เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 83 – 1 เจ้าคงรักเขามากเหลือเกิน

เบื้องหน้าของจิ่งเหิงปัวไร้ผู้ใดในทันที

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อที่อยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งพลันพุ่งเข้ามา

 

 

อวี่ชุนตื่นตระหนก หวังพุ่งเข้ามาสุดชีวิต

 

 

ซย่าจื่อหรุ่ยเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าของจิ่งเหิงปัวอย่างเงียบเชียบ

 

 

เครื่องประดับผมผลึกแก้วหลังศีรษะของนางเปล่งประกายระยิบระยับ ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อน จิ่งเหิงปัวก็ได้มอบเครื่องประดับผมชิ้นนี้ให้แก่นาง

 

 

จิ่งเหิงปัวปลดเครื่องประดับผมของนางลงมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะโยนมันไปข้างหน้า

 

 

“ดูสินี่คือสิ่งใด!” นางกล่าวด้วยเสียงแหลมสูง

 

 

ผลึกแก้วเปล่งแสงรุ่งโรจน์ภายใต้แสงอาทิตย์ เสียดแทงสายตาผู้คนจนแม้แต่อวี่ชุนยังต้องหลับตาลง

 

 

เรือนร่างของเฟยเทียนเย่าจื่อที่พุ่งเข้ามาอย่างดุร้ายหยุดชะงักลง พอเงยหน้าแววตาคล้ายกับถูกเครื่องประดับผมผลึกแก้วสาดส่องสว่างไสว เขาพลันยกมือขึ้นรับเครื่องประดับผมไว้ มองเพียงปราดเดียวแล้วกุมไว้ในฝ่ามืออย่างแน่นหนา

 

 

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น มองดูจิ่งเหิงปัวอย่างตื่นตระหนกตกใจไม่สิ้นสุด

 

 

“ข้ามอบให้เจ้า” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าคงชอบมัน”

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อมองดูเครื่องประดับผมในฝ่ามืออย่างมึนงง จากนั้นก็มองดูจิ่งเหิงปัว ไอสังหารในแววตาสูญสลายหายไปกลายเป็นความสับสนเลือนราง ทว่าร่างกายกลับสั่นเทิ้มมากยิ่งขึ้น ฟองขาวบนมุมปากมากยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าชักเกร็งอย่างไม่หยุด ยิ่งทำให้หน้าตาแลดูดุร้าย

 

 

“โรคลมชัก!” มีคนตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาโดยพลัน ทุกคนต่างตกตะลึง ร่นถอยปานกระแสธาร

 

 

พลั่ก!  เฟยเทียนเย่าจื่อล้มหัวทิ่มอยู่บนพื้น ทั้งแขนทั้งขากระตุกเกร็ง

 

 

ทุกคนต่างก้าวถอย มีเพียงจิ่งเหิงปัวที่ก้าวขึ้นหน้าไป นั่งยองๆ ตรวจดูอาการของเขา

 

 

“ระวัง!” เถี่ยซิงเจ๋อกับอวี่ชุนก้าวขึ้นมาขวางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเตะเจ้าคนนั้นตามใจชอบ กล่าวว่า “ลากออกไป เชิญหมอมาดูอาการ”

 

 

“ฝ่าบาท!” อวี่ชุนกับจื่อหรุ่ยตะโกนด้วยเสียงแผ่วเบา สีหน้าไม่เห็นด้วย

 

 

คนผู้นี้อันตรายเกินไป ผิดปกติเกินไป

 

 

จิ่งเหิงปัวโบกมือ นางก็มีวิธีการของนาง

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อถูกลากเข้าไปเฉกเช่นสุนัขที่ตายแล้ว มือของเขายังคงคว้าเครื่องประดับผมผลึกแก้วนั้นไว้อย่างแน่นหนาแม้ว่าจะสลบไสล

 

 

เหตุการณ์วุ่นวายนี้ก็ได้สงบลงแล้ว ที่ปากประตูมีคนเข้าแถวยาวเหยียดจนไม่อาจยาวเหยียดได้มากกว่านี้ ยงเสวี่ยหอบประทัดออกมาเตรียมจะจุดไฟ ประเดี๋ยวจะได้ฤกษ์เปิดกิจการแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูฝูงชนแล้วก้าวเดินเข้าไปในลานบ้าน ภายในได้ผ่านการตกแต่งปรับปรุงอีกครั้ง ดำรงไว้ซึ่งบรรยากาศอึมครึม ซ้ำยังเพิ่มของตกแต่งสว่างไสวเข้าไปบางส่วน บรรยากาศก่อนหน้านี้ที่อึมครึมอยู่บ้างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พอมองเข้าไปปราดเดียว ป่าไผ่เขียวขจีเงาเขียวชอุ่มลึกล้ำ ทั้งร่มรื่นทั้งร่มเย็น

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยชมไม่ขาดปาก จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มฟังเขาอยู่เช่นนั้นแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงใช่หรือไม่ว่าข้าจะมีกิจการที่มีรสนิยมขนาดนี้?” นางมองดูสีหน้าของเถี่ยซิงเจ๋อแล้วกล่าวขึ้นอีก “เมื่อครู่เจ้าบาดเจ็บหรือ?”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเช็ดโลหิตตรงมุมปากเล็กน้อยอย่างส่งๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”

 

 

“จื่อหรุ่ย” จิ่งเหิงปัวกลอกตาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เถี่ยซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องข้า ในฐานะที่เจ้าเป็นขุนนางหญิงข้างกายข้า เจ้าก็ช่วยข้าดูแลเขาให้เต็มที่ด้วย”

 

 

ตรรกะนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง อวี่ชุนที่พาเฟยเทียนเย่าจื่อไปพักผ่อนที่ห้องพักกลับมาก็ได้ยินเข้าพอดี สีหน้าของนางจึงแปลกประหลาด

 

 

จื่อหรุ่ยไหนเลยจะยังไม่เข้าใจ นางใบหน้าแดงซ่านแล้วขานรับเสียงแผ่วเบาว่าเพคะ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง สีหน้าก็เก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“เอาเถิดๆ” จิ่งเหิงปัวรู้ว่าเมื่อไรควรหยุดยั้ง เช่นนั้นจึงยิ้มแย้มปรีดาจูงเขาไว้ กล่าวว่า “ข้ารับปากว่าจะวาดภาพเหมือนให้เจ้าภาพหนึ่ง มาสิ มานั่งทางนี้”

 

 

“เช่นนี้ก็ล้ำค่าเกินไปแล้ว…” เถี่ยซิงเจ๋อบ่ายเบี่ยง

 

 

“หากจะนำไปหาเงิน ก็ไม่สู้มอบให้คนที่ชื่นชอบ” จิ่งเหิงปัวโบกมือ ท่าทางไม่ใส่ใจ

 

 

กระดาษอัดภาพเหลือไม่มากแล้ว นางวางแผนแล้วว่าทุกภาพจะต้องขายในราคาสูงเทียมฟ้า เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งแล้วค่อยวางมือ มากขึ้นมาใบหนึ่งหรือน้อยลงไปใบหนึ่งก็ไม่เป็นไร

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อที่อยู่ข้างกายพลันแข็งทื่อ จื่อหรุ่ยที่อยู่ข้างหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาด้วย จิ่งเหิงปัวชะงักไปครู่หนึ่ง พบว่าสีหน้าของสองคนนี้ผิดปกติ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงได้เข้าใจ

 

 

“อย่าคิดอะไรให้มากมาย ความชื่นชอบของข้าก็หมายถึงว่าเห็นแล้วไม่ขัดหูขัดตา หรือไม่ก็เป็นสหายสนิท” นางเร่งรีบอธิบาย

 

 

เมื่อก่อนนางคงไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นอะไร

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และคล้ายผิดหวังอยู่บ้าง จื่อหรุ่ยก้มหน้าลงอีกครั้ง

 

 

พวกลูกจ้างที่อยู่ภายในห้องถอยออกไปหมดแล้ว จิ่งเหิงปัวให้สัญญาณกับเถี่ยซิงเจ๋อ กล่าวว่า “มาสิ เจ้าเลือกท่าทางเลือกรูปแบบเอง ข้าจะวาดให้เจ้าภาพหนึ่ง”

 

 

สีหน้าของเถี่ยซิงเจ๋อนั้นคล้ายยังคิดบ่ายเบี่ยง จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เอ๊ะ ปกติเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาเป็นที่สุด เหตุใดวันนี้ถึงได้ปฏิเสธขนาดนี้เล่า?”

 

 

“ไม่ใช่เพราะเสียดายเงินของพระองค์หรอกหรือ? พระองค์ทรงใช้ความคิดมากมายเพื่อเปิดร้านวาดภาพเหมือนแห่งนี้ ร้านนี้ย่อมมีบทบาทสำคัญ” เถี่ยซิงเจ๋อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงขานรับ เอ่ยว่า “กระหม่อมนับว่ามีทรัพย์สินอยู่บ้างเล็กน้อย ร้านวาดภาพเหมือนแห่งนี้ของพระองค์เพิ่งเริ่มกิจการ กระหม่อมควรถวายของขวัญแสดงความยินดี พระองค์อย่าได้ทรงบ่ายเบี่ยง”

 

 

“หากเห็นเงินแล้วไม่รับคงเป็นคนโง่แล้วล่ะ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ พลางโบกมือ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเดินไปยังข้างหน้าต่าง ยืนหันหน้าให้นางตามใจชอบ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้วกัน”

 

 

จิ่งเหิงปัวยกกล่องใบหนึ่งขึ้นมา ที่กล่องเปิดช่องไว้ช่องหนึ่ง…นางปรับปรุงโพลารอยด์ใหม่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้รูปแบบประณีตสวยงามเกินไปของของสิ่งนี้พาให้คนซักถาม

 

 

“จริงสิ” นางหามุมไปพลาง กล่าวล้อเล่นขึ้นว่า “ฝีมือการวาดภาพเหมือนนี้ของข้ามีสิ่งมหัศจรรย์ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”

 

 

“อะไรหรือ” เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายกำลังมองนอกหน้าต่าง โพล่งปากถามขึ้น

 

 

“เอ่ยกันว่าคนที่ความประพฤติแย่ วาดออกมาจะพร่ามัวนะ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหันหน้ากลับมา แสงเงาใต้หน้าต่างมัวสลัวพร่าเลือน มองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เอ่ยว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นกระหม่อมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น ยิ่งมีความสนุกสนานเปี่ยมล้น กล่าวว่า “ยังมีอีกนะ มันสะท้อนภายในจิตใจของทุกผู้คนได้ด้วย”

 

 

“คราวนี้ข้าไม่เชื่อแล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะขึ้นมาด้วย ชี้ไปยังมือของนาง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทของกระหม่อม รีบเร่งวาดภาพเถิด หากพระองค์ทรงสั่นเทิ้มเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อวาดออกมาคงจะพร่ามัวจริงๆ แล้ว เช่นนั้นจะนับว่าข้าความประพฤติแย่หรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เร่งรีบกลั้นเสียง แล้วยกโพลารอยด์ขึ้นกำลังจะกดชัตเตอร์

 

 

ตอนนั้นเองในลานบ้านก็พลันมีเสียงเอะอะดังขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นเถี่ยซิงเจ๋อที่ยืนใกล้หน้าต่างก็หันหน้ามาฉับพลัน เอ่ยอย่างตกใจขึ้นว่า “อะไรหรือ!”

 

 

แชะ!

 

 

เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น

 

 

“โอ๊ย แย่แล้ว” จิ่งเหิงปัวหงุดหงิด เถี่ยซิงเจ๋อหันหน้าไปในช่วงเวลาที่กดชัตเตอร์พอดี รูปใบนี้คงต้องทิ้งแน่แล้ว

 

 

กระดาษอัดภาพค่อยๆ เลื่อนออกมา พอนางหยิบออกมาดู ก็ต้องร้อง “เอ๊ะ” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างยินดีว่า “ยังดี!”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยอย่างตื่นตะลึงว่า “เสร็จแล้วหรือ?” เดินเข้ามาดู

 

 

บนกระดาษอัดภาพ แสงอาทิตย์สว่างไสวข้างหน้าต่างเปล่งประกายระยิบระยับบนหน้าผากของเถี่ยซิงเจ๋อ เคราะห์ดีที่ครู่นั้นยามที่หันหน้าไม่ได้ทำให้รูปถ่ายพร่ามัว มองเห็นเค้าโครงด้านข้างอันหล่อเหลาคมคายของเขาได้พอดี เขาอยู่ใกล้เบื้องหน้าหน้าต่าง ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้าง สายตาทอดออกไปไกลโพ้น

 

 

“ข้ารู้สึกว่ารูปถ่ายด้านข้างทุกใบมีเสน่ห์เป็นพิเศษ” จิ่งเหิงปัวยิ่งมองยิ่งรู้สึกพอใจ กล่าวว่า “ภาพหนึ่งนี้มองผิวเผินแทบไม่คล้ายเจ้าอยู่บ้าง มี…” นางหันข้างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวต่อไปว่า “ความรู้สึกทั้งกว้างไกลทั้งลึกลับเป็นพิเศษ…เสมือนพลันมีวิญญาณเพิ่มขึ้นมา”

 

 

“ฝ่าบาทตรัสจนกระหม่อมขนพองสยองเกล้าเสียแล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะฮ่าๆ เอื้อมมือมาหยิบรูปถ่าย แล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมกลับรู้สึกว่ากล่องของฝ่าบาทใบนี้ช่างลึกลับนัก”

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังจะยื่นรูปถ่ายให้เขาพอดี นิ้วมือของสองคนสัมผัสกัน จิ่งเหิงปัวไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ทว่านิ้วมือของเถี่ยซิงเจ๋อหยุดชะงัก รีบเร่งรับรูปถ่ายไว้

 

 

“พิเศษโดยแท้” เขาชื่นชมไม่ขาดปาก เอ่ยว่า “กระหม่อมจะต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี”

 

 

“จริงหรือ อย่าทำหายนะ” จิ่งเหิงปัวกำชับเขาว่า “ของสิ่งนี้แทบจะเป็นของที่ข้ามีเพียงชิ้นเดียว หายไปเท่ากับไม่มีแล้ว รอให้ถึงภายภาคหน้าหากข้าไม่มีของสิ่งนี้แล้ว พอนึกขึ้นมาได้อาจจะขอเจ้าดูสักหน่อย เมื่อถึงยามนั้นเจ้าอย่าได้บอกข้าว่าหายไปแล้วเชียวนะ”

 

 

“กระหม่อมจะหักใจทำหายได้อย่างไร” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มพลางเก็บรูปถ่าย

 

 

“เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ข้าไปดูสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวมอบกล่องใส่โพลารอยด์ให้ยงเสวี่ย

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยสอนยงเสวี่ยแล้วว่าต้องถ่ายรูปอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โพลารอยด์ถูกคนมากมายมองเห็น นางจึงคิดวิธีถ่ายรูปวิธีหนึ่งออกมาด้วย ห้องหนึ่งห้องใช้ไม้แผ่นบางแบ่งกั้น ตำแหน่งสูงเท่าตัวคน ตรงกลางเหลือช่องว่างช่องหนึ่งไว้วางโพลารอยด์ เผยให้เห็นแค่เลนส์กล้อง คนที่มาวาด ‘ภาพเหมือน’ นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนยงเสวี่ยถ่ายรูปดังแชะอยู่ภายในก็พอแล้ว ให้คนที่อยู่ข้างนอกรอคอยต่อไป รอให้ถึงครึ่งชั่วยามถัดไปค่อยมอบรูปถ่าย จะได้ไม่ตกอกตกใจจนไร้หนทางอธิบาย

 

 

อันที่จริงคนที่มาถ่ายภาพก็ถูกกำหนดไว้แล้ว นั่นคือสามคนแรกที่มาเข้าแถว คนหนึ่งคือสมุหพระกลาโหมของเผ่าฝูสุ่ย อีกคนหนึ่งคือผู้บัญชาการหอตรวจการ คนสุดท้ายคือเสนาบดีพิธีการแห่งกองพิธีการคนก่อนที่มีสมญานามว่านักปราชญ์ ส่วนคนอื่นเป็นพวกมาเสียเที่ยวทั้งนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวให้เถี่ยซิงเจ๋อช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนตนเองเดินเข้าไปในลานบ้าน ได้มองเห็นเฟยเทียนเย่าจื่อคนนั้นวิ่งออกมาจากในห้อง โดยที่อวี่ชุนกำลังพาคนไปขวางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวแหวกฝูงชนเดินเข้าไป กวักมือเรียกเฟยเทียนเย่าจื่อตามอำเภอใจ แล้วกล่าวว่า “ตามข้ามา”

 

 

เจ้าคนที่คว้าเครื่องประดับผมผลึกแก้ว ดวงตาสองข้างงงงวยคนนั้นชะงักงันชั่วครู่ ก่อนจะเดินตามนางไปอย่างเงียบงัน

 

 

อวี่ชุนที่เตรียมป้องกันทั่วร่างวางอาวุธในมือลง สีหน้างงวยเล็กน้อยอยู่เช่นกัน

 

 

นับว่าเขาก็ได้พบแล้วว่าแท้จริงแล้วราชินีที่ปล่อยตัวเกียจคร้าน ถึงเป็นผู้ที่ดุดันเป็นที่สุดคนนั้น

 

 

ความดุดันไร้หวาดกลัวของนางซ่อนไว้ไม่เปิดเผย ปลดปล่อยแสงรุ่งโรจน์ออกมาเพียงยามวิกฤตกาล ที่ซึ่งแสงนั้นพาดผ่านมีบรรยากาศแห่งราชันย์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 83 – 1 เจ้าคงรักเขามากเหลือเกิน

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 83 – 1 เจ้าคงรักเขามากเหลือเกิน

เบื้องหน้าของจิ่งเหิงปัวไร้ผู้ใดในทันที

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อที่อยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งพลันพุ่งเข้ามา

 

 

อวี่ชุนตื่นตระหนก หวังพุ่งเข้ามาสุดชีวิต

 

 

ซย่าจื่อหรุ่ยเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าของจิ่งเหิงปัวอย่างเงียบเชียบ

 

 

เครื่องประดับผมผลึกแก้วหลังศีรษะของนางเปล่งประกายระยิบระยับ ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อน จิ่งเหิงปัวก็ได้มอบเครื่องประดับผมชิ้นนี้ให้แก่นาง

 

 

จิ่งเหิงปัวปลดเครื่องประดับผมของนางลงมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะโยนมันไปข้างหน้า

 

 

“ดูสินี่คือสิ่งใด!” นางกล่าวด้วยเสียงแหลมสูง

 

 

ผลึกแก้วเปล่งแสงรุ่งโรจน์ภายใต้แสงอาทิตย์ เสียดแทงสายตาผู้คนจนแม้แต่อวี่ชุนยังต้องหลับตาลง

 

 

เรือนร่างของเฟยเทียนเย่าจื่อที่พุ่งเข้ามาอย่างดุร้ายหยุดชะงักลง พอเงยหน้าแววตาคล้ายกับถูกเครื่องประดับผมผลึกแก้วสาดส่องสว่างไสว เขาพลันยกมือขึ้นรับเครื่องประดับผมไว้ มองเพียงปราดเดียวแล้วกุมไว้ในฝ่ามืออย่างแน่นหนา

 

 

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น มองดูจิ่งเหิงปัวอย่างตื่นตระหนกตกใจไม่สิ้นสุด

 

 

“ข้ามอบให้เจ้า” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าคงชอบมัน”

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อมองดูเครื่องประดับผมในฝ่ามืออย่างมึนงง จากนั้นก็มองดูจิ่งเหิงปัว ไอสังหารในแววตาสูญสลายหายไปกลายเป็นความสับสนเลือนราง ทว่าร่างกายกลับสั่นเทิ้มมากยิ่งขึ้น ฟองขาวบนมุมปากมากยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าชักเกร็งอย่างไม่หยุด ยิ่งทำให้หน้าตาแลดูดุร้าย

 

 

“โรคลมชัก!” มีคนตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาโดยพลัน ทุกคนต่างตกตะลึง ร่นถอยปานกระแสธาร

 

 

พลั่ก!  เฟยเทียนเย่าจื่อล้มหัวทิ่มอยู่บนพื้น ทั้งแขนทั้งขากระตุกเกร็ง

 

 

ทุกคนต่างก้าวถอย มีเพียงจิ่งเหิงปัวที่ก้าวขึ้นหน้าไป นั่งยองๆ ตรวจดูอาการของเขา

 

 

“ระวัง!” เถี่ยซิงเจ๋อกับอวี่ชุนก้าวขึ้นมาขวางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเตะเจ้าคนนั้นตามใจชอบ กล่าวว่า “ลากออกไป เชิญหมอมาดูอาการ”

 

 

“ฝ่าบาท!” อวี่ชุนกับจื่อหรุ่ยตะโกนด้วยเสียงแผ่วเบา สีหน้าไม่เห็นด้วย

 

 

คนผู้นี้อันตรายเกินไป ผิดปกติเกินไป

 

 

จิ่งเหิงปัวโบกมือ นางก็มีวิธีการของนาง

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อถูกลากเข้าไปเฉกเช่นสุนัขที่ตายแล้ว มือของเขายังคงคว้าเครื่องประดับผมผลึกแก้วนั้นไว้อย่างแน่นหนาแม้ว่าจะสลบไสล

 

 

เหตุการณ์วุ่นวายนี้ก็ได้สงบลงแล้ว ที่ปากประตูมีคนเข้าแถวยาวเหยียดจนไม่อาจยาวเหยียดได้มากกว่านี้ ยงเสวี่ยหอบประทัดออกมาเตรียมจะจุดไฟ ประเดี๋ยวจะได้ฤกษ์เปิดกิจการแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูฝูงชนแล้วก้าวเดินเข้าไปในลานบ้าน ภายในได้ผ่านการตกแต่งปรับปรุงอีกครั้ง ดำรงไว้ซึ่งบรรยากาศอึมครึม ซ้ำยังเพิ่มของตกแต่งสว่างไสวเข้าไปบางส่วน บรรยากาศก่อนหน้านี้ที่อึมครึมอยู่บ้างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พอมองเข้าไปปราดเดียว ป่าไผ่เขียวขจีเงาเขียวชอุ่มลึกล้ำ ทั้งร่มรื่นทั้งร่มเย็น

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยชมไม่ขาดปาก จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มฟังเขาอยู่เช่นนั้นแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงใช่หรือไม่ว่าข้าจะมีกิจการที่มีรสนิยมขนาดนี้?” นางมองดูสีหน้าของเถี่ยซิงเจ๋อแล้วกล่าวขึ้นอีก “เมื่อครู่เจ้าบาดเจ็บหรือ?”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเช็ดโลหิตตรงมุมปากเล็กน้อยอย่างส่งๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”

 

 

“จื่อหรุ่ย” จิ่งเหิงปัวกลอกตาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เถี่ยซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องข้า ในฐานะที่เจ้าเป็นขุนนางหญิงข้างกายข้า เจ้าก็ช่วยข้าดูแลเขาให้เต็มที่ด้วย”

 

 

ตรรกะนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง อวี่ชุนที่พาเฟยเทียนเย่าจื่อไปพักผ่อนที่ห้องพักกลับมาก็ได้ยินเข้าพอดี สีหน้าของนางจึงแปลกประหลาด

 

 

จื่อหรุ่ยไหนเลยจะยังไม่เข้าใจ นางใบหน้าแดงซ่านแล้วขานรับเสียงแผ่วเบาว่าเพคะ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง สีหน้าก็เก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“เอาเถิดๆ” จิ่งเหิงปัวรู้ว่าเมื่อไรควรหยุดยั้ง เช่นนั้นจึงยิ้มแย้มปรีดาจูงเขาไว้ กล่าวว่า “ข้ารับปากว่าจะวาดภาพเหมือนให้เจ้าภาพหนึ่ง มาสิ มานั่งทางนี้”

 

 

“เช่นนี้ก็ล้ำค่าเกินไปแล้ว…” เถี่ยซิงเจ๋อบ่ายเบี่ยง

 

 

“หากจะนำไปหาเงิน ก็ไม่สู้มอบให้คนที่ชื่นชอบ” จิ่งเหิงปัวโบกมือ ท่าทางไม่ใส่ใจ

 

 

กระดาษอัดภาพเหลือไม่มากแล้ว นางวางแผนแล้วว่าทุกภาพจะต้องขายในราคาสูงเทียมฟ้า เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งแล้วค่อยวางมือ มากขึ้นมาใบหนึ่งหรือน้อยลงไปใบหนึ่งก็ไม่เป็นไร

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อที่อยู่ข้างกายพลันแข็งทื่อ จื่อหรุ่ยที่อยู่ข้างหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาด้วย จิ่งเหิงปัวชะงักไปครู่หนึ่ง พบว่าสีหน้าของสองคนนี้ผิดปกติ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงได้เข้าใจ

 

 

“อย่าคิดอะไรให้มากมาย ความชื่นชอบของข้าก็หมายถึงว่าเห็นแล้วไม่ขัดหูขัดตา หรือไม่ก็เป็นสหายสนิท” นางเร่งรีบอธิบาย

 

 

เมื่อก่อนนางคงไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นอะไร

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และคล้ายผิดหวังอยู่บ้าง จื่อหรุ่ยก้มหน้าลงอีกครั้ง

 

 

พวกลูกจ้างที่อยู่ภายในห้องถอยออกไปหมดแล้ว จิ่งเหิงปัวให้สัญญาณกับเถี่ยซิงเจ๋อ กล่าวว่า “มาสิ เจ้าเลือกท่าทางเลือกรูปแบบเอง ข้าจะวาดให้เจ้าภาพหนึ่ง”

 

 

สีหน้าของเถี่ยซิงเจ๋อนั้นคล้ายยังคิดบ่ายเบี่ยง จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เอ๊ะ ปกติเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาเป็นที่สุด เหตุใดวันนี้ถึงได้ปฏิเสธขนาดนี้เล่า?”

 

 

“ไม่ใช่เพราะเสียดายเงินของพระองค์หรอกหรือ? พระองค์ทรงใช้ความคิดมากมายเพื่อเปิดร้านวาดภาพเหมือนแห่งนี้ ร้านนี้ย่อมมีบทบาทสำคัญ” เถี่ยซิงเจ๋อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงขานรับ เอ่ยว่า “กระหม่อมนับว่ามีทรัพย์สินอยู่บ้างเล็กน้อย ร้านวาดภาพเหมือนแห่งนี้ของพระองค์เพิ่งเริ่มกิจการ กระหม่อมควรถวายของขวัญแสดงความยินดี พระองค์อย่าได้ทรงบ่ายเบี่ยง”

 

 

“หากเห็นเงินแล้วไม่รับคงเป็นคนโง่แล้วล่ะ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ พลางโบกมือ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเดินไปยังข้างหน้าต่าง ยืนหันหน้าให้นางตามใจชอบ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้วกัน”

 

 

จิ่งเหิงปัวยกกล่องใบหนึ่งขึ้นมา ที่กล่องเปิดช่องไว้ช่องหนึ่ง…นางปรับปรุงโพลารอยด์ใหม่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้รูปแบบประณีตสวยงามเกินไปของของสิ่งนี้พาให้คนซักถาม

 

 

“จริงสิ” นางหามุมไปพลาง กล่าวล้อเล่นขึ้นว่า “ฝีมือการวาดภาพเหมือนนี้ของข้ามีสิ่งมหัศจรรย์ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”

 

 

“อะไรหรือ” เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายกำลังมองนอกหน้าต่าง โพล่งปากถามขึ้น

 

 

“เอ่ยกันว่าคนที่ความประพฤติแย่ วาดออกมาจะพร่ามัวนะ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหันหน้ากลับมา แสงเงาใต้หน้าต่างมัวสลัวพร่าเลือน มองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เอ่ยว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นกระหม่อมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น ยิ่งมีความสนุกสนานเปี่ยมล้น กล่าวว่า “ยังมีอีกนะ มันสะท้อนภายในจิตใจของทุกผู้คนได้ด้วย”

 

 

“คราวนี้ข้าไม่เชื่อแล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะขึ้นมาด้วย ชี้ไปยังมือของนาง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทของกระหม่อม รีบเร่งวาดภาพเถิด หากพระองค์ทรงสั่นเทิ้มเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อวาดออกมาคงจะพร่ามัวจริงๆ แล้ว เช่นนั้นจะนับว่าข้าความประพฤติแย่หรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เร่งรีบกลั้นเสียง แล้วยกโพลารอยด์ขึ้นกำลังจะกดชัตเตอร์

 

 

ตอนนั้นเองในลานบ้านก็พลันมีเสียงเอะอะดังขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นเถี่ยซิงเจ๋อที่ยืนใกล้หน้าต่างก็หันหน้ามาฉับพลัน เอ่ยอย่างตกใจขึ้นว่า “อะไรหรือ!”

 

 

แชะ!

 

 

เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น

 

 

“โอ๊ย แย่แล้ว” จิ่งเหิงปัวหงุดหงิด เถี่ยซิงเจ๋อหันหน้าไปในช่วงเวลาที่กดชัตเตอร์พอดี รูปใบนี้คงต้องทิ้งแน่แล้ว

 

 

กระดาษอัดภาพค่อยๆ เลื่อนออกมา พอนางหยิบออกมาดู ก็ต้องร้อง “เอ๊ะ” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างยินดีว่า “ยังดี!”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยอย่างตื่นตะลึงว่า “เสร็จแล้วหรือ?” เดินเข้ามาดู

 

 

บนกระดาษอัดภาพ แสงอาทิตย์สว่างไสวข้างหน้าต่างเปล่งประกายระยิบระยับบนหน้าผากของเถี่ยซิงเจ๋อ เคราะห์ดีที่ครู่นั้นยามที่หันหน้าไม่ได้ทำให้รูปถ่ายพร่ามัว มองเห็นเค้าโครงด้านข้างอันหล่อเหลาคมคายของเขาได้พอดี เขาอยู่ใกล้เบื้องหน้าหน้าต่าง ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้าง สายตาทอดออกไปไกลโพ้น

 

 

“ข้ารู้สึกว่ารูปถ่ายด้านข้างทุกใบมีเสน่ห์เป็นพิเศษ” จิ่งเหิงปัวยิ่งมองยิ่งรู้สึกพอใจ กล่าวว่า “ภาพหนึ่งนี้มองผิวเผินแทบไม่คล้ายเจ้าอยู่บ้าง มี…” นางหันข้างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวต่อไปว่า “ความรู้สึกทั้งกว้างไกลทั้งลึกลับเป็นพิเศษ…เสมือนพลันมีวิญญาณเพิ่มขึ้นมา”

 

 

“ฝ่าบาทตรัสจนกระหม่อมขนพองสยองเกล้าเสียแล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะฮ่าๆ เอื้อมมือมาหยิบรูปถ่าย แล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมกลับรู้สึกว่ากล่องของฝ่าบาทใบนี้ช่างลึกลับนัก”

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังจะยื่นรูปถ่ายให้เขาพอดี นิ้วมือของสองคนสัมผัสกัน จิ่งเหิงปัวไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ทว่านิ้วมือของเถี่ยซิงเจ๋อหยุดชะงัก รีบเร่งรับรูปถ่ายไว้

 

 

“พิเศษโดยแท้” เขาชื่นชมไม่ขาดปาก เอ่ยว่า “กระหม่อมจะต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี”

 

 

“จริงหรือ อย่าทำหายนะ” จิ่งเหิงปัวกำชับเขาว่า “ของสิ่งนี้แทบจะเป็นของที่ข้ามีเพียงชิ้นเดียว หายไปเท่ากับไม่มีแล้ว รอให้ถึงภายภาคหน้าหากข้าไม่มีของสิ่งนี้แล้ว พอนึกขึ้นมาได้อาจจะขอเจ้าดูสักหน่อย เมื่อถึงยามนั้นเจ้าอย่าได้บอกข้าว่าหายไปแล้วเชียวนะ”

 

 

“กระหม่อมจะหักใจทำหายได้อย่างไร” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มพลางเก็บรูปถ่าย

 

 

“เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ข้าไปดูสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวมอบกล่องใส่โพลารอยด์ให้ยงเสวี่ย

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยสอนยงเสวี่ยแล้วว่าต้องถ่ายรูปอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โพลารอยด์ถูกคนมากมายมองเห็น นางจึงคิดวิธีถ่ายรูปวิธีหนึ่งออกมาด้วย ห้องหนึ่งห้องใช้ไม้แผ่นบางแบ่งกั้น ตำแหน่งสูงเท่าตัวคน ตรงกลางเหลือช่องว่างช่องหนึ่งไว้วางโพลารอยด์ เผยให้เห็นแค่เลนส์กล้อง คนที่มาวาด ‘ภาพเหมือน’ นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนยงเสวี่ยถ่ายรูปดังแชะอยู่ภายในก็พอแล้ว ให้คนที่อยู่ข้างนอกรอคอยต่อไป รอให้ถึงครึ่งชั่วยามถัดไปค่อยมอบรูปถ่าย จะได้ไม่ตกอกตกใจจนไร้หนทางอธิบาย

 

 

อันที่จริงคนที่มาถ่ายภาพก็ถูกกำหนดไว้แล้ว นั่นคือสามคนแรกที่มาเข้าแถว คนหนึ่งคือสมุหพระกลาโหมของเผ่าฝูสุ่ย อีกคนหนึ่งคือผู้บัญชาการหอตรวจการ คนสุดท้ายคือเสนาบดีพิธีการแห่งกองพิธีการคนก่อนที่มีสมญานามว่านักปราชญ์ ส่วนคนอื่นเป็นพวกมาเสียเที่ยวทั้งนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวให้เถี่ยซิงเจ๋อช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนตนเองเดินเข้าไปในลานบ้าน ได้มองเห็นเฟยเทียนเย่าจื่อคนนั้นวิ่งออกมาจากในห้อง โดยที่อวี่ชุนกำลังพาคนไปขวางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวแหวกฝูงชนเดินเข้าไป กวักมือเรียกเฟยเทียนเย่าจื่อตามอำเภอใจ แล้วกล่าวว่า “ตามข้ามา”

 

 

เจ้าคนที่คว้าเครื่องประดับผมผลึกแก้ว ดวงตาสองข้างงงงวยคนนั้นชะงักงันชั่วครู่ ก่อนจะเดินตามนางไปอย่างเงียบงัน

 

 

อวี่ชุนที่เตรียมป้องกันทั่วร่างวางอาวุธในมือลง สีหน้างงวยเล็กน้อยอยู่เช่นกัน

 

 

นับว่าเขาก็ได้พบแล้วว่าแท้จริงแล้วราชินีที่ปล่อยตัวเกียจคร้าน ถึงเป็นผู้ที่ดุดันเป็นที่สุดคนนั้น

 

 

ความดุดันไร้หวาดกลัวของนางซ่อนไว้ไม่เปิดเผย ปลดปล่อยแสงรุ่งโรจน์ออกมาเพียงยามวิกฤตกาล ที่ซึ่งแสงนั้นพาดผ่านมีบรรยากาศแห่งราชันย์

Comment

Options

not work with dark mode
Reset