ถ้วยหนึ่งลงท้อง ผิวกายของจิ่งเหิงปัวที่เดิมทีประหนึ่งหยกขาวพลันย้อมด้วยสีแดงก่ำราวร่ำสุรา สีที่แดงเพียงนั้นไม่ใช่สีสันที่ชาดแดงใดจะเทียบเคียงได้ กล่อมกลืนจากข้างจอนผมสีเข้มของนางอย่างเงียบเชียบ ดูดั่งแสงอรุโณทัยที่โผล่พ้นสุดขอบผืนนภาขาวโพลนยามรุ่งอรุณอย่างเงียบงัน งามตะลึงทั่วสายตาของผู้คนในชั่วพริบตานั้น ส่วนนัยน์ตาของนางพลันท่วมท้นด้วยแสงธารชั้นหนึ่ง ชุ่มชื้นเปล่งประกาย ทรงเสน่ห์งดงามยามมองเห็น มองเพียงปราดเดียวก็พาให้จิตใจรางเลือน ดั่งถูกความหยาดเยิ้มระยิบระยับท่วมท้น
กงอิ้นขมวดหัวคิ้วในทันที สายตาล่องลอยไปทางเถี่ยซิงเจ๋อโดยจิตใต้สำนึก
เถี่ยซิงเจ๋อลืมตัวจนเสียกิริยาในปราดเดียว ก่อนจะพลันตระหนักได้ รีบยิ้มแย้มออกมาแล้วหันกายยืนขึ้น ยื่นกาสุราให้เหมิงหู่ เอ่ยว่า “สุรานี้เข้มข้นเกินไป รบกวนท่านสมุหราชองครักษ์เปลี่ยนเป็นสุราธรรมดาสักหน่อย”
เหมิงหู่ยิ้มแย้มรับกาสุรา ไม่ถือสาที่เถี่ยซิงเจ๋อเรียกใช้เขาเลยแม้แต่น้อย…ยามนี้เขารู้สึกเพียงซาบซึ้งใจ เถี่ยซื่อจื่อยังคงรู้เรื่องรู้ราว รู้ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องต้องห้าม ขอเพียงเขายอมไม่มองราชินี แม้ต้องให้ตนเองวิ่งเป็นสิบรอบก็ยังเต็มใจ
กงอิ้นเบนสายตากลับมา จับมือของจิ่งเหิงปัวไว้อย่างแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “ดื่มไม่ได้ก็ไม่ต้องดื่ม”
จิ่งเหิงปัวเพียงแต่ไม่คุ้นเคยกับความเข้มข้นของสุรานั้น นางรู้สึกวิงเวียนอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติ ยามนี้บนใบหน้าแวววาวพราวแพรว หงายมือกุมมือของเขาไว้ในครั้งเดียว ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ไม่! สดชื่นนัก! เอาอีก!”
กงอิ้นหลุบตาลง มองดูมือของตนเอง แล้วมองดูสายตาตื่นเต้นดีใจเปล่งประกายของนาง ครุ่นคิดว่าแท้จริงแล้วนางรู้หรือไม่ว่าสองคำสุดท้ายพาให้คนเข้าใจผิดยิ่งนัก?
“พนัน จริงสิ ยังมีพนันที่ข้ายังไม่ได้เอ่ย” จิ่งเหิงปัวทัดจอนผมแล้วยิ้มแย้ม สองมือไพล่หลังเดินเตร่ไปไม่กี่ก้าว กระแอมไอในลำคอแล้วกล่าวว่า “ฟังให้ดีล่ะ ต้องยอดเยี่ยมเป็นแน่…กงอิ้นแย่งน้ำแกง ดื่มครั้งหนึ่ง เหลือครึ่งถ้วย”
“พรวด” เถี่ยซิงเจ๋อพ่นสุราครึ่งอึกออกมา
“แค่กๆ…” กงอิ้นสำลักสุราอึกหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวลำพองใจ กล่าวว่า “เป็นอย่างไร? อัศจรรย์หรือไม่”
“อัศจรรย์ยิ่งนัก” เถี่ยซิงเจ๋อปรบมือหัวเราะลั่น สีหน้าของกงอิ้นนั้นคล้ายยังมีท่าทางแย่งน้ำแกงตรงประตูข้างวันนั้นอย่างเลือนราง จิ่งเหิงปัวกังวลอย่างยิ่งว่าเขาจะโมโหแล้วดื่มสุราหนึ่งกาเบื้องหน้าจนหมดภายในรวดเดียวหรือไม่
เหมิงหู่ที่ยืนอยู่ไกลออกไปอดที่จะยิ้มแย้มไม่ได้ เบนสายตาออกไปไม่ไหว
หงเฟิงแดงชอุ่ม พรมขาวดุจหิมะ ใต้ร่มใบไม้ยามสารทสีสันสดใสผืนหนึ่งคือหญิงชายอ่อนวัยที่งดงามและเฉลียวฉลาดที่สุดบนโลกมนุษย์ พวกเขามีจิตใจดุจกระเบื้องเคลือบ ดวงพักตร์ดั่งมวลผกายามวสันต์ ผืนอกมีพลังอำนาจ ภาษาซ่อนเร้นความงดงาม ซ้ำยังมีจิตใจและความอบอุ่นที่เชื่อมโยงระหว่างกัน กลางนัยน์ตาสะท้อนใบหน้ายิ้มแย้มของกันและกัน แขนเสื้อที่รินสุราสะบัดผ่านลมสารทสีทองที่อ่อนโยนที่สุดในปีนี้อย่างเชื่องช้า
วันเวลางดงามในครู่นี้ แทบอยากจะหยุดยั้งชั่วครู่ให้กลายเป็นชั่วนิรันดร์
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าหากเล่นเกมนี้ต่อไป นางคงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แก้วตาจึงกลอกเพียงครั้ง แล้วเสนอว่า “การละเล่นนี้ไม่สนุกเลย พวกเรามาเล่นจริงหรือกล้า [1] กันดีกว่า!”
“อะไรคือจริงหรือกล้า?” เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายมึนเมาขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน เข็มขัดกระจัดกระจาย มือที่ถือถ้วยนั้นวางอยู่บนหัวเข่าอย่างเกียจคร้าน ภายในอุปนิสัยเรียบร้อยเคร่งขรึมกลับมีท่าทางปล่อยตนผ่อนคลายเพิ่มเข้ามาหลายส่วน ทว่าไม่ได้แลดูไร้มารยาท
“หากช้อนชี้ไปที่ผู้ใด ผู้นั้นดื่มถ้วยหนึ่ง แล้วตนเองจะสามารถเลือกได้ว่าจะเอ่ยความจริงหรือรับคำท้า หากเลือกเอ่ยความจริง เช่นนั้นก็จำต้องตอบคำถามของผู้อื่น และต้องตอบตามความจริง แต่ถ้าหากเลือกรับคำท้า เช่นนั้นก็ต้องกระทำเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามเรียกร้องให้ได้”
“ฟังดูแล้วน่าสนุกยิ่งนัก” เถี่ยซิงเจ๋อยกถ้วยแล้วยิ้มแย้ม
กงอิ้นเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีดำขลับแวววาวดุจศิลานิลภายใต้สายน้ำ เอ่ยสั้นๆ ว่า “ตกลง”
คราวนี้ช้อนชี้ไปทางเถี่ยซิงเจ๋อ
เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน แล้วเอ่ยว่า “เอ่ยความจริงดีกว่า กระหม่อมก็ไม่มีเรื่องราวใดที่บอกแก่ผู้อื่นไม่ได้”
จิ่งเหิงปัวเหลือบมองเขา อยากจะถามสักหน่อยว่าคู่หมั้นเขาคือใคร เกิดอะไรขึ้นกับการหมั้นครั้งก่อน แต่นางก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าหากถามแบบนี้กลัวว่ามหาเทพจะไม่สนุกไปด้วยอีก ภายหลังนางค่อยๆ แอบถามก็ได้
ความสนใจของนางก็อยู่ที่กงอิ้น ไม่ได้อยู่ที่เถี่ยซิงเจ๋อ เพราะอย่างนั้นถามออกไปเรื่อยเปื่อยก็พอแล้ว
“เรื่องที่ยากจะลืมที่สุดในชีวิตของเจ้าคือเรื่องใด” นางใช้ฝ่ามือเท้าคาง ยิ้มแย้มถามเขา
มือที่หมุนถ้วยสุราของเถี่ยซิงเจ๋อชะงักงัน ครู่หนึ่งนี้มีเพียงน้ำสุราจดจำสีหน้าของเขาไว้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “มีอยู่ปีหนึ่งมองควันไฟในพระราชวัง โชติช่วงยิ่งใหญ่ไม่เคยลืมเลือน”
“เพียงแค่ควันไฟก็ต้องขนาดนี้เชียวหรือ?” จิ่งเหิงปัวเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่อยากทำที่สุดคือเรื่องใด”
“ให้มารดาของกระหม่อมได้ใช้ชีวิตอย่างที่นางหวังไว้” เถี่ยซิงเจ๋อตอบอย่างจริงจัง
จิ่งเหิงปัวคิดว่าแม่ของเขาก็ไม่ใช่พระชายาของเผ่าเฉินเถี่ยเหรอ? อย่างน้อยที่สุดคงเป็นฮูหยิน ทำไมถึงได้พูดราวกับว่าสภาพความเป็นอยู่ไม่ดีอย่างนั้นล่ะ
ทว่ากงอิ้นพยักหน้า ชนถ้วยกับเขาอย่างเงียบงัน คล้ายรู้อะไรบางอย่าง
จิ่งเหิงปัวเกลียดสถานการณ์ที่พวกผู้ชายแค่มองตาก็เข้าใจ ส่วนนางไม่รู้อะไรสักอย่างแบบนี้ที่สุดเลย! แม้รู้สึกว่าอยากจะให้พวกเขาเป็นเกย์ แต่ถ้าหนึ่งในนั้นเป็นแฟนหนุ่มของนาง อย่างนั้นก็คงแย่แล้ว!
“คนที่เกลียดที่สุดคือผู้ใด” นางรีบถามอีกคำถามหนึ่งในทันที
“ไกลสุดขอบฟ้าใกล้อยู่แค่เอื้อม” เถี่ยซิงเจ๋อหมุนถ้วยสุรา เอ่ยเชื่องช้า
จิ่งเหิงปัวชะงักงัน
เถี่ยซิงเจ๋อเงยหน้ามองกงอิ้นแล้วยิ้มแย้ม พลางเอ่ยว่า “ตอนที่กระหม่อมพบเจอเขาเมื่อยามสี่ขวบ กระหม่อมก็โชคร้ายจนบัดนี้ พบกันครั้งแรกเขาก็ทำกระหม่อมตกน้ำ พบกันครั้งที่สองกระหม่อมก็ตกหน้าผาด้วยกันกับเขา หลังจากนั้นก็มีแต่อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ มากมายนับไม่ถ้วน ยากนักกว่าจะสลัดเขากลับสู่นครหลวงได้ ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีกระหม่อมต้องรับบัญชาพำนักอยู่ที่ตี้เกอในฐานะองค์ประกันก็เพราะเขา กระหม่อมพบเขาน่ะ…” เขาหัวเราะ ชูถ้วยดื่มหมดให้รวดเดียว เอ่ยว่า “นับว่าเป็นโชคร้ายครั้งใหญ่เชียวล่ะ”
กงอิ้นเชิดสายตามองดูเขา น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างหาได้ยาก เอ่ยขึ้นว่า “แท้จริงแล้วเจ้าไม่ต้องมาตี้เกอในฐานะองค์ประกันย่อมได้ เอ่ยตามจริงแล้วไม่ควรเป็นเจ้า”
“ถึงอย่างไรก็ย่อมต้องมีคนมา” เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะเรื่อยเปื่อย
“หากไม่ใช่เพราะเจ้ารับบัญชาด้วยตนเองเสียก่อน แผนองค์ประกันของข้าคงไม่สำเร็จอย่างง่ายดายขนาดนั้น” กงอิ้นรินสุราถ้วยหนึ่งให้เขา หันไปทางเขาแล้วเอ่ยว่า “ขอบใจ!”
“สุราถ้วยนี้ข้าดื่มไหว!” เถี่ยซิงเจ๋อไม่ได้ถ่อมตัว ถ้วยสุราของสองคนกระทบกันเพียงครั้ง ต่างคนต่างดื่มจนสิ้น
จิ่งเหิงปัวทำเสียงจิ๊จ๊ะทั้งอิจฉาทั้งริษยา…มิตรภาพที่ผ่านการทดสอบระหว่างผู้ชายน่ะ บางครั้งก็ทำให้ใจคนเกิดความฮึกเหิมอย่างจริงแท้
“ยังมีอีกคำถาม…” นางแทรกขึ้นอย่างแข็งขัน
“เอ่ยความจริงก็คือถามไม่จบไม่สิ้นต่อไปเช่นนี้หรือ?” กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “เหตุใดข้ารู้สึกว่าน่าจะมีเพียงคำถามเดียว? ไม่อย่างนั้นผู้ที่เลือกเอ่ยความจริงจะไม่เสียเปรียบหรอกหรือ”
จิ่งเหิงปัวร้อง “เอ่อ” ออกมาเสียงหนึ่ง ตามความจริงแล้วก็ถามได้แค่คำถามเดียว เพียงแต่นางมั่นใจว่าคนโบราณคงไม่รู้กฎเกณฑ์เท่านั้นเอง ใครจะรู้ว่าเจ้ากงอิ้นคนนี้ก็ร้ายกาจเหลือเกิน แม้แต่เรื่องนี้ยังคาดเดาได้
นางได้แต่ปล่อยเถี่ยซิงเจ๋อไปอย่างเสียดาย
ช้อนเริ่มหมุนอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวกะพริบตาให้เถี่ยซิงเจ๋อ
เถี่ยซิงเจ๋อเป็นคนอัศจรรย์ที่รู้เรื่องรู้ราวดังคาดการณ์ พลันเปี่ยมด้วยจิตใจที่เข้าใจคำชี้แนะขององค์ราชินีอย่างกระจ่างแจ้ง นิ้วมือก็กดลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง
มองดูด้ามช้อนหันไปทิศทางของกงอิ้น
จิ่งเหิงปัวขยี้ไม้ขยี้มือ รอคอยอย่างตื่นเต้นดีใจ
กงอิ้นชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง มือทอดลงบนกาสุราอย่างแผ่วเบา
ด้ามช้อนที่ค่อยๆ เริ่มหยุดลงแล้วพลันเริ่มขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวตะลึงลาน คว้าแขนของเขาไว้ร้องลั่นว่า “ไม่ได้ ขี้โกง! เจ้าขี้โกง!”
“หนามยอกเอาหนามบ่ง” กงอิ้นไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดมากระทบ
“เจ้าอย่ามาทางข้านะ! เจ้าอย่ามาทางข้า!” จิ่งเหิงปัวมองดูด้ามช้อนที่ยิ่งหมุนอย่างรวดเร็ว ชี้ไปมั่วซั่วอย่างบ้าคลั่ง เขย่าเขาอย่างบ้าระห่ำ
มุมปากของกงอิ้นกระหวัดเล็กน้อย กายท่อนบนตรงแน่ว ไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว เถี่ยซิงเจ๋อไม่เอ่ยวาจา มองดูด้วยท่าทางยิ้มแย้ม
ช้อนหมุนอย่างรุนแรงดุเดือดระลอกหนึ่ง หลังจากที่จิ่งเหิงปัวคิดว่าช้อนคงต้องชี้ไปยังเถี่ยซิงเจ๋อหรือนางนั้น มันก็หยุดชะงักลงในทันที หยุดลงอย่างไร้ลางบอกเหตุโดยสิ้นเชิง
ช้อนนั้นชี้ไปยังกงอิ้นอย่างพอดิบพอดี
จิ่งเหิงปัวที่กำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวาบหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง
เหล่าบุรุษต่างผุดเผยรอยยิ้มเบาบาง
ที่กล่าวกันว่ารักใคร่ตามใจ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
[1] จริงหรือกล้า (truth or dare) เป็นเกมที่นิยมเล่นกันในวงสังสรรค์ โดยที่จะให้ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะเล่าความจริง หรือทำตามสิ่งที่ผู้เล่นคนอื่นเสนอให้ทำ