เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 4 อยากสังหารข้าหรือไม่

 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียกสุราถ้วยหนึ่งไว้ในมือคล้ายกำลังรวบรวมสมาธิ ทว่าส่ายหน้าหลังผ่านไปครู่ใหญ่ เอ่ยว่า “ไม่ ไม่ถูกต้อง”  

 

 

“อ้อ?”  

 

 

“ด้วยอุปนิสัยและสติปัญญาของกงอิ้น ต่อให้ถูกบีบบังคับให้จนมุมยังอาจจะตอบโต้ยามจนตรอกได้ อีกทั้งสำหรับสภาพการณ์เช่นนี้ เขาไม่ใช่ไร้ซึ่งการเตรียมตัว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรอคอยวันนี้มาโดยตลอดเช่นกัน เพื่อจะได้มองเห็นอำนาจที่คัดค้านเขาทุกกลุ่มให้ชัดเจน พวกเราจะดีใจเร็วเกินไปไม่ได้”  

 

 

“ท่านเอ่ยได้ถูกต้อง คนเช่นกงอิ้นนี้ไม่ชอบถูกบีบบังคับให้จนมุม ฉะนั้นย่อมต้องเตรียมตัวไว้บ้างแล้ว ทว่าการเตรียมตัวของเขานั้นคือการควบคุมกำลังทหารไว้ในกำมืออย่างแน่นหนา ไม่ให้ผู้ใดก็ตามมีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่พระราชวัง ถอดถอนพวกจ้าวซื่อจื๋อไม่ให้พวกเขาล้มล้างการเมืองในราชสำนัก เอ่ยได้ว่าควบคุมจากเบื้องบนของตี้เกอและการเมืองในราชสำนัก จนถึงบัดนี้เขายังคงไร้จุดอ่อนให้โจมตี ไม่ว่าผู้ใดก็สั่นคลอนเขาไม่ได้ ทว่าปัญหาคือเขาควบคุมพละกำลังภายนอกทั้งหมดได้ แต่ไร้หนทางควบคุมใจคนด้วยฝ่ามือเดียว ยามนี้สิ่งที่บีบบังคับเขาได้อย่างแท้จริงคือใจคน”  

 

 

“ใจคน…” เหยียลี่ว์ฉีพึมพำแผ่วเบาว่า “คือจิตใจของขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต้าฮวงนี้กระมัง…”  

 

 

บนใบหน้าเขาผุดเผยสีหน้ารังเกียจเล็กน้อย คล้ายไม่คิดเช่นนั้นต่อขุนนางเหล่านี้เช่นกัน  

 

 

“ไม่ว่าเป็นใจคนแบบใดล้วนเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจมองข้าม” แขกหยิบถ้วยสุราขึ้นมาชมอย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “ต่อให้เขาใช้กำลังยับยั้งการร่วมร้องทุกข์ในค่ำคืนนี้ไว้ได้ เขาจะแบกรับผลลัพธ์จากการที่คนพาใจออกห่างไม่ไหวเช่นกัน แน่นอนว่าเขาไม่อยากสูญเสียใจคนและไม่อยากสูญเสียสตรี เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยังมีทางหนีทีไล่ อย่างเช่น ส่งจิ่งเหิงปัวออกไปก่อน ภายหน้าค่อยหาโอกาสอีกครั้ง กระทำเช่นนี้ ทั้งไม่สูญเสียใจคนแลไม่สูญเสียสตรี”  

 

 

“ตามความเห็นของข้าแล้ว คงต้องเป็นเช่นนี้” เหยียลี่ว์ฉีปรบมือครั้งหนึ่ง  

 

 

แขกจ้องมองเขาอยู่ รอยยิ้มผืนหนึ่งตรงมุมปากใคร่ครวญและมองทะลจิตใจคน เอ่ยว่า “ท่านคิดเช่นกันว่าเขาจะกระทำอย่างนั้น มั่นใจว่าชีวิตของจิ่งเหิงปัวปลอดภัยไร้กังวล ฉะนั้นจึงไม่ร้อนใจเรื่องร่วมเรียกร้องให้สังหารราชินีหรือ?”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีวางถ้วยสุราลง มองดูเขาอย่างใคร่ครวญเช่นเดียวกัน  

 

 

แขกไม่ได้ไม่สบายใจด้วยเพราะสีหน้าแปลกประหลาดของเขา แววตาจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างสงบเงียบ  

 

 

“เคยมีคนบอกเจ้าหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่เหยียลี่ว์ฉีก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “แท้จริงแล้วผู้ที่ติดนิสัยชอบคาดคะเนความคิดของผู้อื่นโดยพลการโง่เขลายิ่งนัก ด้วยเพราะคนประเภทนี้มักจะสิ้นชีพรวดเร็วยิ่งยวดน่าสังเวชยวดยิ่ง”  

 

 

“โอ้? ท่านจะสังหารข้าหรือไม่?” แขกกะพริบตา  

 

 

“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?” เหยียลี่ว์ฉีฟื้นคืนรอยยิ้มจรรโลงใจของเขาอีกครั้งแล้ว  

 

 

“ไม่กระทำในยามนี้ก็พอแล้ว” แขกหัวเราะแผ่วเบาเพียงครั้ง จิบสุราอึกหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ายังคงเป็นประโยชน์ต่อท่านนะ”  

 

 

สีหน้าที่เหยียลี่ว์ฉีมองเขาอ่อนโยนดุจปฏิบัติต่อสหายสนิท  

 

 

“อืม” เขาพยักหน้า  

 

 

“หิมะตกหนักขึ้นมาหน่อยแล้ว ข้าควรไปแล้วเช่นกัน” แขกวางถ้วยสุราลง ลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้เขาชักชวนให้อยู่ต่อ เดินไปยังปากประตูโดยไม่บอกกล่าว  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้ยืนขึ้นน้อมส่งแขก ดื่มสุรากับตนเองอยู่ที่เดิม  

 

 

“จริงสิ” แขกเดินถึงปากประตูแล้วคล้ายพลันนึกเรื่องใดขึ้นมาได้ หันกายยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ลืมบอกท่านไป ข้ารู้สึกว่าความปรารถนาของท่านอาจจะล้มเหลวได้ ด้วยเพราะยังมีความเป็นไปได้ที่กงอิ้นจะสังหารราชินี แม้เขาไม่อยากสังหารแต่ข้าจะทำให้เขาจำเป็นต้องสังหาร” เขาหัวเราะแผ่วเบาพลางชี้ไปยังศีรษะ เอ่ยว่า “เรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้มีมากมายนัก!”  

 

 

เขาหัวเราะแผ่วเบา ปล่อยม่านสยายลง เงาร่างเยื้องกรายทะลุผ่านระเบียงทางเดินรอบจวน  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมองเงาด้านหลังของเขาสูญสลาย รอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงตรงมุมปากค่อยๆ จางหาย  

 

 

“ซื่อเสี่ย” เขาคล้ายเอ่ยวาจากับอากาศ  

 

 

กลางอากาศไร้คน ทว่าบนคานมีเสียงดังชัดเจน  

 

 

“ไปพระราชวัง จ้องหาโอกาสปฏิบัติการ”  

 

 

สายลมพลิ้วไหวพัดผ่าน  

 

 

“สือกู่” เขาเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

หลังฉากกั้นห้องมีเสียงดังพลั่กเสียงหนึ่ง  

 

 

“ไปถอดหน้ากากของคนผู้นั้น” น้ำเสียงเขาเยือกเย็นเล็กน้อย  

 

 

ลมหอบหนึ่งพัดผ่านหลังฉากกั้นห้อง  

 

 

…  

 

 

แขกเดินบนระเบียงทางเดินรอบจวนเหยียลี่ว์ มองกิ่งเหมยสองฝั่งระเบียงทางเดินจนทั่วด้วยความสนใจยิ่งนัก เขาเดินเหินแผ่วเบา สายตานุ่มนวลอ่อนโยนประหนึ่งเกสรดอกเหมย  

 

 

ลมหอบหนึ่งพลันพัดผ่าน กิ่งเหมยสั่นไหว เกสรดอกเหมยสีเขียวอมเหลืองปลิวว่อนเชื่องช้าพาให้สายตามนุษย์พร่ามัว  

 

 

เขาคล้ายจะหลับตาเช่นกัน  

 

 

ม่านตายังไม่ทันแนบสนิท เขาก็ลืมตาอีกครั้งโดยพลัน!  

 

 

เมื่อลืมตาชั่วครู่เดียว นิ้วมือก็สะบัดออกไปอย่างเงียบเชียบแล้ว  

 

 

แผ่วเบาดุจดีดพิณ ดั่งจุดเครื่องหอม ประหนึ่งวาดคิ้วให้โฉมสะคราญแรกแย้ม  

 

 

สะบัดเพียงครั้งได้สะบัดมือสองข้างที่พลันปรากฏขึ้นมาหวังจะถอดหน้ากากเขาออกไปไกลกว่าจั้ง!  

 

 

เงาคนร่วงหล่นดัง  สวบ!  หยาดโลหิตกระเซ็น ย้อมกิ่งเหมยแข็งแกร่งข้างกายให้แดงฉาน  

 

 

แขกชักมือกลับ รอยยิ้มยังคงกระดากอายดุจเกสรดอกเหมยที่ผลิบานเพียงครึ่ง  

 

 

เขาตบสาบเสื้อแผ่วเบา ปัดเศษเหมยเสี้ยวหิมะที่ร่วงหล่นบนสาบเสื้อออกไป ยกฝีเท้าก้าวเดินอีกครั้ง เดินผ่านระเบียงทางเดินอย่างแผ่วเบา  

 

 

มิได้เอ่ยวาจาตั้งแต่ต้นจนจบ และมิได้มองคนที่ลงมือถอดหน้ากากเขาผู้นั้นสักปราดเดียว ดั่งคล้ายเป็นเพียงการบังเอิญพานพบของความฝันครั้งหนึ่ง เขาเข้าสู่ความฝันโดยไม่สะเทือนธุลี จากนั้นออกจากความฝันด้วยท่าทางแขนเสื้อลอยล่อง  

 

 

ระเบียงยาวเงียบสงัด หิมะโปรยปรายไร้สรรพเสียง  

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน เงาคนกะพริบวูบตรงจุดสิ้นสุดระเบียงยาว เหยียลี่ว์ฉีปรากฏกาย  

 

 

เขาเดินไปข้างระเบียง มองดูลูกน้องที่ล้มลงกลางพุ่มดอกไม้  

 

 

คนที่อยู่บนพื้นเงียบเชียบไร้ลมหายใจ หิมะปกคลุมเบาบางชั้นหนึ่ง  

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีอึมครึมดุจหิมะแรกนี้เช่นกัน  

 

 

สือกู่ผู้มีวิชาตัวเบาอันดับหนึ่ง ลงมือแปลกประหลาดยากคาดเดา สิ้นใจภายในท่วงท่าเดียว  

 

 

ท่วงท่าหนึ่งนั้นที่ไร้ซึ่งไอควันไฟ เย็นชาดั่งความฝัน ทว่าถึงแก่ความตายในครู่นั้น  

 

 

…  

 

 

…  

 

 

“ค่ายล่มสลาย!”  

 

 

บนจัตุรัสเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ทหารม้าบนหลังม้าเหงื่อไหลชุ่มโชกในวันหนาวเหน็บเช่นนี้  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูสีหน้าที่พลันเกร็งแน่นในพริบตาของกงอิ้น ในใจเต้นระรัวรุนแรงหลายครั้ง  

 

 

ค่ายล่มสลายคืออะไร? นางไม่ค่อยเข้าใจ แต่เดาได้ว่าค่ายใหญ่คั่งหลงเกิดปัญหาแล้วแน่นอน  

 

 

“ราชครู!” เฉิงกูมั่วร้องลั่นว่า “ค่ายคั่งหลงล่มสลาย ท่านยังจะหมางเมินเฉยเมยหรือ? ท่านจะเบิกตามองดูทหารแกร่งอันดับหนึ่งใต้บัญชาแตกแยกกระจัดกระจาย เข่นฆ่ากันเองหรือ!”  

 

 

“ราชครู” ครอบครัวสมุหพระกลาโหมเฉิงคุกเข่าตะโกนก้องว่า “ท่านจะเบิกตาโพลงมองดูขุนพลเลื่องชื่อผู้จงรักภักดีมีคุณธรรมสิ้นชีพผิดธรรมชาติหรือ!”  

 

 

“ราชครู!” จ้าวซื่อจื๋อแหงนหน้าตะโกนก้อง ดิ้นรนจากเก้าอี้เข็น คุกเข่าลงกลางโคลนหิมะ ร้องว่า “หากท่านลังเลไม่ตัดสินใจยามต้องเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ย่อมก่อให้เกิดปัญหา! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

“ราชครู!” เซวียนหยวนจิ้งเชิดหน้า หนวดเคราผมเผ้าพลิ้วไสว ร้องว่า “ตระกูลสูงศักดิ์ในตี้เกอไม่อาจยอมรับเจ้านายที่ละเมิดทำนองคลองธรรม! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

“ราชครู!” เฟยหลัวพุ่งขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แขนเสื้อแดงสะบัดพลิ้ว ร้องว่า “หกแคว้นแปดชนเผ่าไม่อาจยอมรับเจ้านายที่ก่อความวุ่นวายตาลายหูหนวก! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

“ราชครู!” เสนากองพิธีการชราดิ้นรนพ้นจากลูกศิษย์ที่ประคองเขาไว้ ร้องว่า “ราชสำนักต้าฮวงไม่อาจยอมรับเจ้านายที่บิดเบือนสามหลักห้าคุณธรรม [1] ! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

กระแสคลื่นอีกลูกหนึ่งพุ่งขึ้นมาคล้ายขานรับเสียงคำรามของค่ายใหญ่คั่งหลงนอกกำแพงวังสิบห้าลี้ ดังก้องว่า “โปรดประหารราชินี!”  

 

 

เสียงเปี่ยมพลังมหาศาลดังกึกก้องจนกำแพงตำหนักอวี้จ้าวดั่งกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ผืนปฐพีดุจกำลังสะเทือนเล็กน้อย หิมะโปรยดั่งคล้ายหยุดชะงัก จากนั้นเวียนวนอย่างบ้าคลั่งแล้วโปรยปรายร่วงหล่นเชื่องช้า  

 

 

ทหารอวี้จ้าวที่เฝ้าประตูร่นถอยอย่างต่อเนื่องเบื้องหน้าฝูงชนที่ประชิดเข้ามา  

 

 

สิ่งที่ยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อนเหลือเพียงรูปปั้นขนาดมหึมาของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นซึ่งอยู่กลางจัตุรัสและกงอิ้นที่อยู่บนกำแพงวัง  

 

 

เหล่าขุนนางคุกคาม กองทัพทรยศ หกแคว้นแปดชนเผ่ามีส่วนร่วมด้วย การประท้วงที่ชนชั้นปกครองร่วมแรงร่วมใจกระทำต่อราชินีเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ต้าฮวงครั้งนี้ไม่อาจทำให้เขาสะทกสะท้านได้ เพียงทำให้สีหน้าเขาดุจน้ำค้างแข็ง เยือกเย็นกว่าท้องฟ้าและหิมะเดียวดายของค่ำคืนนี้  

 

 

จิ่งเหิงปัวสงบเงียบต่างจากปกติในเวลาแบบนี้เช่นกัน  

 

 

“กงอิ้น” มือนางค้ำยันกำแพงวัง จ้องมองใต้กำแพงวังอยู่ ถามเขาอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังก้องว่า “อยากสังหารข้าหรือไม่?”  

 

 

   

 

 

 

 

 

[1]   สามหลักห้าคุณธรรม  คือแนวคิดสำคัญในวัฒนธรรมขงจื๊อ สามหลักประกอบด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และขุนนาง ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ห้าคุณธรรมประกอบด้วย เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาและสัจจะ  

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 4 อยากสังหารข้าหรือไม่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 4 อยากสังหารข้าหรือไม่

 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียกสุราถ้วยหนึ่งไว้ในมือคล้ายกำลังรวบรวมสมาธิ ทว่าส่ายหน้าหลังผ่านไปครู่ใหญ่ เอ่ยว่า “ไม่ ไม่ถูกต้อง”  

 

 

“อ้อ?”  

 

 

“ด้วยอุปนิสัยและสติปัญญาของกงอิ้น ต่อให้ถูกบีบบังคับให้จนมุมยังอาจจะตอบโต้ยามจนตรอกได้ อีกทั้งสำหรับสภาพการณ์เช่นนี้ เขาไม่ใช่ไร้ซึ่งการเตรียมตัว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรอคอยวันนี้มาโดยตลอดเช่นกัน เพื่อจะได้มองเห็นอำนาจที่คัดค้านเขาทุกกลุ่มให้ชัดเจน พวกเราจะดีใจเร็วเกินไปไม่ได้”  

 

 

“ท่านเอ่ยได้ถูกต้อง คนเช่นกงอิ้นนี้ไม่ชอบถูกบีบบังคับให้จนมุม ฉะนั้นย่อมต้องเตรียมตัวไว้บ้างแล้ว ทว่าการเตรียมตัวของเขานั้นคือการควบคุมกำลังทหารไว้ในกำมืออย่างแน่นหนา ไม่ให้ผู้ใดก็ตามมีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่พระราชวัง ถอดถอนพวกจ้าวซื่อจื๋อไม่ให้พวกเขาล้มล้างการเมืองในราชสำนัก เอ่ยได้ว่าควบคุมจากเบื้องบนของตี้เกอและการเมืองในราชสำนัก จนถึงบัดนี้เขายังคงไร้จุดอ่อนให้โจมตี ไม่ว่าผู้ใดก็สั่นคลอนเขาไม่ได้ ทว่าปัญหาคือเขาควบคุมพละกำลังภายนอกทั้งหมดได้ แต่ไร้หนทางควบคุมใจคนด้วยฝ่ามือเดียว ยามนี้สิ่งที่บีบบังคับเขาได้อย่างแท้จริงคือใจคน”  

 

 

“ใจคน…” เหยียลี่ว์ฉีพึมพำแผ่วเบาว่า “คือจิตใจของขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต้าฮวงนี้กระมัง…”  

 

 

บนใบหน้าเขาผุดเผยสีหน้ารังเกียจเล็กน้อย คล้ายไม่คิดเช่นนั้นต่อขุนนางเหล่านี้เช่นกัน  

 

 

“ไม่ว่าเป็นใจคนแบบใดล้วนเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจมองข้าม” แขกหยิบถ้วยสุราขึ้นมาชมอย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “ต่อให้เขาใช้กำลังยับยั้งการร่วมร้องทุกข์ในค่ำคืนนี้ไว้ได้ เขาจะแบกรับผลลัพธ์จากการที่คนพาใจออกห่างไม่ไหวเช่นกัน แน่นอนว่าเขาไม่อยากสูญเสียใจคนและไม่อยากสูญเสียสตรี เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยังมีทางหนีทีไล่ อย่างเช่น ส่งจิ่งเหิงปัวออกไปก่อน ภายหน้าค่อยหาโอกาสอีกครั้ง กระทำเช่นนี้ ทั้งไม่สูญเสียใจคนแลไม่สูญเสียสตรี”  

 

 

“ตามความเห็นของข้าแล้ว คงต้องเป็นเช่นนี้” เหยียลี่ว์ฉีปรบมือครั้งหนึ่ง  

 

 

แขกจ้องมองเขาอยู่ รอยยิ้มผืนหนึ่งตรงมุมปากใคร่ครวญและมองทะลจิตใจคน เอ่ยว่า “ท่านคิดเช่นกันว่าเขาจะกระทำอย่างนั้น มั่นใจว่าชีวิตของจิ่งเหิงปัวปลอดภัยไร้กังวล ฉะนั้นจึงไม่ร้อนใจเรื่องร่วมเรียกร้องให้สังหารราชินีหรือ?”  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีวางถ้วยสุราลง มองดูเขาอย่างใคร่ครวญเช่นเดียวกัน  

 

 

แขกไม่ได้ไม่สบายใจด้วยเพราะสีหน้าแปลกประหลาดของเขา แววตาจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างสงบเงียบ  

 

 

“เคยมีคนบอกเจ้าหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่เหยียลี่ว์ฉีก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “แท้จริงแล้วผู้ที่ติดนิสัยชอบคาดคะเนความคิดของผู้อื่นโดยพลการโง่เขลายิ่งนัก ด้วยเพราะคนประเภทนี้มักจะสิ้นชีพรวดเร็วยิ่งยวดน่าสังเวชยวดยิ่ง”  

 

 

“โอ้? ท่านจะสังหารข้าหรือไม่?” แขกกะพริบตา  

 

 

“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?” เหยียลี่ว์ฉีฟื้นคืนรอยยิ้มจรรโลงใจของเขาอีกครั้งแล้ว  

 

 

“ไม่กระทำในยามนี้ก็พอแล้ว” แขกหัวเราะแผ่วเบาเพียงครั้ง จิบสุราอึกหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ายังคงเป็นประโยชน์ต่อท่านนะ”  

 

 

สีหน้าที่เหยียลี่ว์ฉีมองเขาอ่อนโยนดุจปฏิบัติต่อสหายสนิท  

 

 

“อืม” เขาพยักหน้า  

 

 

“หิมะตกหนักขึ้นมาหน่อยแล้ว ข้าควรไปแล้วเช่นกัน” แขกวางถ้วยสุราลง ลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้เขาชักชวนให้อยู่ต่อ เดินไปยังปากประตูโดยไม่บอกกล่าว  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้ยืนขึ้นน้อมส่งแขก ดื่มสุรากับตนเองอยู่ที่เดิม  

 

 

“จริงสิ” แขกเดินถึงปากประตูแล้วคล้ายพลันนึกเรื่องใดขึ้นมาได้ หันกายยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ลืมบอกท่านไป ข้ารู้สึกว่าความปรารถนาของท่านอาจจะล้มเหลวได้ ด้วยเพราะยังมีความเป็นไปได้ที่กงอิ้นจะสังหารราชินี แม้เขาไม่อยากสังหารแต่ข้าจะทำให้เขาจำเป็นต้องสังหาร” เขาหัวเราะแผ่วเบาพลางชี้ไปยังศีรษะ เอ่ยว่า “เรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้มีมากมายนัก!”  

 

 

เขาหัวเราะแผ่วเบา ปล่อยม่านสยายลง เงาร่างเยื้องกรายทะลุผ่านระเบียงทางเดินรอบจวน  

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมองเงาด้านหลังของเขาสูญสลาย รอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงตรงมุมปากค่อยๆ จางหาย  

 

 

“ซื่อเสี่ย” เขาคล้ายเอ่ยวาจากับอากาศ  

 

 

กลางอากาศไร้คน ทว่าบนคานมีเสียงดังชัดเจน  

 

 

“ไปพระราชวัง จ้องหาโอกาสปฏิบัติการ”  

 

 

สายลมพลิ้วไหวพัดผ่าน  

 

 

“สือกู่” เขาเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

หลังฉากกั้นห้องมีเสียงดังพลั่กเสียงหนึ่ง  

 

 

“ไปถอดหน้ากากของคนผู้นั้น” น้ำเสียงเขาเยือกเย็นเล็กน้อย  

 

 

ลมหอบหนึ่งพัดผ่านหลังฉากกั้นห้อง  

 

 

…  

 

 

แขกเดินบนระเบียงทางเดินรอบจวนเหยียลี่ว์ มองกิ่งเหมยสองฝั่งระเบียงทางเดินจนทั่วด้วยความสนใจยิ่งนัก เขาเดินเหินแผ่วเบา สายตานุ่มนวลอ่อนโยนประหนึ่งเกสรดอกเหมย  

 

 

ลมหอบหนึ่งพลันพัดผ่าน กิ่งเหมยสั่นไหว เกสรดอกเหมยสีเขียวอมเหลืองปลิวว่อนเชื่องช้าพาให้สายตามนุษย์พร่ามัว  

 

 

เขาคล้ายจะหลับตาเช่นกัน  

 

 

ม่านตายังไม่ทันแนบสนิท เขาก็ลืมตาอีกครั้งโดยพลัน!  

 

 

เมื่อลืมตาชั่วครู่เดียว นิ้วมือก็สะบัดออกไปอย่างเงียบเชียบแล้ว  

 

 

แผ่วเบาดุจดีดพิณ ดั่งจุดเครื่องหอม ประหนึ่งวาดคิ้วให้โฉมสะคราญแรกแย้ม  

 

 

สะบัดเพียงครั้งได้สะบัดมือสองข้างที่พลันปรากฏขึ้นมาหวังจะถอดหน้ากากเขาออกไปไกลกว่าจั้ง!  

 

 

เงาคนร่วงหล่นดัง  สวบ!  หยาดโลหิตกระเซ็น ย้อมกิ่งเหมยแข็งแกร่งข้างกายให้แดงฉาน  

 

 

แขกชักมือกลับ รอยยิ้มยังคงกระดากอายดุจเกสรดอกเหมยที่ผลิบานเพียงครึ่ง  

 

 

เขาตบสาบเสื้อแผ่วเบา ปัดเศษเหมยเสี้ยวหิมะที่ร่วงหล่นบนสาบเสื้อออกไป ยกฝีเท้าก้าวเดินอีกครั้ง เดินผ่านระเบียงทางเดินอย่างแผ่วเบา  

 

 

มิได้เอ่ยวาจาตั้งแต่ต้นจนจบ และมิได้มองคนที่ลงมือถอดหน้ากากเขาผู้นั้นสักปราดเดียว ดั่งคล้ายเป็นเพียงการบังเอิญพานพบของความฝันครั้งหนึ่ง เขาเข้าสู่ความฝันโดยไม่สะเทือนธุลี จากนั้นออกจากความฝันด้วยท่าทางแขนเสื้อลอยล่อง  

 

 

ระเบียงยาวเงียบสงัด หิมะโปรยปรายไร้สรรพเสียง  

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน เงาคนกะพริบวูบตรงจุดสิ้นสุดระเบียงยาว เหยียลี่ว์ฉีปรากฏกาย  

 

 

เขาเดินไปข้างระเบียง มองดูลูกน้องที่ล้มลงกลางพุ่มดอกไม้  

 

 

คนที่อยู่บนพื้นเงียบเชียบไร้ลมหายใจ หิมะปกคลุมเบาบางชั้นหนึ่ง  

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีอึมครึมดุจหิมะแรกนี้เช่นกัน  

 

 

สือกู่ผู้มีวิชาตัวเบาอันดับหนึ่ง ลงมือแปลกประหลาดยากคาดเดา สิ้นใจภายในท่วงท่าเดียว  

 

 

ท่วงท่าหนึ่งนั้นที่ไร้ซึ่งไอควันไฟ เย็นชาดั่งความฝัน ทว่าถึงแก่ความตายในครู่นั้น  

 

 

…  

 

 

…  

 

 

“ค่ายล่มสลาย!”  

 

 

บนจัตุรัสเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ทหารม้าบนหลังม้าเหงื่อไหลชุ่มโชกในวันหนาวเหน็บเช่นนี้  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูสีหน้าที่พลันเกร็งแน่นในพริบตาของกงอิ้น ในใจเต้นระรัวรุนแรงหลายครั้ง  

 

 

ค่ายล่มสลายคืออะไร? นางไม่ค่อยเข้าใจ แต่เดาได้ว่าค่ายใหญ่คั่งหลงเกิดปัญหาแล้วแน่นอน  

 

 

“ราชครู!” เฉิงกูมั่วร้องลั่นว่า “ค่ายคั่งหลงล่มสลาย ท่านยังจะหมางเมินเฉยเมยหรือ? ท่านจะเบิกตามองดูทหารแกร่งอันดับหนึ่งใต้บัญชาแตกแยกกระจัดกระจาย เข่นฆ่ากันเองหรือ!”  

 

 

“ราชครู” ครอบครัวสมุหพระกลาโหมเฉิงคุกเข่าตะโกนก้องว่า “ท่านจะเบิกตาโพลงมองดูขุนพลเลื่องชื่อผู้จงรักภักดีมีคุณธรรมสิ้นชีพผิดธรรมชาติหรือ!”  

 

 

“ราชครู!” จ้าวซื่อจื๋อแหงนหน้าตะโกนก้อง ดิ้นรนจากเก้าอี้เข็น คุกเข่าลงกลางโคลนหิมะ ร้องว่า “หากท่านลังเลไม่ตัดสินใจยามต้องเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ย่อมก่อให้เกิดปัญหา! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

“ราชครู!” เซวียนหยวนจิ้งเชิดหน้า หนวดเคราผมเผ้าพลิ้วไสว ร้องว่า “ตระกูลสูงศักดิ์ในตี้เกอไม่อาจยอมรับเจ้านายที่ละเมิดทำนองคลองธรรม! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

“ราชครู!” เฟยหลัวพุ่งขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แขนเสื้อแดงสะบัดพลิ้ว ร้องว่า “หกแคว้นแปดชนเผ่าไม่อาจยอมรับเจ้านายที่ก่อความวุ่นวายตาลายหูหนวก! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

“ราชครู!” เสนากองพิธีการชราดิ้นรนพ้นจากลูกศิษย์ที่ประคองเขาไว้ ร้องว่า “ราชสำนักต้าฮวงไม่อาจยอมรับเจ้านายที่บิดเบือนสามหลักห้าคุณธรรม [1] ! โปรดประหารราชินี!”  

 

 

กระแสคลื่นอีกลูกหนึ่งพุ่งขึ้นมาคล้ายขานรับเสียงคำรามของค่ายใหญ่คั่งหลงนอกกำแพงวังสิบห้าลี้ ดังก้องว่า “โปรดประหารราชินี!”  

 

 

เสียงเปี่ยมพลังมหาศาลดังกึกก้องจนกำแพงตำหนักอวี้จ้าวดั่งกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ผืนปฐพีดุจกำลังสะเทือนเล็กน้อย หิมะโปรยดั่งคล้ายหยุดชะงัก จากนั้นเวียนวนอย่างบ้าคลั่งแล้วโปรยปรายร่วงหล่นเชื่องช้า  

 

 

ทหารอวี้จ้าวที่เฝ้าประตูร่นถอยอย่างต่อเนื่องเบื้องหน้าฝูงชนที่ประชิดเข้ามา  

 

 

สิ่งที่ยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อนเหลือเพียงรูปปั้นขนาดมหึมาของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นซึ่งอยู่กลางจัตุรัสและกงอิ้นที่อยู่บนกำแพงวัง  

 

 

เหล่าขุนนางคุกคาม กองทัพทรยศ หกแคว้นแปดชนเผ่ามีส่วนร่วมด้วย การประท้วงที่ชนชั้นปกครองร่วมแรงร่วมใจกระทำต่อราชินีเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ต้าฮวงครั้งนี้ไม่อาจทำให้เขาสะทกสะท้านได้ เพียงทำให้สีหน้าเขาดุจน้ำค้างแข็ง เยือกเย็นกว่าท้องฟ้าและหิมะเดียวดายของค่ำคืนนี้  

 

 

จิ่งเหิงปัวสงบเงียบต่างจากปกติในเวลาแบบนี้เช่นกัน  

 

 

“กงอิ้น” มือนางค้ำยันกำแพงวัง จ้องมองใต้กำแพงวังอยู่ ถามเขาอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังก้องว่า “อยากสังหารข้าหรือไม่?”  

 

 

   

 

 

 

 

 

[1]   สามหลักห้าคุณธรรม  คือแนวคิดสำคัญในวัฒนธรรมขงจื๊อ สามหลักประกอบด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และขุนนาง ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ห้าคุณธรรมประกอบด้วย เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาและสัจจะ  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset