“พวก…เจ้า…หุบ…ปาก…ให้หมด!”
เสียงคำรามแหลมสูงดังขึ้นโดยพลัน สยบความวุ่นวายเละเทะราวกับโจ๊กที่เดือดพล่านหม้อหนึ่งเอาไว้
ทุกคนต่างรู้สึกว่าที่แก้วหูมีเสียงหวึ่งๆ ดังกังวานอยู่ระลอกหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สาม
สตรีนางนั้นสวมใส้กระโปรงยาวธรรมดา สวมหมวกม่าน ก่อนหน้านี้ทุกคนได้สังเกตเห็นว่านางเข้ามาใกล้ ทว่าคนเยอะจึงไม่ได้ใส่ใจ ยามนี้พอเงยหน้าขึ้นมองดูตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก็พลันรู้สึกถึงรูปร่างงดงามของสตรีนางนี้!
ทรวดทรงที่ทั้งวิจิตร ทั้งอิ่มเอิบ ต้านทานความละเอียดลออของมุมได้เป็นที่สุด พอแหงนหน้าขึ้นมองจากข้างล่างขึ้นข้างบน ความโค้งเว้าราบรื่นของท่วงท่านั้นก็พาให้แววตาของผู้คนพลอยลุกวาวขึ้นหลายครั้งตามเกลียวคลื่นที่โหมซัด
แทบจะในทันทีนั้น ฝูงชนก็เงียบงันไปครึ่งหนึ่ง เหล่าบุรุษตกตะลึงพรึงเพริด เหล่าสตรีตื่นตะลึงอิจฉา
จิ่งเหิงปัวผลักอวี่ชุนออก นางเดินนวยนาดลงมาจากบนบันได นิ้วมือนิ้วหนึ่งจิ้มลงบนหน้าผากของผู้อ่อนวัยคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าสุด
“เจ้าของร้านคือข้าเอง ข้าออกมาแล้ว มีอะไรหรือ?”
ผู้อ่อนวัยมองดูนางอย่างงงงัน หน้าแดงขึ้นในทันที
“ข้าเป็นคนออกกฎเอง ข้าคือเจ้าของร้านข้าเป็นผู้ตัดสินใจ” จิ่งเหิงปัวผลักชายร่างใหญ่อีกคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าออกไปในฝ่ามือเดียว แล้วกล่าวว่า “จะสั่งสอนอะไรข้า? พ่นน้ำลายใส่หน้าข้าอย่างนั้นหรือ? นี่ เจ้าน่ะก็ไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว?”
ชายร่างใหญ่ถอยหลังในทันที ก่อนเร่งรีบดมใต้วงแขนของตนเอง
“ใช้เงินเขวี้ยงข้าให้สิ้นชีพสิ!” จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ในกลุ่มองครักษ์ เชิดศีรษะไปข้างหน้า ทุ่มกำลังยืดอกแล้วร้องว่า “เขวี้ยงสิ! รีบเขวี้ยงเลย! หากมีความสามารถพวกเจ้าก็จงเขวี้ยงร้านวาดภาพเหมือน ‘ครู่นั้น’ ของข้าให้พังทลายลงแล้วค่อยแสร้งเอ่ยสิ!”
ทุกคนจ้องมองคลื่นเชี่ยวกรากระลอกหนึ่งนั้น หลงลงแม้แต่ว่าเมื่อครู่นี้ตนเองเอ่ยว่าอะไรออกไป
“ขวางเขาไว้ด้วยเหตุใด?” จิ่งเหิงปัวดึงคนที่ได้ถ่ายภาพไม่กี่คนนั้นมาในครั้งเดียว คนที่มาถ่ายภาพต่างเป็นตาเฒ่า พวกเขากำลังถูกคนในบ้านป้องกันไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
“ท่านนี้” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังผู้ชราผมขาวท่านหนึ่ง กล่าวว่า “สมุหพระกลาโหมแห่งเผ่าฝูสุ่ย วีรบุรุษเฝ้าด่านเดียวดายยามยังหนุ่ม เล่ากันว่ายามนั้นมีเรื่องราวน่าสรรเสริญว่าหนึ่งคนช่วยหนึ่งนคร ราษฎรเผ่าฝูสุ่ยได้รับการช่วยชีวิตจากเขามากกว่านับพันนับหมื่นคน คนเช่นนี้ไม่คู่ควรต่อแถวอยู่ข้างหน้าพวกเจ้าหรือ?”
ฝูงชนก้าวถอยหลัง ผู้ชรามีสีหน้าอ่อนใจคล้ายนึกไม่ถึงว่ายังมีคนจำเรื่องเก่าในยามนั้นของตนเองได้ จึงประสานมือคารวะจิ่งเหิงปัวอย่างเงียบเชียบ
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม หันกายเพียงครั้งแล้วชี้ไปยังตาแก่ที่มีสีหน้าดุจเหล็กกล้าคนหนึ่ง
“ท่านนี้คือผู้บัญชาการหอตรวจการ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้ชราที่ซื่อสัตย์ชั่วชีวิต พวกเจ้าคงเคยได้ยินนามนี้สินะ?” นางกล่าวว่า “ชั่วชีวิตของใต้เท้าผู้ชรานี้ไม่หวาดกลัวมหาอำนาจ ซื่อตรงยึดมั่น ซื่อสัตย์ไร้ทุจริต หาญกล้าจงรักภักดี ยามดำรงตำแหน่งกล่าวโทษขุนนางทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงเกือบพันคน ล่วงเกินพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน บุตรชายทั้งสามคนต่างถูกศัตรูแก้แค้นจนสิ้นชีพติดต่อกัน ตัวเขาเองยังเคยเข้าคุกสามครั้งด้วย เฉพาะเข้าลานประหารรอตัดศีรษะแต่ถูกวางมีดไว้ชีวิตมีถึงสองครั้งแล้ว! ชีวิตทั้งขึ้นทั้งลง เพียงพอจะเขียนหนังสือแห่งการต่อสู้ภาคหนึ่ง คนเช่นนี้ก็ไม่คู่ควรที่จะต่อแถวอยู่ข้างหน้าพวกเจ้าหรือ?”
ผู้ชราน้ำตาท่วมหน้า โค้งกายลึกล้ำให้จิ่งเหิงปัว เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “มิใช่ด้วยเพราะแม่นางสรรเสริญ เพียงด้วยเพราะยังมีผู้จดจำเจ้าลูกหมาที่สิ้นชีพอย่างน่าเวทนาเหล่านั้นของผู้ชราได้…”
จิ่งเหิงปัวโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วชี้ไปยังคนที่สาม ผู้ชราหันหน้ามองดูนาง ยากจำแนกว่ามีความสุขหรือโกรธเคือง ดั่งกำลังรอฟังว่านางจะเอ่ยอะไร
“มหาปราชญ์ฉวีถี” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เสนาบดีกองพิธีการคนก่อน เคยดำรงตำแหน่งผู้ดูแลสำนักศึกษาของแคว้นถึงสามสิบปี ยามดำรงตำแหน่งถ่อมตัวสำนึกตน ส่งเสริมชนรุ่นหลัง ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง ขุนนางส่วนใหญ่ในห้ากองเป็นลูกศิษย์ของเขาทั้งนั้น ผู้ที่อยู่ ณ ที่นี้กว่าครึ่งหนึ่งคงต้องเรียกเขาว่าอาจารย์กระมัง? ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ต้องเรียกเขาว่าปรมาจารย์ มหาปรมาจารย์?”
ฝูงชนเงียบงัน มีคนเริ่มถอยหลัง
“คนเช่นนี้ก็ไม่คู่ควรต่อแถวอยู่ข้างหน้าพวกเจ้าหรือ?”
ความวุ่นวายจากฝูงชนพลันค่อยๆ สงบลง ตาแก่คนที่สามที่บนใบหน้าไม่มีสีหน้าซาบซึ้งใจอะไรนั้นพลันยื่นศีรษะเข้าใกล้เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “องค์ราชินี ผู้ชรายังคิดอยู่ว่าผู้ชราไม่ได้มีคุณงามความดีอันรุ่งโรจน์โชติช่วงขนาดสองท่านก่อนหน้านั้น หากพระองค์ตรัสได้ประจบสอพลอมากเกินไป ผู้ชราก็ไม่คิดจะไว้หน้าพระองค์ทีเดียว นึกไม่ถึงว่าพระองค์จะยกผู้ชราออกมาเป็นโล่กำบังพ่ะย่ะค่ะ…หึๆ”
“หึๆ” จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบว่า “ผู้ใดเอ่ยว่าท่านผู้ชราไม่มีคุณงามความดี? เพียงแต่เจิ้นรู้ว่าท่านผู้ชรามีคุณธรรมสูงส่งบริสุทธิ์ ไม่ชื่นชอบให้ผู้อื่นประจบสอพลอต่อหน้า ได้แต่เทิดทูนท่านผู้ชราออกมาเป็นโล่กำบังแล้ว ท่านมองดูสถานการณ์ ช่วยให้จากไปได้สักคน?”
ฉวีถีอดจะหัวเราะไม่ได้ เอ่ยว่า “เจ้าผู้ชราฉังฟังนั่นเอ่ยเสมอว่าองค์ราชินีทรงมีสติปัญญาเทียมฟ้า ทรงมิใช่สามัญชนธรรมดาเป็นแน่ ผู้ชรายังไม่เชื่อเขา บัดนี้ดูแล้วทรงเป็นจิ้งจอกที่ฝึกฝนบําเพ็ญตบะพันปีโดยแท้…ผู้ชราคิดว่าวาจาท่อนหนึ่งของพระองค์ในวันนี้ แม้กระทั่งพวกเราหลายคนนี้ ต่างถูกจัดเตรียมไว้เนิ่นนานแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”
“ท่านผู้ชราเฉลียวฉลาด” เสียงของจิ่งเหิงปัวแผ่วเบามากขึ้น กล่าวว่า “ข้าท่องคุณงามความดีวีรบุรุษของพวกท่านอยู่ครึ่งคืน ประโยคงดงามคมคายพวกนั้น เหนื่อยแทบขาดใจเลยนะ!”
ฉวีถีหัวเราะฮ่าครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เอ่ยกันว่าราชินีทรงไม่เรียนรู้ไร้วิชา! ผู้ชรายังคิดอยู่ว่าเหตุใดวันนี้วาจาพลันคารมคมคายขึ้นมา! เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่ฝ่าบาททรงกระทำการเช่นนี้ในวันนี้ หวังจะแสดงละครใดกันแน่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ท่านผู้ชราเป็นคนเข้าใจเรื่องราว ยังมองไม่ออกอีกหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจจิ้งจอกโดยแท้
ฉวีถีชำเลืองมองนางปราดเดียว ยิ้มแย้มเล็กน้อย
ผู้ใดเอ่ยว่าราชินีไร้ระเบียบวินัยไร้ประโยชน์?
ผู้ใดเอ่ยว่าราชินีไร้อำนาจ ถูกกักขังอยู่ภายในเครื่องพันธนาการแห่งความกระหายอำนาจของต้าฮวง จนขยับเขยื้อนไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว?
แท้จริงแล้วนางไม่เคยละทิ้งการช่วงชิงอำนาจของตนเองเลย!
ยิ่งไปกว่านั้น นางมีสายตาโหดเ**้ยม มีความคิดแจ่มกระจ่าง เผ่าฝูสุ่ย หอตรวจการและเหล่าปราชญ์เป็นอำนาจสามฝ่ายที่มีท่าทางเป็นกลางต่อราชินีในราชสำนักต้าฮวงยามนี้ สามารถช่วงชิงมาเป็นพวกได้
ภาพเหมือนภาพหนึ่ง สิ่งของที่คนธรรมดานำมาหาเงินถูกนางนำมาซื้อใจคนได้เช่นกัน ภาพเหมือนยังเป็นเรื่องเล็ก อาศัยเรื่องภาพเหมือนนี้ฉวยโอกาสแสดงไมตรีต่อฝ่ายเป็นกลาง ไม่เหลือร่องรอยซ้ำยังเกาถูกจุดคันพอดี
น่าอัศจรรย์
เจ้าผู้ชราที่จิตใจสะอาดผ่องใสเนิ่นนานเหล่านี้ ทรัพย์สินเงินทองโฉมงามต่างไร้หนทางทำให้พวกเขาหวั่นไหว มีเพียงความเคารพและการยอมรับถึงเป็นสิ่งที่พวกเขาบากบั่นแสวงหา เสียสละทุกสิ่งทั้งชีวิตโดยไม่เสียดาย
วันนี้ดูคล้ายเรื่องเล็ก ทว่ายกย่องสองท่านนั้นสู่แท่นบูชาต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น ให้พวกเขามองเห็นบารมีและเสียงสรรเสริญจากราษฎรของตนเองด้วยตาตนเอง ให้พวกเขารู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนจดจำความเสียสละและความยิ่งใหญ่ของพวกเขาในยามนั้นได้อย่างลึกซึ้ง ย่อมทำให้พวกเขาทอดถอนใจด้วยว่า “หากมีผู้ชื่นชมเช่นนี้ ชั่วชีวีมิได้ไร้ค่า”
คำนวณไว้แล้วว่าภาพสามภาพในวันแรกจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย นี่คือการตั้งใจป่าวประกาศสินค้าและผลักดันสถานการณ์ที่เตรียมการไว้แล้วสินะ
ผู้เก่งการคำนวณสถานการณ์เป็นผู้ฉลาดเฉลียว ผู้เก่งการอาศัยสถานการณ์เป็นผู้คว้าชัยชนะ
ฉวีถียิ้มแย้มเพียงครั้ง รู้สึกว่าบางครั้งดวงตาชราคู่นั้นของฉังฟังยังคงสว่างไสวนัก
จิ่งเหิงปัวกล่าวสามประโยคจบลง ฝูงชนก็ถอยหลังไปกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง
ไม่เคารพวีรบุรุษได้ ไม่เคารพสุภาพบุรุษได้ ทว่าไม่อาจไม่เคารพอาจารย์
มิฉะนั้นย่อมไร้หนทางยืนหยัดในสังคมชนชั้นสูงของตี้เกอ
“ขออภัยด้วย สร้างปัญหาให้ท่านทั้งสามแล้ว” จิ่งเหิงปัวโค้งคำนับด้วยมารยาท กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจเด็กเหลือขอเหล่านี้ เชิญทางนี้”
ตาแก่สามคนต่างลูบเคราพยักหน้า เดินผ่านฝูงชนภายใต้การคุ้มกันของคนในบ้าน จิ่งเหิงปัวอมยิ้มมองตามหลัง เถี่ยซิงเจ๋อยืนอยู่ข้างกายนาง เอ่ยว่า “ต้องให้คนคุ้มกันสักหน่อยหรือไม่? คนมากเหลือเกิน หากผู้สูงวัยหลายท่านสะดุดหกล้มขึ้นมา…”
แววตาของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ พอเงยหน้าก็พบทันทีว่าข้างหน้าเกิดความวุ่นวายแล้ว