เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 2 อยากสังหารข้าหรือไม่

ข้างหลังนางมีเหล่าขุนนางที่อยู่ในนครของหกแคว้นแปดชนเผ่าตามมาอย่างเงียบเชียบ ทุกคนมีสีหน้าเขียวคล้ำ  

 

 

“ข้าไม่รู้ข้อตกลงนี้! หากสังหารคนเพียงเพราะไม่อาจเติมเต็มข้อตกลงนี้ ข้ายังนับว่ามีสมองอยู่หรือ? ข้าไม่รู้ระดับความรุนแรงของเรื่องราวนี้หรือ? ข้าอยากสร้างปัญหาให้ตนเองหรือ!”  

 

 

“เจ้ากระทำเรื่องราวกำเริบเสิบสานตามใจตน เคยสนใจกฎเกณฑ์ศีลธรรมด้วยหรือ?” เสียงตะโกนก้องปานสายฟ้าฟาด เคียงคู่ด้วยเสียงเสียดสีดังเคร้งของแผ่นเหล็กแผ่นเกราะและฝีก้าวกึ่งเดินกึ่งวิ่งที่รวดเร็วเป็นระเบียบของทหารโดยเฉพาะ ทหารม้าควบอาชาดำผู้หนึ่งพลันเหินพุ่งออกมาจากความมืดมิด เสียงมาก่อนร่างตนดังก้องสะท้านจัตุรัสว่า “ยามแรกบุตรข้าไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับเจ้า เจ้ายังควบคุมรถม้าเพลิงชนบุตรข้าจนสิ้นชีพต่อหน้าคนนับมิถ้วนที่ตลาดย่านตรอกหลิวหลีได้! คั่งหลงของข้าเป็นทหารแกร่งลำดับหนึ่ง มีความสัมพันธ์สายตรงกับราชครู เพียงราชครูปฏิบัติต่อเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น เจ้ายังลงมือเ**้ยมโหดโดยไม่สนใจผลลัพธ์เช่นนี้ได้ แล้วเจ้าจะพะว้าพะวังผลลัพธ์ ไม่กล้าสังหารสมุหพระกลาโหมเผ่าฝูสุ่ยที่กีดขวางผลประโยชน์เจ้าคนหนึ่งได้อย่างไร? เจ้าใจดำอำมหิตเช่นนี้ กระทำเรื่องราวใช้อำนาจบาตรใหญ่ เจ้าเคยพะว้าพะวังเรื่องใดด้วยหรือ!”  

 

 

ภายใต้แสงไฟเขาผมเผ้าหนวดเครายุ่งเหยิงท่าทางโกรธแค้น ฮึกเหิมสั่นสะท้าน ผมดำทั่วศีรษะขาวโพลนจนสิ้น ข้างหลังมีทหารคลาคล่ำดุจกระแสธารพุ่งเข้าสู่จัตุรัสอย่างเงียบเชียบ แผ่นเกราะสีดำครามเปล่งประกายเฉยชาใต้แสงไฟเหลืองสลัวกลุ่มหนึ่ง  

 

 

“ใช่แล้ว! เจ้ากองเซ่นไหว้ซังเคารพรักให้เกียรติเจ้า ทว่าพอเจ้าเข้าวังมากลับพุ่งหัวหอกโจมตีไปยังนาง ทำลายหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้โดยไม่มีสาเหตุ สังหารองครักษ์กองเซ่นไหว้ กวาดล้างตระกูลซังทั้งตระกูลเพื่อยึดอำนาจ! เจ้ายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์แต่ทะเยอทะยานมากล้นแล้ว ทำร้ายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ถอดถอนตระกูลใหญ่โต แย่งชิงอำนาจทางการเมือง สิ่งที่เจ้าต้องการไม่เพียงแค่ตำแหน่งราชินีเท่านั้น! สิ่งที่เจ้าต้องการคือล้มล้างกฎเกณฑ์ร้อยปีนี้ ล้มล้างสถานการณ์มั่นคงในราชสำนักนี้ ล้มล้างกฎเหล็กและโลกหล้านับร้อยปีของต้าฮวงเรา!”  

 

 

“มีวาจาประโยคหนึ่งเอ่ยได้ถูกต้อง เจ้าคือทูตที่แบกรับภารกิจมาสู่ต้าฮวงโดยแท้ มิใช่ทูตแห่งทวยเทพทว่าเป็นทูตแห่งปีศาจ! การมาถึงของเจ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือต้าฮวง แต่เพื่อบ่อนทำลายต้าฮวง!”  

 

 

“ตั้งแต่เจ้าเข้าวังมาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สักข้อ ไม่เคยเรียนรู้คัมภีร์พิธีการสักเล่ม ไม่เคยได้พบมามาผู้ชี้นำสักครั้ง ซ้ำยังทำให้ขุนนางที่กองพิธีการเราส่งไปอับอายขายหน้าหลายครั้ง ราชินีเช่นเจ้านี้จะดำรงตำแหน่งอย่างสงบสุข จะรักษาความมั่นคงของสถานการณ์ในราชสำนักต้าฮวงเราได้อย่างไร? หากเจ้าไม่สิ้นชีพ พวกข้าย่อมต้องได้เห็นเจ้าทำลายล้างราชสำนัก เป็นอันตรายต่ออาณาประชาราษฎร์!” คราวนี้ผู้ที่เดินโซซัดโซเซออกมาคือเสนาพิธีการที่หายจากอาการป่วยแล้วในที่สุด ข้างหลังเขามีขุนนางทั้งกองพิธีการยืนอยู่ด้วย ทุกคนมีใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเปี่ยมอารมณ์รุนแรง…หลังจากรับเสด็จจิ่งเหิงปัวแล้ว กองพิธีการซึ่งเป็นกองลำดับแรกแห่งห้ากองตกอยู่ในสภาพที่ถูกข่มเหงรังแกเป็นที่สุดนับแต่ก่อตั้ง ทุกคนอึดอัดใจจนถึงบัดนี้ ยามนี้เหลียวมองซ้ายขวา รู้สึกขึ้นมาโดยพลันว่าจิตใจปลอดโปร่ง  

 

 

“นังปีศาจต้องตาย!” ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ร้องตะโกนออกมาก่อนเป็นเสียงแรก  

 

 

“นังปีศาจต้องตาย!”  

 

 

“นังปีศาจต้องตาย!”  

 

 

เสียงคำรามดังขึ้นเป็นระลอกติดต่อกันบนจัตุรัส ยามนี้ซุ่มซ่อนสาดซัดเสมือนกระแสคลื่นหอบม้วนทั่วทั้งตี้เกอ  

 

 

ท้องนภามืดสลัว เมฆหนาลอยล่อง แสงดาราหม่นหมองไกลโพ้นพลันมืดมัว แผ่คลุมเทวรูปสูงตระหง่านของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น ทว่าดวงเนตรที่หลุบต่ำของจักรพรรดินีแผ่คลุมฝูงชนยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่อยู่ข้างล่างอย่างเยือกเย็น  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นบนจัตุรัสมีคนเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างชัดเจน มีทหาร มีหกแคว้นแปดชนเผ่า มีขุนนางฝ่ายบุ๋น มีขุนนางฝ่ายบู๊ มีกองพิธีการ มีปัญญาชน แทบจะรวบรวมส่วนประกอบทั้งหมดของโครงสร้างระดับบนแห่งต้าฮวงนี้ไว้ด้วยกัน  

 

 

ทุกคนยกเว้นราษฎรต้าฮวงที่ไม่มีฐานะที่สุด  

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง  

 

 

เบียดเสียดกันอย่างยิ่ง  

 

 

คนคนเดียวทำให้คนมากมายขนาดนี้คัดค้านได้ นับว่านางยอดเยี่ยมเช่นกัน  

 

 

ขณะนี้นางรู้ว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว ถึงอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ เฉกเช่นที่กงอิ้นเอ่ยไว้ว่ากับดักที่วางไว้ดีแล้วย่อมไร้ซึ่งข้อบกพร่อง คนฝูงนี้ร่วมมือกันทุ่มเทความคิดมาตั้งนานแล้ว วันที่พวกเขาเฝ้ารอก็ไม่ใช่วันนี้เหรอ?  

 

 

เรื่องสัญญาในวันนั้น แม้นางแย่งมาได้ใบหนึ่ง แต่สิ่งที่นางสนใจมีเพียงเรื่องยกเลิกพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จบรรทัดสุดท้าย ข้างหน้ามีข้อสัญญาของหกแคว้นแปดชนเผ่ามากมายขนาดนั้นจะมัวมาอ่านโดยละเอียดทีละข้อเสียที่ไหน ภายหลังเรื่องการจัดการการเมืองในราชสำนักที่เกี่ยวข้องกับกงอิ้นเรื่องนี้ นางไม่มีความตั้งใจจะถามและไม่รู้เรื่องที่กงอิ้นได้ให้เผ่าฝูสุ่ยจัดการยกผลผลิตให้นาง  

 

 

แต่ตอนนี้ถ้ากล่าวว่าไม่รู้เรื่อง ใครเล่าจะเชื่อ?  

 

 

ยิ่งกว่านั้นยังมีเงื่อนตายที่จับพลัดจับผลูผูกไว้ ยากจะแก้ปมเหล่านั้น  

 

 

ขอเพียงนางไม่ยอมเป็นหุ่นเชิด ขอเพียงนางอยากเป็นตนเอง ขอเพียงนางอยากดิ้นรนมีชีวิตต่อไป นางย่อมถูกลิขิตให้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเส้นกั้นเขตแดนกับคนเหล่านี้เสมอ  

 

 

โครงสร้างของต้าฮวงไม่อาจสั่นคลอน ผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองไม่อาจรุกราน คนที่ลงมือกับนางเหล่านั้นไม่ยอมให้นางต่อต้าน หากต่อต้านเท่ากับไม่อยู่ในโอวาท เป็นผู้มีความทะเยอทะยานมากล้น เป็นนางปีศาจล่มแคว้น  

 

 

คนที่นางล้มล้างล่วงเกินไม่ใช่ซังต้งกับจ้าวซื่อจื๋อ แต่เป็นกลุ่มได้เสียผลประโยชน์ทั่วทั้งต้าฮวง  

 

 

ขณะเดียวกันที่นางป้องกันตนเองได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวไปด้วย หวาดกลัวจนรวมกลุ่มกันขึ้นมาร่วมแรงร่วมใจรับมือนางเป็นครั้งแรก  

 

 

ร่องธารรอยร้าวเกิดมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ข้ามผ่านอย่างไม่สะทกสะท้าน  

 

 

หากนางไม่สังหารพวกเขา พวกเขาย่อมสังหารนาง  

 

 

เสียงแหลมคมเย็นเยือกเหล่านั้นกลายเป็นมีดคม แต่ละเล่มปักมาบนกำแพงวัง นางอยู่ท่ามกลางมีดนับหมื่นเล่ม  

 

 

พอถึงเวลานี้ นางกลับไม่โกรธแค้นอีกแล้ว เบื้องลึกในใจคือความสุขุมเยือกเย็น เอ่อล้นท่วมท้นด้วยความเกลียดชังที่มีต่อพวกวางมาดภูมิฐานฝูงนี้  

 

 

นางรู้มาโดยตลอดว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้า รู้ว่าการต่อสู้กับกลุ่มผลประโยชน์อย่างสะเพร่าก่อนที่ตนเองได้ควบคุมพละกำลังมากกว่านี้ คนที่เสียเปรียบมีแต่ตนเอง นางยอมเลือกหนทางผ่อนคลายซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันได้ เสแสร้งแกล้งทำเพื่อเรื่องนี้โดยไม่เสียดาย จนถึงวันนี้เพียงได้อำนาจในการฟังการเมือง  

 

 

แต่ว่าคนพวกนี้เคยปล่อยนางไปสักวันหนึ่งหรือเปล่า?  

 

 

นางยังไม่ทันได้เข้าเขตแดนต้าฮวง ซังต้งก็วางแผนสังหารนาง  

 

 

นางทำลายซังต้งเพื่อป้องกันตนเอง ฉะนั้นจึงถูกขุนนางทั้งหลายระมัดระวัง  

 

 

หากกล่าวว่าลูกชายของเฉิงกูมั่วตายด้วยเงื้อมมือนาง ยังไม่สู้กล่าวว่าตายด้วยแผนร้ายที่ซ่อนแฝง  

 

 

จ้าวซื่อจื๋อมีจิตใจสกปรกโสมม ทว่าปิดบังความจริงด้วยหน้ากากแห่งคุณธรรม ปลุกระดมขุนนางฝ่ายบุ๋นและปัญญาชนที่ไม่รู้เรื่องราวให้หลับหูหลับตาเชื่อฟัง  

 

 

การเสียชีวิตของสมุหพระกลาโหมเฉิงยิ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง  

 

 

ไม่ใช่ เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังมีเงาร่างหนึ่ง  

 

 

เงาร่างที่ซ่อนแฝงไม่เคยแสดงรูปร่างคล้ายมีแต่ไม่มีนิ่งเงียบอยู่หลังฝูงชน ใช้สายตาปานวิหคดุร้ายจ้องมองนางจนครั่นคร้าม ไม่ลงมือโดยง่าย ทว่าพอลงมือมุ่งตรงสามชุ่น พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ  

 

 

นางคือรถม้าที่พุ่งสู่สนามการเมืองต้าฮวง เดิมทีวางแผนจะค่อยๆ หาหนทางแล่นไปข้างหน้า ค่อยๆ บุกเบิกเส้นทางซึ่งเป็นของตนเอง ทว่ามีมือคู่หนึ่งคอยผลักอยู่ข้างหลัง รอคอยหวังส่งนางมุ่งสู่จุดจบ  

 

 

เป็นใคร? เป็นใครกัน?  

 

 

“สังหารนังปีศาจ!” เสียงร้องบนจัตุรัสดังก้องมากยิ่งขึ้น  

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะเล็กน้อย  

 

 

ณ จัตุรัสแห่งนี้เช่นเดียวกัน นางเคยได้รับเสียงร้องยินดีจากคนนับไม่ถ้วนด้วยเพราะช่วยเหลือราษฎรตี้เกอ  

 

 

บัดนี้ ที่ลานกว้างแห่งนี้นางประสบความมุ่งร้ายจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกผู้คนตีตัวออกหาก  

 

 

ทุกผู้คนตีตัวออกหาก…  

 

 

นางหันหน้าเล็กน้อย มองดูกงอิ้นที่ไม่ได้เอ่ยวาจาใดมาโดยตลอด  

 

 

ภายใต้ท้องนภาที่มืดมิด ดวงเนตรของเขาเย็นชาสว่างไสว คล้ายไม่ประหลาดใจกับสภาพการณ์ตรงหน้า  

 

 

“ทหารคั่งหลง!” กงอิ้นพลันเอ่ยวาจา เสียงแว่วไปไกลโพ้นบนจัตุรัส สยบคลื่นเสียงทุกเสียงไว้โดยพลัน เอ่ยว่า “ไม่มีคำสั่งทางทหาร ประตูค่ายไม่เปิดออก ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าปรากฏกายที่นี่ในค่ำคืนนี้!”  

 

 

ทุกคนเหน็บหนาว เงยหน้ามองข้างบนพระราชวัง บุรุษสวมอาภรณ์ขาวดุจหิมะ สตรีสวมอาภรณ์แดงดั่งเพลิง ยืนเคียงกันอยู่ภายใต้ไอควันรุ่งโรจน์แห่งพระราชวัง ราวกับเทพเซียนครองคู่  

 

 

ทุกผู้คนต่างสั่นสะท้าน นึกถึงฐานะและบารมีของบุรุษผู้นี้ นึกถึงยามที่เขาใช้ฐานะต่ำต้อยมุ่งสู่ตำแหน่งสูงส่งภายในระยะเวลาอันสั้น ครอบครองอำนาจทางการเมือง ฝ่ามือกุมอำนาจแห่งแคว้น มองดูต้าฮวงจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง  

 

 

นึกถึงความดื้อรั้น ความแข็งกร้าวและวิธีเผด็จการดุเดือดรุนแรงที่มีต่อผู้คัดค้านของเขาตามที่เล่าลือกัน  

 

 

บนจัตุรัสเงียบสงัด สายลมหนาวเย็นแห่งค่ำคืนเหมันต์คำรามผันผ่าน  

 

 

ทว่ามีทหารม้านายหนึ่ง ควบอาชาข้ามฝูงชนออกมาอย่างเ**้ยมหาญ  

 

 

“ราชครู!”เฉิงกูมั่วควบอาชาเดียวดาย เดินห่างออกมาจากแถว แหงนหน้ามองบุรุษบนกำแพงวัง  

 

 

สองมือของกงอิ้นพิงกำแพง มองลงไปอย่างเย็นชา สายตาของเขาดุจน้ำแข็งทว่าสายตาของเฉิงกูมั่วดั่งเปลวไฟ น้ำแข็งกับเปลวไฟกระทบกันจนคล้ายมีประกายไฟสาดกระเซ็น  

 

 

“เฉิงกูมั่ว ข้าจำได้ว่าเจ้าคล้ายหยุดการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ไร้อำนาจระดมพลทหารคั่งหลง” เสียงเย็นยะเยือกของกงอิ้นเอ่ยว่า “ผู้ขยับเขยื้อนกองทัพ สิ้นชีพ!”  

 

 

“ในเมื่อวันนี้ข้าเฉิงกูมั่วยืนขึ้นมาเป็นคนแรก ย่อมเตรียมพร้อมที่จะสิ้นชีพแล้ว” เฉิงกูมั่วแสยะยิ้มเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ราชครู ข้าเตรียมใช้ความตายคัดค้านทัดทานท่าน…ท่านคงกลับตัวกลับใจแล้วกระมัง!”  

 

 

ตะโกนลั่นเสียงหนึ่งดุจสายฟ้าฟาด สะเทือนจนตะเกียงสันกำแพงคล้ายกำลังสั่นไหวแผ่วเบา แสงรุ่งโรจน์วูบไหวไม่แน่นอนบนใบหน้าของกงอิ้น ไม่อาจสาดส่องสีหน้าบนใบหน้าของเขาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง  

 

 

เขาไม่ได้มีการตอบสนองต่อวาจาประโยคนี้  

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านในใจ มองเขาอีกครั้ง ไร้หนทางจำแนกสีหน้าขณะนี้ของเขาเช่นเคย  

 

 

“ผู้ที่ควรกลับตัวกลับใจคงจะเป็นเจ้า” มือของกงอิ้นกวัดแกว่งเพียงครั้ง  

 

 

เสียงฝีเท้าสวบสาบดังแว่วมาจากทั่วสารทิศ พอทุกคนบนจัตุรัสหันหน้ากลับไป มองเห็นอวี้จ้าวหลงฉีสีขาวราวหิมะพุ่งเข้ามาจากประตูทั้งสี่ของจัตุรัสอย่างรวดเร็ว พลันปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัสดุจหิมะหนักน่าครั่นคร้ามผืนหนึ่ง  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งนั้นปรากฏขึ้นมาราวกับลอกคราบออกมาจากความมืดมิด รู้สึกวางใจขึ้นบ้าง กงอิ้นมีการตระเตรียมอย่างที่นางคิดไว้  

 

 

แม้กลางลานกว้างมีทหารคั่งหลง ทว่าจำนวนคนไม่น่าหวาดกลัว อวี้จ้าวหลงฉีครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์  

 

 

บนจัตุรัสเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยทว่าไม่ดุเดือดรุนแรง วุ่นวายเพียงน้อยแล้วเงียบสงบอีกครั้ง โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋นและปัญญาชนกลุ่มหนึ่งนั้น หลายคนหัวเราะฮ่าๆ ปานสมความมุ่งมาดปรารถนา นั่งลงบนพื้นเสียเลย  

 

 

“ราชครูคิดจะใช้วิธีเผด็จการปราบปรามพวกข้าจริงด้วย!” ปัญญาชนอ่อนวัยผู้หนึ่งยกแขนร้องว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จงให้โลหิตของข้าเปรอะเปื้อนประตูวัง บนพงศาวดารภายภาคหน้า ย่อมต้องมีพวกข้าส่วนหนึ่ง!”  

 

 

ปัญญาชนหวังมีชื่อเสียง รู้สึกเพียงว่าโอกาสทิ้งนามไว้ในพงศาวดารมาถึงอีกครั้งแล้ว หากวันนี้จัตุรัสนองเลือด ไผ่ลายบันทึกประวัติศาสตร์ภายภาคหน้าเปื้อนโลหิต เพียงพอจะเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษ ตื่นเต้นดีใจไม่จบสิ้น  

 

 

“ข้าไร้อำนาจระดมพลทหารคั่งหลงแล้ว ฉะนั้นกองทัพที่ตามข้ามาในวันนี้มิใช่ระบบกองทัพคั่งหลง” เฉิงกูมั่วยืนอยู่ข้างหน้าสุดของฝูงชน เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเขาเป็นทหารของข้า เป็นสหายร่วมทัพของข้า เป็นสหายสนิทของข้า เป็นพี่น้องที่ไม่อาจเบิกตามองดูข้าถูกราชินีทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาด ยินยอมสิ้นชีพด้วยกันกับข้าเพื่อช่วยข้าแก้แค้น”  

 

 

เสียงวาจาของเขาเพิ่งสิ้นลง เหล่าทหารเกราะเขียวข้างหลังก็ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งโดยพร้อมเพรียง  

 

 

“หน่วยอวี๋ซานแถวแรกแห่งค่ายครามคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

 

 

“หวังต้าหย่งทหารแถวเจ็ดแห่งค่ายม่วงคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

 

 

“หวงต๋าผู้บัญชาการหลักแห่งค่ายขาวคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

 

 

“เซี่ยหลินรองขุนพลแห่งค่ายฟ้าคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 2 อยากสังหารข้าหรือไม่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 2 อยากสังหารข้าหรือไม่

ข้างหลังนางมีเหล่าขุนนางที่อยู่ในนครของหกแคว้นแปดชนเผ่าตามมาอย่างเงียบเชียบ ทุกคนมีสีหน้าเขียวคล้ำ  

 

 

“ข้าไม่รู้ข้อตกลงนี้! หากสังหารคนเพียงเพราะไม่อาจเติมเต็มข้อตกลงนี้ ข้ายังนับว่ามีสมองอยู่หรือ? ข้าไม่รู้ระดับความรุนแรงของเรื่องราวนี้หรือ? ข้าอยากสร้างปัญหาให้ตนเองหรือ!”  

 

 

“เจ้ากระทำเรื่องราวกำเริบเสิบสานตามใจตน เคยสนใจกฎเกณฑ์ศีลธรรมด้วยหรือ?” เสียงตะโกนก้องปานสายฟ้าฟาด เคียงคู่ด้วยเสียงเสียดสีดังเคร้งของแผ่นเหล็กแผ่นเกราะและฝีก้าวกึ่งเดินกึ่งวิ่งที่รวดเร็วเป็นระเบียบของทหารโดยเฉพาะ ทหารม้าควบอาชาดำผู้หนึ่งพลันเหินพุ่งออกมาจากความมืดมิด เสียงมาก่อนร่างตนดังก้องสะท้านจัตุรัสว่า “ยามแรกบุตรข้าไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับเจ้า เจ้ายังควบคุมรถม้าเพลิงชนบุตรข้าจนสิ้นชีพต่อหน้าคนนับมิถ้วนที่ตลาดย่านตรอกหลิวหลีได้! คั่งหลงของข้าเป็นทหารแกร่งลำดับหนึ่ง มีความสัมพันธ์สายตรงกับราชครู เพียงราชครูปฏิบัติต่อเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น เจ้ายังลงมือเ**้ยมโหดโดยไม่สนใจผลลัพธ์เช่นนี้ได้ แล้วเจ้าจะพะว้าพะวังผลลัพธ์ ไม่กล้าสังหารสมุหพระกลาโหมเผ่าฝูสุ่ยที่กีดขวางผลประโยชน์เจ้าคนหนึ่งได้อย่างไร? เจ้าใจดำอำมหิตเช่นนี้ กระทำเรื่องราวใช้อำนาจบาตรใหญ่ เจ้าเคยพะว้าพะวังเรื่องใดด้วยหรือ!”  

 

 

ภายใต้แสงไฟเขาผมเผ้าหนวดเครายุ่งเหยิงท่าทางโกรธแค้น ฮึกเหิมสั่นสะท้าน ผมดำทั่วศีรษะขาวโพลนจนสิ้น ข้างหลังมีทหารคลาคล่ำดุจกระแสธารพุ่งเข้าสู่จัตุรัสอย่างเงียบเชียบ แผ่นเกราะสีดำครามเปล่งประกายเฉยชาใต้แสงไฟเหลืองสลัวกลุ่มหนึ่ง  

 

 

“ใช่แล้ว! เจ้ากองเซ่นไหว้ซังเคารพรักให้เกียรติเจ้า ทว่าพอเจ้าเข้าวังมากลับพุ่งหัวหอกโจมตีไปยังนาง ทำลายหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้โดยไม่มีสาเหตุ สังหารองครักษ์กองเซ่นไหว้ กวาดล้างตระกูลซังทั้งตระกูลเพื่อยึดอำนาจ! เจ้ายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์แต่ทะเยอทะยานมากล้นแล้ว ทำร้ายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ถอดถอนตระกูลใหญ่โต แย่งชิงอำนาจทางการเมือง สิ่งที่เจ้าต้องการไม่เพียงแค่ตำแหน่งราชินีเท่านั้น! สิ่งที่เจ้าต้องการคือล้มล้างกฎเกณฑ์ร้อยปีนี้ ล้มล้างสถานการณ์มั่นคงในราชสำนักนี้ ล้มล้างกฎเหล็กและโลกหล้านับร้อยปีของต้าฮวงเรา!”  

 

 

“มีวาจาประโยคหนึ่งเอ่ยได้ถูกต้อง เจ้าคือทูตที่แบกรับภารกิจมาสู่ต้าฮวงโดยแท้ มิใช่ทูตแห่งทวยเทพทว่าเป็นทูตแห่งปีศาจ! การมาถึงของเจ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือต้าฮวง แต่เพื่อบ่อนทำลายต้าฮวง!”  

 

 

“ตั้งแต่เจ้าเข้าวังมาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สักข้อ ไม่เคยเรียนรู้คัมภีร์พิธีการสักเล่ม ไม่เคยได้พบมามาผู้ชี้นำสักครั้ง ซ้ำยังทำให้ขุนนางที่กองพิธีการเราส่งไปอับอายขายหน้าหลายครั้ง ราชินีเช่นเจ้านี้จะดำรงตำแหน่งอย่างสงบสุข จะรักษาความมั่นคงของสถานการณ์ในราชสำนักต้าฮวงเราได้อย่างไร? หากเจ้าไม่สิ้นชีพ พวกข้าย่อมต้องได้เห็นเจ้าทำลายล้างราชสำนัก เป็นอันตรายต่ออาณาประชาราษฎร์!” คราวนี้ผู้ที่เดินโซซัดโซเซออกมาคือเสนาพิธีการที่หายจากอาการป่วยแล้วในที่สุด ข้างหลังเขามีขุนนางทั้งกองพิธีการยืนอยู่ด้วย ทุกคนมีใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเปี่ยมอารมณ์รุนแรง…หลังจากรับเสด็จจิ่งเหิงปัวแล้ว กองพิธีการซึ่งเป็นกองลำดับแรกแห่งห้ากองตกอยู่ในสภาพที่ถูกข่มเหงรังแกเป็นที่สุดนับแต่ก่อตั้ง ทุกคนอึดอัดใจจนถึงบัดนี้ ยามนี้เหลียวมองซ้ายขวา รู้สึกขึ้นมาโดยพลันว่าจิตใจปลอดโปร่ง  

 

 

“นังปีศาจต้องตาย!” ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ร้องตะโกนออกมาก่อนเป็นเสียงแรก  

 

 

“นังปีศาจต้องตาย!”  

 

 

“นังปีศาจต้องตาย!”  

 

 

เสียงคำรามดังขึ้นเป็นระลอกติดต่อกันบนจัตุรัส ยามนี้ซุ่มซ่อนสาดซัดเสมือนกระแสคลื่นหอบม้วนทั่วทั้งตี้เกอ  

 

 

ท้องนภามืดสลัว เมฆหนาลอยล่อง แสงดาราหม่นหมองไกลโพ้นพลันมืดมัว แผ่คลุมเทวรูปสูงตระหง่านของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น ทว่าดวงเนตรที่หลุบต่ำของจักรพรรดินีแผ่คลุมฝูงชนยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่อยู่ข้างล่างอย่างเยือกเย็น  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นบนจัตุรัสมีคนเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างชัดเจน มีทหาร มีหกแคว้นแปดชนเผ่า มีขุนนางฝ่ายบุ๋น มีขุนนางฝ่ายบู๊ มีกองพิธีการ มีปัญญาชน แทบจะรวบรวมส่วนประกอบทั้งหมดของโครงสร้างระดับบนแห่งต้าฮวงนี้ไว้ด้วยกัน  

 

 

ทุกคนยกเว้นราษฎรต้าฮวงที่ไม่มีฐานะที่สุด  

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง  

 

 

เบียดเสียดกันอย่างยิ่ง  

 

 

คนคนเดียวทำให้คนมากมายขนาดนี้คัดค้านได้ นับว่านางยอดเยี่ยมเช่นกัน  

 

 

ขณะนี้นางรู้ว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว ถึงอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ เฉกเช่นที่กงอิ้นเอ่ยไว้ว่ากับดักที่วางไว้ดีแล้วย่อมไร้ซึ่งข้อบกพร่อง คนฝูงนี้ร่วมมือกันทุ่มเทความคิดมาตั้งนานแล้ว วันที่พวกเขาเฝ้ารอก็ไม่ใช่วันนี้เหรอ?  

 

 

เรื่องสัญญาในวันนั้น แม้นางแย่งมาได้ใบหนึ่ง แต่สิ่งที่นางสนใจมีเพียงเรื่องยกเลิกพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จบรรทัดสุดท้าย ข้างหน้ามีข้อสัญญาของหกแคว้นแปดชนเผ่ามากมายขนาดนั้นจะมัวมาอ่านโดยละเอียดทีละข้อเสียที่ไหน ภายหลังเรื่องการจัดการการเมืองในราชสำนักที่เกี่ยวข้องกับกงอิ้นเรื่องนี้ นางไม่มีความตั้งใจจะถามและไม่รู้เรื่องที่กงอิ้นได้ให้เผ่าฝูสุ่ยจัดการยกผลผลิตให้นาง  

 

 

แต่ตอนนี้ถ้ากล่าวว่าไม่รู้เรื่อง ใครเล่าจะเชื่อ?  

 

 

ยิ่งกว่านั้นยังมีเงื่อนตายที่จับพลัดจับผลูผูกไว้ ยากจะแก้ปมเหล่านั้น  

 

 

ขอเพียงนางไม่ยอมเป็นหุ่นเชิด ขอเพียงนางอยากเป็นตนเอง ขอเพียงนางอยากดิ้นรนมีชีวิตต่อไป นางย่อมถูกลิขิตให้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเส้นกั้นเขตแดนกับคนเหล่านี้เสมอ  

 

 

โครงสร้างของต้าฮวงไม่อาจสั่นคลอน ผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองไม่อาจรุกราน คนที่ลงมือกับนางเหล่านั้นไม่ยอมให้นางต่อต้าน หากต่อต้านเท่ากับไม่อยู่ในโอวาท เป็นผู้มีความทะเยอทะยานมากล้น เป็นนางปีศาจล่มแคว้น  

 

 

คนที่นางล้มล้างล่วงเกินไม่ใช่ซังต้งกับจ้าวซื่อจื๋อ แต่เป็นกลุ่มได้เสียผลประโยชน์ทั่วทั้งต้าฮวง  

 

 

ขณะเดียวกันที่นางป้องกันตนเองได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวไปด้วย หวาดกลัวจนรวมกลุ่มกันขึ้นมาร่วมแรงร่วมใจรับมือนางเป็นครั้งแรก  

 

 

ร่องธารรอยร้าวเกิดมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ข้ามผ่านอย่างไม่สะทกสะท้าน  

 

 

หากนางไม่สังหารพวกเขา พวกเขาย่อมสังหารนาง  

 

 

เสียงแหลมคมเย็นเยือกเหล่านั้นกลายเป็นมีดคม แต่ละเล่มปักมาบนกำแพงวัง นางอยู่ท่ามกลางมีดนับหมื่นเล่ม  

 

 

พอถึงเวลานี้ นางกลับไม่โกรธแค้นอีกแล้ว เบื้องลึกในใจคือความสุขุมเยือกเย็น เอ่อล้นท่วมท้นด้วยความเกลียดชังที่มีต่อพวกวางมาดภูมิฐานฝูงนี้  

 

 

นางรู้มาโดยตลอดว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้า รู้ว่าการต่อสู้กับกลุ่มผลประโยชน์อย่างสะเพร่าก่อนที่ตนเองได้ควบคุมพละกำลังมากกว่านี้ คนที่เสียเปรียบมีแต่ตนเอง นางยอมเลือกหนทางผ่อนคลายซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันได้ เสแสร้งแกล้งทำเพื่อเรื่องนี้โดยไม่เสียดาย จนถึงวันนี้เพียงได้อำนาจในการฟังการเมือง  

 

 

แต่ว่าคนพวกนี้เคยปล่อยนางไปสักวันหนึ่งหรือเปล่า?  

 

 

นางยังไม่ทันได้เข้าเขตแดนต้าฮวง ซังต้งก็วางแผนสังหารนาง  

 

 

นางทำลายซังต้งเพื่อป้องกันตนเอง ฉะนั้นจึงถูกขุนนางทั้งหลายระมัดระวัง  

 

 

หากกล่าวว่าลูกชายของเฉิงกูมั่วตายด้วยเงื้อมมือนาง ยังไม่สู้กล่าวว่าตายด้วยแผนร้ายที่ซ่อนแฝง  

 

 

จ้าวซื่อจื๋อมีจิตใจสกปรกโสมม ทว่าปิดบังความจริงด้วยหน้ากากแห่งคุณธรรม ปลุกระดมขุนนางฝ่ายบุ๋นและปัญญาชนที่ไม่รู้เรื่องราวให้หลับหูหลับตาเชื่อฟัง  

 

 

การเสียชีวิตของสมุหพระกลาโหมเฉิงยิ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง  

 

 

ไม่ใช่ เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังมีเงาร่างหนึ่ง  

 

 

เงาร่างที่ซ่อนแฝงไม่เคยแสดงรูปร่างคล้ายมีแต่ไม่มีนิ่งเงียบอยู่หลังฝูงชน ใช้สายตาปานวิหคดุร้ายจ้องมองนางจนครั่นคร้าม ไม่ลงมือโดยง่าย ทว่าพอลงมือมุ่งตรงสามชุ่น พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ  

 

 

นางคือรถม้าที่พุ่งสู่สนามการเมืองต้าฮวง เดิมทีวางแผนจะค่อยๆ หาหนทางแล่นไปข้างหน้า ค่อยๆ บุกเบิกเส้นทางซึ่งเป็นของตนเอง ทว่ามีมือคู่หนึ่งคอยผลักอยู่ข้างหลัง รอคอยหวังส่งนางมุ่งสู่จุดจบ  

 

 

เป็นใคร? เป็นใครกัน?  

 

 

“สังหารนังปีศาจ!” เสียงร้องบนจัตุรัสดังก้องมากยิ่งขึ้น  

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะเล็กน้อย  

 

 

ณ จัตุรัสแห่งนี้เช่นเดียวกัน นางเคยได้รับเสียงร้องยินดีจากคนนับไม่ถ้วนด้วยเพราะช่วยเหลือราษฎรตี้เกอ  

 

 

บัดนี้ ที่ลานกว้างแห่งนี้นางประสบความมุ่งร้ายจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกผู้คนตีตัวออกหาก  

 

 

ทุกผู้คนตีตัวออกหาก…  

 

 

นางหันหน้าเล็กน้อย มองดูกงอิ้นที่ไม่ได้เอ่ยวาจาใดมาโดยตลอด  

 

 

ภายใต้ท้องนภาที่มืดมิด ดวงเนตรของเขาเย็นชาสว่างไสว คล้ายไม่ประหลาดใจกับสภาพการณ์ตรงหน้า  

 

 

“ทหารคั่งหลง!” กงอิ้นพลันเอ่ยวาจา เสียงแว่วไปไกลโพ้นบนจัตุรัส สยบคลื่นเสียงทุกเสียงไว้โดยพลัน เอ่ยว่า “ไม่มีคำสั่งทางทหาร ประตูค่ายไม่เปิดออก ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าปรากฏกายที่นี่ในค่ำคืนนี้!”  

 

 

ทุกคนเหน็บหนาว เงยหน้ามองข้างบนพระราชวัง บุรุษสวมอาภรณ์ขาวดุจหิมะ สตรีสวมอาภรณ์แดงดั่งเพลิง ยืนเคียงกันอยู่ภายใต้ไอควันรุ่งโรจน์แห่งพระราชวัง ราวกับเทพเซียนครองคู่  

 

 

ทุกผู้คนต่างสั่นสะท้าน นึกถึงฐานะและบารมีของบุรุษผู้นี้ นึกถึงยามที่เขาใช้ฐานะต่ำต้อยมุ่งสู่ตำแหน่งสูงส่งภายในระยะเวลาอันสั้น ครอบครองอำนาจทางการเมือง ฝ่ามือกุมอำนาจแห่งแคว้น มองดูต้าฮวงจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง  

 

 

นึกถึงความดื้อรั้น ความแข็งกร้าวและวิธีเผด็จการดุเดือดรุนแรงที่มีต่อผู้คัดค้านของเขาตามที่เล่าลือกัน  

 

 

บนจัตุรัสเงียบสงัด สายลมหนาวเย็นแห่งค่ำคืนเหมันต์คำรามผันผ่าน  

 

 

ทว่ามีทหารม้านายหนึ่ง ควบอาชาข้ามฝูงชนออกมาอย่างเ**้ยมหาญ  

 

 

“ราชครู!”เฉิงกูมั่วควบอาชาเดียวดาย เดินห่างออกมาจากแถว แหงนหน้ามองบุรุษบนกำแพงวัง  

 

 

สองมือของกงอิ้นพิงกำแพง มองลงไปอย่างเย็นชา สายตาของเขาดุจน้ำแข็งทว่าสายตาของเฉิงกูมั่วดั่งเปลวไฟ น้ำแข็งกับเปลวไฟกระทบกันจนคล้ายมีประกายไฟสาดกระเซ็น  

 

 

“เฉิงกูมั่ว ข้าจำได้ว่าเจ้าคล้ายหยุดการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ไร้อำนาจระดมพลทหารคั่งหลง” เสียงเย็นยะเยือกของกงอิ้นเอ่ยว่า “ผู้ขยับเขยื้อนกองทัพ สิ้นชีพ!”  

 

 

“ในเมื่อวันนี้ข้าเฉิงกูมั่วยืนขึ้นมาเป็นคนแรก ย่อมเตรียมพร้อมที่จะสิ้นชีพแล้ว” เฉิงกูมั่วแสยะยิ้มเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ราชครู ข้าเตรียมใช้ความตายคัดค้านทัดทานท่าน…ท่านคงกลับตัวกลับใจแล้วกระมัง!”  

 

 

ตะโกนลั่นเสียงหนึ่งดุจสายฟ้าฟาด สะเทือนจนตะเกียงสันกำแพงคล้ายกำลังสั่นไหวแผ่วเบา แสงรุ่งโรจน์วูบไหวไม่แน่นอนบนใบหน้าของกงอิ้น ไม่อาจสาดส่องสีหน้าบนใบหน้าของเขาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง  

 

 

เขาไม่ได้มีการตอบสนองต่อวาจาประโยคนี้  

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านในใจ มองเขาอีกครั้ง ไร้หนทางจำแนกสีหน้าขณะนี้ของเขาเช่นเคย  

 

 

“ผู้ที่ควรกลับตัวกลับใจคงจะเป็นเจ้า” มือของกงอิ้นกวัดแกว่งเพียงครั้ง  

 

 

เสียงฝีเท้าสวบสาบดังแว่วมาจากทั่วสารทิศ พอทุกคนบนจัตุรัสหันหน้ากลับไป มองเห็นอวี้จ้าวหลงฉีสีขาวราวหิมะพุ่งเข้ามาจากประตูทั้งสี่ของจัตุรัสอย่างรวดเร็ว พลันปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัสดุจหิมะหนักน่าครั่นคร้ามผืนหนึ่ง  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งนั้นปรากฏขึ้นมาราวกับลอกคราบออกมาจากความมืดมิด รู้สึกวางใจขึ้นบ้าง กงอิ้นมีการตระเตรียมอย่างที่นางคิดไว้  

 

 

แม้กลางลานกว้างมีทหารคั่งหลง ทว่าจำนวนคนไม่น่าหวาดกลัว อวี้จ้าวหลงฉีครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์  

 

 

บนจัตุรัสเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยทว่าไม่ดุเดือดรุนแรง วุ่นวายเพียงน้อยแล้วเงียบสงบอีกครั้ง โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋นและปัญญาชนกลุ่มหนึ่งนั้น หลายคนหัวเราะฮ่าๆ ปานสมความมุ่งมาดปรารถนา นั่งลงบนพื้นเสียเลย  

 

 

“ราชครูคิดจะใช้วิธีเผด็จการปราบปรามพวกข้าจริงด้วย!” ปัญญาชนอ่อนวัยผู้หนึ่งยกแขนร้องว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จงให้โลหิตของข้าเปรอะเปื้อนประตูวัง บนพงศาวดารภายภาคหน้า ย่อมต้องมีพวกข้าส่วนหนึ่ง!”  

 

 

ปัญญาชนหวังมีชื่อเสียง รู้สึกเพียงว่าโอกาสทิ้งนามไว้ในพงศาวดารมาถึงอีกครั้งแล้ว หากวันนี้จัตุรัสนองเลือด ไผ่ลายบันทึกประวัติศาสตร์ภายภาคหน้าเปื้อนโลหิต เพียงพอจะเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษ ตื่นเต้นดีใจไม่จบสิ้น  

 

 

“ข้าไร้อำนาจระดมพลทหารคั่งหลงแล้ว ฉะนั้นกองทัพที่ตามข้ามาในวันนี้มิใช่ระบบกองทัพคั่งหลง” เฉิงกูมั่วยืนอยู่ข้างหน้าสุดของฝูงชน เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเขาเป็นทหารของข้า เป็นสหายร่วมทัพของข้า เป็นสหายสนิทของข้า เป็นพี่น้องที่ไม่อาจเบิกตามองดูข้าถูกราชินีทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาด ยินยอมสิ้นชีพด้วยกันกับข้าเพื่อช่วยข้าแก้แค้น”  

 

 

เสียงวาจาของเขาเพิ่งสิ้นลง เหล่าทหารเกราะเขียวข้างหลังก็ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งโดยพร้อมเพรียง  

 

 

“หน่วยอวี๋ซานแถวแรกแห่งค่ายครามคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

 

 

“หวังต้าหย่งทหารแถวเจ็ดแห่งค่ายม่วงคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

 

 

“หวงต๋าผู้บัญชาการหลักแห่งค่ายขาวคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

 

 

“เซี่ยหลินรองขุนพลแห่งค่ายฟ้าคั่งหลง น้อมรับความตายจากราชครู!”  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset