินในบึงโคลนน้ำแข็ง แบ่งเป็นกลั่นสิบปี กลั่นยี่สิบปี กลั่นสามสิบปีและกลั่นร้อยปี สามขวดนี้…” เขาดมกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้ม เอ่ยว่า “เกรงว่าจะเป็นหลงซานร้อยปีที่ลือชื่อว่า ‘หยดหนึ่งตำลึงทองเซียนมัวเมา ดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืน’ นั้นแล้ว”

 

 

“หยดหนึ่งตำลึงทองเซียนมัวเมา ดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืน? หมายความว่าอะไรหรือ”

 

 

“หยดหนึ่งตำลึงทองหมายถึงราคา เซียนมัวเมาไม่ต้องเอ่ยก็คงเข้าใจได้ ส่วนดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืนนั้น…” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “พระองค์ทรงดื่มเสร็จก็คงจะรู้แล้ว”

 

 

“เอ่ยวาจากำกวม” จิ่งเหิงปัวพึมพำ แต่ก็ยิ่งมีความสนใจมากขึ้นเช่นกัน นางดึงจุกกาสุราออก ก่อนจะสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง

 

 

ไม่มีกลิ่นเหล้าเข้มข้นมากนัก รู้สึกเพียงว่ากลิ่นบริสุทธิ์หอบหนึ่งดั่งลอยพุ่งออกมากลายเป็นความหนาวเหน็บรำไร ประชิดใกล้สู่ปลายจมูก พริบตาต่อมานั้นนางก็เบิกตาโพลง พลันรู้สึกว่าชาแปลบทั่วผิวบริเวณโดยรอบจมูกประหนึ่งต้องสายฟ้า ที่เบื้องหน้ามีดวงดาวนับไม่ถ้วนกะพริบผ่านในชั่วครู่ ส่องสะท้อนบนท้องฟ้าอย่างยุ่งเหยิง

 

 

“ดวงดาวนิรันดร์ผันผ่านค่ำคืน” เต็มที่เลย!

 

 

นี่มันเหล้าอะไรกันเนี่ย? ทำไมรู้สึกแปลกประหลาดขนาดนี้

 

 

“สุรานี้ยังเลื่องชื่อว่า ‘คลื่นซ้อนสามหน’ อีกด้วย” กงอิ้นเอ่ย

 

 

“นั่นหมายความว่าอะไรอีกเล่า”

 

 

“หมายถึงฤทธิ์เดชของสุรานี้ทำให้คนมึนเมาได้ถึงสามครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นฤทธิ์สุราของมันไม่ใช่ต่อเนื่อง แต่เป็นชั้นหนึ่งซ้อนอีกชั้นหนึ่งประหนึ่งกระแสคลื่น ชั้นหนึ่งผ่านไปแล้วอาจจะได้สติระยะหนึ่ง พอฤทธิ์เดชอีกคลื่นพุ่งขึ้นมาจะรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดสามครั้ง” เถี่ยซิงเจ๋ออธิบายต่อว่า “ทว่าแม้สุรานี้จะเข้มข้น แต่ตัวมันเองคือสุราบำรุงกำลังที่ได้มาอย่างยากยิ่ง เป็นสุราศักดิ์สิทธิ์ในหมู่สุราที่มีสรรพคุณในการยืดอายุต่อชีวิตอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสุราร้อยปี…กระหม่อมแทบจะไม่เคยได้ยินว่ามีสุราร้อยปีดำรงอยู่จริง”

 

 

“เพิ่งครบร้อยปี” กงอิ้นเอ่ย

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งคล้ายเข้าใจขึ้นมา ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนี้ กระหม่อมนับว่าอาศัยพระบารมีของฝ่าบาทแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกสุรานี้ดึงดูดโดยสิ้นเชิง นางอดจะพลิกไปพลิกมาเพื่อพินิจให้ละเอียดไม่ได้ กงอิ้นที่อยู่ทางนั้นมองนางปราดหนึ่ง ในขณะที่ตนเองรินไปครึ่งถ้วย

 

 

“เล่นพนันกันเถิด” เขาเอ่ย

 

 

“ควรเป็นเช่นนั้น” เถี่ยซิงเจ๋อย่อมเห็นด้วย

 

 

จิ่งเหิงปัวก็สนับสนุนอารมณ์สนุกสนานที่กงอิ้นยากจะมีอย่างยิ่งเช่นกัน นางกล่าวว่า “ดีเลยๆ แต่อย่าได้เล่นพวกทรงความรู้เกินไปนะ ข้ากลัวว่าความรู้ความสามารถของข้าจะเลิศล้ำเลิศเกินไป พาให้พวกเจ้าตกใจจนสิ้นชีพ”

 

 

กงอิ้นไม่ได้โค่นล้มนางอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาเพียงเอ่ยว่า “ทุกคนเอ่ยถึงของสิ่งหนึ่ง จากนั้นเอ่ยรับสองประโยค ขอให้สองประโยคคล้องจองทว่าต่างความหมาย”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อพยักหน้าติดๆ กัน แล้วเอ่ยว่า “การละเล่นนี้คือหนึ่งของเอ่ยสองวรรค ทั้งชัดเจนและเข้าใจง่าย ทั้งยังทดสอบความว่องไว ดียิ่งนัก”

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังเข้าใจอยู่บ้าง นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถามว่า “กำหนดอย่างไรว่าผู้ใดจะเป็นเอ่ย?”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองดูโต๊ะอาหาร แล้วหยิบช้อนกระเบื้องมาวางไว้กลางจาน นิ้วมือเขี่ยให้หมุน เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากช้อนกระเบื้องหยุดลง หากด้ามช้อนชี้ไปทางผู้ใด ผู้นั้นดื่ม”

 

 

“ดีเลยๆ ยุติธรรม แต่พวกเจ้าสองคนก็เก่งวรยุทธ์ ห้ามโกงเชียวนะ” จิ่งเหิงปัวมองดูกงอิ้นด้วยท่าทางยิ้มตาหยี ใช้ริมฝีปากกระซิบว่า “หากเจ้าไม่กลัวข้ากระทำการมั่วซั่วหลังดื่มสุรา ก็โกงให้ข้าดื่มได้เต็มที่เลย จุ๊บๆ”

 

 

กงอิ้นขยับเขยื้อนเรือนร่างออกห่างจากสตรีไร้ศีลธรรมนางนี้อีกหน่อย

 

 

ช้อนเริ่มหมุนแล้ว แววตาของจิ่งเหิงปัวแพรวพราว ร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นว่า “ชี้กงอิ้น! ชี้กงอิ้น!”

 

 

นางเปลี่ยนความคิดแล้ว มอมเหล้ากงอิ้นน่าจะดีที่สุด นางก็คิดถึงมหาเทพที่ถูกพิษเทียนซือซั่นจนเรือนร่างอ่อนยวบผลักล้มง่ายตอนนั้นมากเลยนะ

 

 

ช้อนหยุดหมุน ด้ามช้อนชี้ไปยังเถี่ยซิงเจ๋อ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มให้จิ่งเหิงปัวอย่างรู้สึกผิด ดื่มถ้วยหนึ่งในอึกเดียว แล้วเอ่ยว่า “กระทำเกินหน้าที่แล้ว เทียนไขกลางสายลม ไหลรินครึ่งแท่ง แบ่งเหลือครึ่งหนึ่ง”

 

 

จิ่งเหิงปัวปรบมือ ร้องว่า “ฮ่าๆ อัศจรรย์นัก ข้าต้องดื่มด้วยสักถ้วยหรือไม่?”

 

 

“ไม่ต้อง!” บุรุษสองคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

 

ครั้งที่สองด้ามช้อนหันไปทางกงอิ้น เขาเม้มปากเบาบางครั้งหนึ่ง เอ่ยตามอารมณ์ว่า “ดอกไม้ในแดนฝัน เด็ดไว้ดอกหนึ่ง ถึงมือสูญเสีย”

 

 

“วรรคนี้ของราชครูท่วงทำนองงามสง่า!” เถี่ยซิงเจ๋อชื่นชม

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับส่ายหน้า ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “สูญเสียได้อย่างไร? เด็ดไว้ดอกหนึ่ง ดอกหนึ่งนั้นย่อมอยู่ในมือเจ้า ขอเพียงเจ้าทะนุถนอมก็พอ”

 

 

กงอิ้นมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ฉะนั้นถึงเอ่ยว่าในความฝัน”

 

 

“ไม่คล้องๆ” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้ายกใหญ่

 

 

ด้ามช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง คราวนี้ยังคงเป็นกงอิ้น เขาดื่มสุราครึ่งถ้วยที่เหลืออยู่ แล้วเอ่ยว่า “กำแพงแกร่งแย่งเมือง คนหนึ่งเข้ามา ครานั้นสิ้นชีพ”

 

 

“วรรคนี้ของราชครูมีกลิ่นอายสังหาร เอ่ยถึงศึกเผ่าหวงจินก่อกบฏครั้งนั้นหรือ?” เถี่ยซิงเจ๋อหรี่ตาขึ้นคล้ายมีสีหน้าใฝ่หา

 

 

“ยามนั้นเผ่าหวงจินใช้พลกล้าตายเปลือยกายชิงนคร ปีนกำแพงเมืองฝ่าฝนธนูของคั่งหลง ทุกครั้งที่ขึ้นมาคนหนึ่งย่อมมีผู้สิ้นชีพคนหนึ่ง ทุกหนึ่งชุ่นที่ขึ้นกำแพงเมืองย่อมสูญเสียปณิธานแห่งเผ่าหนึ่งชุ่น” น้ำเสียงของกงอิ้นเรียบง่าย ทว่าเหล่าองครักษ์ข้างหนึ่งรู้สึกว่ามีกลิ่นอายอำนาจรุนแรงปะทะใบหน้า อดจะนึกถึงช่วงเวลาสวมเกราะควบอาชายามนั้นไม่ได้ ทุกคนกุมอาวุธแน่น หลังมือมีเอ็นเขียวปูดโปน

 

 

มีเพียงมหาราชินีแซ่จิ่งเท่านั้นที่มีปฏิกิริยาเชื่องช้าต่อการรบราฆ่าฟัน นางยังยุ่งอยู่กับการดื่มการกินยกใหญ่

 

 

ด้ามช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง แววตาของจิ่งเหิงปัวแพรวพราว สุดท้ายช้อนก็หยุดลง ยังคงทอดลงทางเถี่ยซิงเจ๋อนั้นพาให้นางผิดหวัง

 

 

“นี่มันอะไรกัน! พวกเจ้าห็เหมากันหมดแล้ว? ขี้โกงๆ!” นางไม่พอใจ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มให้นางอย่างขออภัยครั้งหนึ่ง เร่งรีบดื่มสุราถ้วยนั้นของตนเอง แล้วเอ่ยว่า “หญิงชายไร้วาสนา พบพานหนึ่งครั้ง พลั้งพลาดหนึ่งคู่” เอ่ยจบสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย ฝืนใจยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ขออภัยด้วย มิได้มีเจตนาอื่น เพียงพลันนึกถึงเรื่องหยุมหยิมบางเรื่องของตนเองจริงๆ ฝ่าบาทและราชครูโปรดอย่าได้ถือสา”

 

 

กงอิ้นมองเขาอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยว่า “การหมั้นครั้งก่อนนั้นในยามนั้น ยังไม่ได้แก้ไขหรือ”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า เอ่ยขึ้นว่า “นั่นคือเรื่องราวที่แก้ไขได้ในชั่วครู่ชั่วคราวหรือ? ตัวข้าอยู่ตี้เกอจากไปไม่ได้ เรื่องนี้เลยได้แต่พักไว้ก่อนแล้ว”

 

 

“บางครั้ง ภายภาคหน้า” กงอิ้นยกถ้วยไว้ เอ่ยคล้ายใจลอยและคล้ายไม่ได้ใส่ใจว่า “เจ้าจะมีโอกาสจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อประหวั่นพรั่นพรึง เงยหน้าขึ้นมองเขา ส่วนกงอิ้นเบนสายตาออกไปแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังจนสับสนงุนงง นางชะโงกเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “นี่ๆ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีคู่หมั้นแล้วหรือ? เหตุใดยังมีการหมั้นครั้งก่อนอีกล่ะ การหมั้นนี้ก็ยุ่งยากยิ่งนักหรือ บอกข้าสิข้าจะช่วยเจ้าแก้ไข แม่นางคนนี้ไม่มีความสามารถอื่นใด แต่เรื่องด่าทอสตรีหน้าหนาเหล่านั้นก็มีประสบการณ์เป็นที่สุดแล้ว…”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะฮ่าๆ ยกกำปั้นคารวะนางเสมือนจริงจังกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง เอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องพึ่งพาฝ่าบาทแล้ว ภายภาคหน้าหากฝ่าบาททรงมีโอกาสเสด็จมาถึงเผ่าเฉินเถี่ย โปรดทรงจดจำคำมั่นสัญญาในวันนี้”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเราเป็นใครกัน? เจ้าเป็นสหายสนิทของกงอิ้นก็เท่ากับเป็นสหายสนิทของข้าด้วย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน รับปากโดยไม่กังวล

 

 

กงอิ้นที่ถือถ้วยไว้ในมือ เมื่อได้ยินวาจาครึ่งแรกนิ้วมือก็ชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ฟังวาจาครึ่งหลังหัวคิ้วเชิดขึ้นเล็กน้อย

 

 

แม้แต่เหมิงหู่ที่ยืนอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างกันราวน้ำแข็งกับเพลิงกลุ่มหนึ่งเมื่อครู่

 

 

ช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวไม่ยอมล้มเหลวอีกแล้ว นางตบโต๊ะดังปังๆๆ แล้วร้องว่า “หยุดเลย! หยุดเลย!”

 

 

ช้อนค่อยๆ หยุดลง หมุนกลับไปกลับมาระหว่างนางกับเถี่ยซิงเจ๋ออย่างเชื่องช้า เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้ม มือที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ จมลง ช้อนนั้นสั่นไหวเพียงครั้ง ก่อนสิ้นสุดลงเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวเห็นด้วยอย่างยิ่ง “รู้งาน!” ดื่มสุราที่รินไว้ตั้งนานแล้วในรวดเดียวอย่างร้อนอกร้อนใจ

 

 

ลงไปอึกเดียว ก็รู้สึกเพียงว่าน้ำสุรามีรสสัมผัสอย่างยิ่ง ดั่งหยกก้อนหนึ่งที่ไหลลื่นลงคอหอย ทอดลงบนพวกโลหิตกระเพาะลำไส้ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง จากนั้นก็ดังครืน ลุกโชนโชติช่วงภายในร่างกาย ดูคล้ายลมแรงที่พัดผ่านเซลล์เม็ดเลือดทั่วเรือนร่าง ทั่วทั้งร่างกายร้อนรุ่มแผ่ซ่าน ความร้อนผ่าวสายหนึ่งพุ่งตรงสู่แก้ม

 

 

“สุดยอดไปเลย!” นางเปล่งเสียงออกมากะทันหัน คล้ายกับวิงเวียนเล็กน้อย ค้ำยันขากรรไกรล่างไว้

 

 

แววตาของบุรุษสองคนพลันแข็งทื่อ

 

 

 

 

[1]  ต้นหงเฟิง  หรือเมเปิ้ลแดงญี่ปุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์  Acer palmatum ‘Atropurpureum’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset