“นี่ๆ เจ้าทำอะไร คนเขาช่วยห่อไว้ให้ข้าอย่างดีนะ…เจ้าคงไม่แม้แต่คนอื่นช่วยข้าพันแผลยังมองแล้วไม่สบอารมณ์กระมัง…”
กงอิ้นไม่สนใจนาง เขาขยับเพียงสองสามครั้ง สายผ้าก็ร่วงหล่นทั่วพื้น แววตาเขาทอดลงบนบาดแผลของจิ่งเหิงปัว รอยมีดที่ไม่นับว่าลึกมากนัก ทว่าพอถูกผิวกายขาวราวหิมะอมชมพูเนียนละเอียดบริเวณโดยรอบของนางขับให้เด่นชัด ก็ทำให้รอยเลือดรั้นแลดูโหดร้ายเป็นอย่างมาก มองดูแล้วพาให้รู้สึกคนเสียดาย ผิวกายที่งดงามขนาดนี้กลับมีรอยแผลเช่นนี้ กลัวเพียงว่าจะหลงเหลือรอยแผลเป็นไว้
กงอิ้นยังคงไม่มีสีหน้าเช่นไร แม้แต่คิ้วยังไม่ได้ขมวดขึ้น แต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกขึ้นได้ในทันทีว่าอุณหภูมิโดยรอบกำลังลดลงฮวบฮาบ เช่นนั้นนางก็อดจะสั่นสะท้านไม่ได้
หนาวจัง…
มีไอสังหาร…
เอ่อ ตนเองออกไปรอบหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บกลับมาแล้วยังปิดบังเขา เจ้าคนนี้จะบันดาลโทสะจนหลังจากนี้จะไม่ให้นางออกไปข้างนอกหรือเปล่านะ?
“โอ๊ยๆ เหตุใดข้าถึงลืมบาดแผลนี้ไปเสียได้?” นางเริ่มร้องห่มร้องไห้ออกมาทันที พลางกล่าวว่า “โอ๊ยๆ เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงได้ลืมมันไปเลย เจ้าดันทำเช่นนี้กับข้า โอ๊ยๆ เจ็บจังๆๆ เบาหน่อยสิๆ ข้าทำครั้งแรก…”
ปิดบังไว้ไม่ได้ก็ไม่ต้องปิดบังแล้ว นางจะทั้งร้องทั้งตะโกนรบกวนเขา! ให้เขาไม่มีเวลาจะมาโกรธเลย!
กงอิ้นเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองปราดหนึ่ง มีเพียงเสียงไม่มีน้ำตา ดิ้นซ้ายดิ้นขวาไม่คล้ายกำลังร้องเจ็บปวด ทว่าคล้ายกำลังร่ายรำ
มุมปากของเขาผุดเผยรอยยิ้มอย่างจำใจขึ้นเบาบาง…สตรีที่ทั้งอ่อนแอทั้งแข็งแกร่ง ทั้งมุทะลุดุดันทั้งไร้เหตุผลนางนี้! ยามที่ควรร้องเจ็บปวดไม่ร้อง ยามที่ไม่ควรร้องกลับตะโกนเสียจนคล้ายถูกลวนลาม
นอกจิ้งถิงมีคนมากเพียงใดกำลังฟังมุมกำแพง?
“หากแสร้งร้องไห้อีกเจ้าคงไม่ได้ออกนอกวังไปตลอดกาลจริงๆ แล้ว”
เสียงร้องไห้ของจิ่งเหิงปัวหยุดลงในทันที นางเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วถามเขาว่า “แสร้งร้องไห้ไม่เหมือนหรือ?” พยักหน้าคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “ฝีมือการแสดงยังต้องพัฒนา”
เขามองดูนางอย่างเงียบเชียบ กุมฝ่ามืออบอุ่นของนางไว้
นี่คือความละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ซึ่งเป็นของจิ่งเหิงปัวแต่เพียงผู้เดียว สอดแทรกบทตลกเพียงเพื่อให้เขาไม่ต้องกังวล
เขาจึงไม่ใส่ใจมันมากนัก สะกดความโกรธแค้นเต็มดวงใจ กุมมือของนางขึ้นมา มองผงยาที่ทาบนบาดแผลอย่างรังเกียจเล็กน้อย ร้องสั่งข้างนอกว่า “นำน้ำอุ่นมา!”
“โอ๊ย ยานี้ดียิ่งนักไม่ใช่หรือ” จิ่งเหิงปัวห้ามปรามทันทีว่า “เขาบอกว่าเป็นยาดีที่สุดราคาสามตำลึง! ทาลงไปก็ไม่เจ็บแล้ว! จริงนะ! เจ้าล้างออกข้ายังต้องเจ็บอีก ไม่เอาๆ”
“เจ้าอยากมีแผลเป็นหรือ?” วาจาเพียงประโยคเดียวของเขากลับมีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งเสมอ น่ากลัวจนจิ่งเหิงปัวต้องหุบปากลงในทันที
น้ำอุ่นกับผ้าเช็ดมือถูกส่งมาให้ เขาไล่องครักษ์ให้ถอยไป แล้วให้จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่ข้างเบาะนอนที่ใช้พักผ่อน ลงมือล้างแผลด้วยตนเอง
ผ้าเช็ดมือชุบน้ำแล้วค่อยๆ ล้างผงยาบนบาดแผลออกไป ภายในห้องหนังสือเหลือเพียงเสียงน้ำเพียงน้อย อ่อนโยนและนุ่มนวล
สองคนต่างไม่เอ่ยวาจาอีก ลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาในยามนี้ นางก้มหน้าลงมองนิ้วมือเรียวยาวของเขาในอ่างน้ำ ปลายนิ้วถูกน้ำร้อนลวกจนอมแดง เขาก้มหน้าลงมองบาดแผลทางยาวบนผิวกายนาง อีกทั้งขนตางอนเล็กน้อยที่แผ่ลงมากำลังสั่นไหวเบาบาง สะเทือนเพียงครั้งดั่งคล้ายสะดุ้งตื่นฟื้นจากฝัน
“เรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง” เขาเอ่ยหลังผ่านไปเนิ่นนาน
“อืม”
“การช่วยคนก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องเสี่ยงอันตรายด้วยตนเอง ชีวิตของผู้อื่นไม่สำคัญเท่าของตัวเจ้าเองเสมอ”
“อืม”
“แม้เกิดปัญหาใหญ่กว่านี้ย่อมมีหนทางชดเชย อย่างมากเพียงเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง มีเพียงชีวิตที่ไม่อาจเริ่มใหม่ได้”
“อืม”
“สมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ยเป็นผู้สุขุมรอบคอบ ในเมื่อวันนี้แสดงความคิดเห็น ภายหลังฝูสุ่ยย่อมจะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าข้างนอก พอรวมกับเผ่าเฉินเถี่ยของซิงเจ๋อ รวมทั้งหลังจากนี้ใช้เผ่าจั๋นอวี่ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย ภายภาคหน้าในแปดชนเผ่า สามชนเผ่านี้เจ้าวางใจได้ส่วนหนึ่ง”
นางเงยหน้าขึ้นมา
“กงอิ้น”
“อืม”
“ข้ารู้สึกลังเลอยู่บ้าง ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าการที่ข้าทำเรื่องราวเหล่านี้นั่นก็เท่ากับข้ากำลังแย่งชิงอำนาจของเจ้า เจ้าโกรธหรือไม่? หากเจ้าโกรธหรือเจ้ามีปัญหา บอกข้าให้ชัดเจน ข้าไม่ทำก็ได้”
“แล้วจะยอมเป็นราชินีหุ่นเชิดอย่างว่านอนสอนง่ายหรือ?”
“…ไม่ ไม่เป็นราชินีแล้ว” นางกล่าวว่า “ข้าไม่ขอปิดบังเจ้า ข้าก็อยากเป็นราชินีที่มีอำนาจอย่างแท้จริงยิ่งนัก เพราะว่าข้าชื่นชอบราษฎรของต้าฮวง เกลียดชังขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของต้าฮวง ข้าอยากใช้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นทำเรื่องราวบางอย่างเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง ข้าอยากมีอิสระและอำนาจ เป็นคนเหนือคนเช่นกัน เดิมทีประสบการณ์ในตลาดวันนี้ทำให้ความคิดนี้ของข้ารุนแรงยิ่งขึ้น ทว่าข้าพลันเปลี่ยนมุมมองครุ่นคิด รู้สึกว่าราษฎรต้าฮวงน่ารักขนาดนี้ ข้าเป็นคนธรรมดาท่ามกลางพวกเขาก็ได้ อีกทั้ง กงอิ้น ข้าอยากช่วงชิงอำนาจ ทว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้าหรือทำให้เจ้าลำบากเลย ยามอำนาจและอิทธิพลเกิดการปะทะกันกับเจ้า ข้ายินยอมร่นถอย อย่างไรเสียสำหรับข้าแล้ว แต่เดิมอำนาจและอิทธิพลก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอยู่แล้ว”
นางกะพริบตา แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการสิ่งที่เจ้ายอมมอบให้หรอกนะ”
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้า และยอมให้เจ้าไม่ได้” กงอิ้นล้างบาดแผลของนางจนสะอาด หยิบขี้ผึ้งหลอดหนึ่งมาทาให้นาง แล้วเอ่ยว่า “เหิงปัว ในเมื่อเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า กระทำเรื่องที่ตัวเจ้าเองอยากทำ ทุกสิ่งต้องอาศัยตัวเจ้าเองช่วงชิง”
“แล้วเจ้าเล่า?” นางเบิกตากว้างถามเขา
“เรื่องที่เจ้าควรพิจารณาคืออำนาจที่ยิ่งซับซ้อนยากจะคาดเดามากขึ้นของต้าฮวง” นิ้วมือกงอิ้นพลิกอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ก็พันแผลให้นางเสร็จแล้ว เรียบร้อยเกลี้ยงเกลา ประณีตกว่ามือหัวผักกาดก่อนหน้านี้ของนางมากนัก
จิ่งเหิงปัวชักมือกลับ ในใจมีอารมณ์ซับซ้อนหลายหลาก ไม่เข้าใจหลายส่วน อบอุ่นหลายส่วน กลัดกลุ้มหลายส่วน ว้าวุ่นใจหลายส่วน
นางเงยหน้ามองกงอิ้น ดวงพักตร์ที่เลือนรางอยู่บ้างภายในลำแสงมืดสลัว รู้สึกรำไรคล้ายว่าผอมลงเล็กน้อย
หมู่นี้ม่านห้องหนังสือของจิ้งถิงมักเปิดไว้ครึ่งหนึ่งเสมอ ภายในลำแสงอึมครึม ฝีก้าวแผ่วเบาของเขามักทำให้นางรู้สึกว่าเสมือนพริบตาต่อมา เขาคงจะต้องเดินเข้าไปที่ซึ่งลึกยิ่งกว่านี้จนไม่อาจรู้ได้จากเบื้องหน้าตนเอง
เรื่องนี้ทำให้นางหวาดกลัวอยู่บ้าง พลันกางแขนออกพุ่งไปบนหัวเข่าของกงอิ้น
แทบจะในทันทีนั้น นางรู้สึกได้ว่าเรือนร่างของกงอิ้นเกร็งแน่น
นางลุกขึ้นมาเสียเลย นั่งอยู่บนขาของเขา โอบลำคอของเขาไว้ เผชิญหน้ากับเขา
นิ้วมือของกงอิ้นแข็งทื่อ มือที่เปื้อนยายังหลงลืมเช็ด ชะงักงันเสียแล้ว
เขาแหงนหน้ามองนาง นัยน์ตาของกันและกันสะท้อนเงาร่างอีกฝ่าย ต่างคนต่างจิตใจจดจ่อ ต่างคนต่างลุกลี้ลุกลน
“มองตาของข้า” นางกล่าวเสียงเบาว่า “อย่าได้หลบหนีข้าด้วยเพราะข้าเคยปฏิเสธ”
“ข้าอยู่เบื้องหน้าเจ้าอยู่แล้ว” เขาเอ่ยตอบเสียงเบา
“ตลอดกาลหรือไม่?”
“เหิงปัว” ผ่านไปเนิ่นนานเขาเอ่ยว่า “แม้แต่ตัวเจ้าเองยังไม่กล้าเชื่อนิรันดร์กาล”
“ไม่ ข้าเชื่อ” นางพิงอยู่บนหัวไหล่เขา กล่าวว่า “และเพราะว่าเชื่อ ฉะนั้นข้าถึงระมัดระวัง”
“ข้าก็เชื่อเช่นกัน” เขาเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าขอเพียงทุ่มเทพยายามสุดกำลัง บนโลกใบนี้ไม่มีฟากฝั่งใดที่ไม่อาจไปถึง”
กลิ่นหอมกรุ่นบริสุทธิ์เลิศล้ำและเยือกเย็นบนกายของเขาโชยมาเจือจาง ทว่าใจของนางมิได้สงบสุขด้วยเหตุนี้ กลับจะล่องลอยด้วยความกระวนกระวายไม่สงบสุขหลายส่วน ใต้ริมฝีปากนางคือผิวกายข้างลำคอเขา เหน็บหนาวเพียงน้อยดุจดวงเดือน อ่อนนุ่มยืดหยุ่นแลเกลี้ยงเกลา กลิ่นอายหอมกรุ่นเยือกเย็นและกลิ่นอายบุรุษอันโดดเด่นซึ่งเป็นของเขาซึมซาบสู่ร่าง นางอดจะซุกหน้าเข้าไปสูดหายใจลึกล้ำไม่ได้
นิ้วมือไถลตามรัศมีโค้งของสันหลัง ทอดลงบนเอวผอมเพรียวของเขา นางรับรู้ว่าเรือนร่างของเขาดุจหยก ทว่าใจล่องลอยเชื่องช้าอยู่กลางอากาศ พลันอยากจะได้รับมากยิ่งขึ้น ถาโถมให้ลึกยิ่งขึ้น ครอบครองซึ่งกันและกันกับบุรุษเบื้องหน้าผู้นี้ที่ตนเองชื่นชอบจากจริงใจเพียงหนึ่งเดียวอีกขั้นหนึ่ง
ปลอบโยนเขาอีกขั้นหนึ่ง และปลอบโยนจิตใจของตนเองด้วย
ความเจ้าชู้นานหลายปีที่ผ่านมาคือภาพมายา ภายในใจของนางยืนหยัดรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ยึดมั่นในศีลธรรมประเพณี เพียงแค่ไม่อยากทิ้งขว้างทุกสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของสตรีโดยง่ายดาย
เหลือไว้ให้ความรัก และมิใช่เหลือไว้ให้เพียงการสมรส
ภายในใจเลือนรางเคลิบเคลิ้ม ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ทว่านางหวังเพียงทำตามความปรารถนาชั่วครู่นี้ของตนเอง…บนโลกนี้ ชีวิตคนมีพันธนาการมากมาย ใช้ชีวิตให้เต็มที่นั้นยากเย็นเป็นที่สุด
นางเงยหน้าขึ้นเลียติ่งหูของเขาอย่างแผ่วเบา มองเห็นติ่งหูของเขาพลันแดงซ่านดุจหยาดปะการังอย่างพึงพอใจ
ยามนี้ เสียงแผ่วเบาของนางดั่งความฝัน ทว่าแจ่มชัด กระซิบว่า “…ต้องการข้าหรือไม่?”