อาภรณ์ที่นางสวมใส่คือฉลองพระองค์ของราชินี ฉลองพระองค์ทางการสีแดงเข้มและสีดำในพิธีเฉลิมฉลอง ชุดคอกลมกลัดกระดุมข้าง แขนเสื้อกว้างสาบเสื้อซ้ายทับอยู่ข้างนอก ประดับด้วยพู่ระย้า ลวดลายวิหคทั้งเก้า
นอกเสียจากจะไม่ได้สวมมงกุฎราชินีแล้ว อย่างอื่นนับเป็นการแต่งกายยามราชินีเสด็จออกว่าราชการโดยสมบูรณ์
ส่วนท่วงท่าที่รวบแขนเสื้อพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยของนาง ชวนให้นึกถึงจักรพรรดิยามเสด็จออกว่าราชการโดยแท้ ไม่สูญเสียบทบาทแม้อยู่ท่ามกลางความงดงามตระการตาทั่วห้อง ประดุจจักรพรรดิเสด็จสู่โลกหล้า
จิ่งเหิงปัวมองดูจิ้งอวิ๋นอย่างมึนงง นางไม่เคยคิดเลยว่าจิ้งอวิ๋นที่เป็นเฉกเช่นดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ ลักษณะท่าทางหน้าตางดงามธรรมดา พอสวมฉลองพระองค์แล้วจะเหมือนจักรพรรดิขึ้นมา
ใครก็ตามพอได้สวมฉลองพระองค์แล้ว ย่อมดูเหมือนจักรพรรดิเหรอ?
ไม่สิ ไม่ใช่ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสยบเครื่องแต่งกายหรูหราน่าเกรงขามสะกดผู้คนเช่นนี้ได้ ลักษณะท่าทางสุขุม ท่วงท่าที่ก้มหน้าลงมองโลกหล้าในขณะนี้ของจิ้งอวิ๋นนั้น จำต้องเคยผ่านประสบการณ์ของผู้อยู่เบื้องบนเป็นระยะเวลายาวนานช่วงหนึ่งถึงจะเป็นเช่นนี้ได้
ทั่วทั้งตำหนักเงียบสงัด เหล่าขุนนางจ้องมองอยู่ สายตาฉายแววคล้ายรู้สึกเช่นเดียวกันกับจิ่งเหิงปัว ในนัยน์ตาของบางคนปรากฏภาพหวนรำลึกขึ้นมาแล้ว คล้ายนึกถึงเรื่องที่ล่วงลับไปแล้วบางเรื่องด้วยเพราะท่วงท่าราชินีของจิ้งอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้า
จิ่งเหิงปัวแค่มองไปทางกงอิ้น
เขายืนนิ่งเช่นเดิมอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เรือนร่างครึ่งหนึ่งอยู่ข้างนอก เศษหิมะปกคลุมทั่วหัวไหล่ครึ่งหนึ่งของเขาอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาคล้ายไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
สายตานั้นจ้องมองเพียงจิ้งอวิ๋น
จิ่งเหิงปัวได้ยินหัวใจตนเองเต้นดังตึกตัก
จิ้งอวิ๋นมองเพียงกงอิ้นเช่นกัน มือค่อยๆ ลูบผ่านสาบเสื้อช่วงหน้าอกของเขา
“ข้านั่งเตียงประจิม ลองลิ้มอาภรณ์ยามเก่า หวนคืนลืมเลือนเรา ฝันบางเบาก้าวเติบโต” นางยิ้มแย้มอย่างเศร้าสลดครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “กงอิ้น ข้าคือหมิงเฉิง”
ข้าคือหมิงเฉิง
ข้าคือหมิงเฉิง
คำสี่คำดุจดั่งสายฟ้าคำรามที่พลันสะบั้นลงบนศีรษะของจิ่งเหิงปัว นางโซซัดโซเซ อุ้มชุ่ยเจี่ยเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่วางนางไว้บนม้านั่ง เอื้อมมือค้ำยันโต๊ะเครื่องแป้งข้างหลังไว้
เบื้องหน้าคือความมืดมิดเป็นระลอก พอมองออกไปทัศนียภาพพร่าเลือน ข้างหูดังหวึ่งๆ ไม่หยุดหย่อน และไม่รู้ว่าหูอื้อหรือเป็นเสียงถกเถียงตกตะลึงของเหล่าขุนนางในตำหนักหรือทั้งสองอย่าง
ตรงระเบียงทางเดิน แววตาของกงอิ้นมองตามการกระทำของนางแล้วกะพริบวูบเล็กน้อย จากนั้นเขาหันไปทางจิ้งอวิ๋น
ฝูงชนทยอยถกเถียงกัน มีเพียงเขาที่ยืนตระหง่านดุจศิลา
จิ้งอวิ๋นยืนอยู่กลางตำหนัก ใบหน้าของนางขาวซีดดุจกระดาษท่ามกลางความงดงามผ่องอำไพ ทว่านัยน์ตาคือความมืดมิดแลสงบนิ่ง ข้ามผ่านผู้คนมากมาย มองดูเพียงกงอิ้น
“ข้ากลับมาแล้ว” นางเอ่ย
“ข้ากลับมานานแล้ว ทว่าเจ้าลืมข้าแล้ว พวกเจ้าลืมข้าจนสิ้นแล้ว แม้แต่ตัวข้าเองยังลืมเลือนตนเอง หลังจากนั้น ทุกคนก็ให้สตรีที่มีเจตนาร้ายแอบแฝง มีความคิดชั่วร้ายนางนั้นครอบครองตำแหน่งของข้า” นางเอ่ย
“นี่คือฉลองพระองค์ของข้า ราชบัลลังก์ของข้า ตำหนักบรรทมของข้า ตำหนักอวี้จ้าวของข้า ทว่าข้ากลับร่อนเร่พเนจรอยู่แคว้นอื่น ยามข้ากลับมา ข้าพลันกลายเป็นคนนอก” นางเอ่ย
“คนนอกที่แท้จริงกลับมาครอบครองตำแหน่งของข้า นางใช้สอยพระราชวังของข้า ตำหนักบรรทมของข้า เตียงของข้า ทุกสิ่งทุกอย่างของข้า! นางเรียกใช้ทุกคนที่แท้จริงแล้วข้าควรเรียกใช้ เสพสุขเกียรติยศ ความเคารพและการปกป้องซึ่งเป็นของข้า ซ้ำยังเรียกใช้ข้า กดขี่ข้า เหยียบย่ำข้า! ข้าผู้เป็นเจ้านายที่แท้จริงถูกสตรีที่ช่วงชิงทุกสิ่งอย่างทำให้อับอายขายหน้า ทุกคนยังเอ่ยว่าข้าอกตัญญู ตระบัดสัตย์ทรยศนาย…พวกเจ้าว่าบนโลกนี้มีหลักการเช่นนี้อยู่หรือไม่?!” นางเอ่ย
“กงอิ้น เหตุใดเจ้าถึงเสียดายสตรีนางนี้? จนถึงยามนี้เจ้ายังคิดจะปกป้องนางใช่หรือไม่ เจ้ารู้สึกใช่หรือไม่ว่านางจะไม่ช่วงชิงโลกหล้ากับเจ้า จะไม่ทำร้ายเจ้า? แม้ว่านางจะก่อความวุ่นวายให้เจ้าเสมอกลืนกินอำนาจของเจ้าทีละก้าว เจ้ายังยอมทำเป็นไม่รับรู้? เจ้าถูกความงามของนางทำให้ลุ่มหลงจนไม่เชื่อว่าบนโลกนี้มีแมงป่องตัวเมียที่จะกินแมงป่องตัวผู้เข้าไปหลังจากบรรลุความต้องการเลยหรือ?” นางเอ่ย
สายลมหิมะนอกตำหนักพลันรุนแรง วนเวียนเหนือร่างกงอิ้น เขายืนอยู่กลางหิมะอย่างเย็นชา นัยน์ตาดั่งผลึกน้ำแข็งเยือกแข็ง
“เป็นไปไม่ได้ ราชินีหมิงเฉิงสวรรคตแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น พระนางไม่ได้ทรงมีพระพักตร์เช่นเจ้าด้วย!” ใครบางคนในตำหนักตะโกนก้องขึ้น
“นั่นสิ” จิ้งอวิ๋นลูบคลำใบหน้า เอ่ยอย่างผิดหวังว่า “ตัวข้าเองยังไม่รู้จักใบหน้านี้เลย หากข้ายังมีใบหน้าเฉกเช่นแต่ก่อน ข้าจะประสบพบเจอความลำบากมากมายเช่นนี้หรือ?”
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?” จิ้งอวิ๋นชี้มาทางจิ่งเหิงปัวโดยพลัน ร้องว่า “ถามนางสิ!”
จิ่งเหิงปัวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าจิ้งอวิ๋น หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง เกียจคร้านและยาวนาน
“รบกวนเจ้าเอ่ยด้วยตนเองเถิด” นางกล่าวอย่างอ่อนเพลียว่า “ข้ากลัวว่าข้าคงเล่าได้ไม่สมบูรณ์พร้อม ไม่อาจทำให้เจ้าพอใจได้”
“ข้าจะไม่เล่นลิ้นถกเถียงกับเจ้า ข้าเพียงนำความจริงมาเอ่ย” จิ้งอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “กงอิ้นรู้ความจริงส่วนหนึ่ง”
จิ่งเหิงปัวใช้มือค้ำยันโต๊ะเครื่องแป้งไม่ขยับเขยื้อน ผมยาวพลิ้วสยายบดบังสายตาไว้
ตอนนี้นางไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่อยากเห็นสีหน้าของกงอิ้น
อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ นางรู้จักเขามากพอแล้ว นางกลัวว่าหากตนเองมองสีหน้าของเขาตอนนี้ให้มากขึ้นเพียงนิดเดียว นับตั้งแต่นี้จะเจ็บปวดไปทั้งหัวใจจนยากจะฟื้นคืนดังเดิมอีก
“เหตุการณ์ที่เรียกว่าเหตุการณ์ตี้เกอในยามนั้น ภายนอกเอ่ยกันว่าราชินีสวรรคตฉับพลัน ข่าวสารที่ภายในราชสำนักได้รับคือราชินีหมิงเฉิงก่อกบฏ ซ้ำยังมีแม้กระทั่งข่าวลือเลวร้ายบางอย่าง” จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มอย่างเสียดสี เอ่ยสืบต่อไปว่า “แน่นอนว่ายามนี้พวกเจ้าควรรู้แล้วว่าข้าไม่ใช่กบฏ มิฉะนั้นข้าคงไม่กล้าปรากฏกายเบื้องหน้ากงอิ้นในยามนี้”
“ทว่าพวกเรามองเห็นอย่างชัดเจนว่ายามเหตุการณ์ตี้เกอ ทหารกบฏโอบล้อมตี้เกอไว้! เกือบจะบุกเข้าพระราชวัง! มองเห็นราชครูถูกลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยเพราะราชินี หากมิใช่เพราะพวกเราคั่งหลงพลีชีพปกป้อง ยามนั้นราชครูคงสิ้นชีพไปแล้ว!” เฉิงกูมั่วคัดค้านอย่างดุเดือด
“เจ้ามองเห็นด้วยตาตนเองหรือ?” น้ำเสียงของจิ้งอวิ๋นล่องลอย
เฉิงกูมั่วเงียบกริบเอ่ยไม่ออก
เขาจำได้ว่าราตรีนั้น ยามที่เขาตามมาถึงกลางตำหนักอวี้จ้าว มองเห็นเพียงราชครูเปรอะเปื้อนโลหิตทั่วร่าง มองเห็นศพราชินีหมิงเฉิงสลบไสลอยู่บนพื้น จากนั้นทหารกบฏโจมตีเข้าวัง ราชครูบาดเจ็บสาหัสดิ้นรนขึ้นกำแพงวังโจมตีทหารกบฏจนล่าถอย หลังจากนั้นราชินีหมิงเฉิงถูกฝังอย่างเร่งรีบ ทุกผู้คนต่างคิดว่าราชินีหวังยึดอำนาจจึงถูกราชครูสังหาร แน่นอนว่าจำเป็นต้องสิ้นชีพ ยามสวรรคตแล้วย่อมเป็นข้อห้าม แม้แต่ถามยังถามไม่ได้
ทว่าวันนี้ สตรีแปลกหน้านางหนึ่งเอ่ยว่าตนเองเป็นราชินี รู้แจ้งเรื่องราวในอดีตโดยละเอียดเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว หรือว่านางคือราชินีหมิงเฉิงจริง? หรือว่าเรื่องราวยามนั้นมีความลับซ่อนอยู่จริง?
“กงอิ้น คืนนั้นมีคนลอบสังหารเจ้า ทว่าคนคนนั้นไม่ใช่ข้า เจ้ามองเห็นไม่ชัดเจนเช่นกันใช่หรือไม่?” มือของจิ้งอวิ๋นทาบอยู่บนดวงใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเคยทำเรื่องผิดต่อเจ้า ด้วยเพราะเหตุนี้ข้าจึงสาบานว่าไม่ว่าอย่างไรข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกแล้ว แล้วข้าจะผิดคำสาบาน หวังจะไล่ต้อนเจ้าสู่ทางตันอีกครั้งได้อย่างไร?”
ท่ามกลางสายลมหิมะ กงอิ้นค่อยๆ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง หิมะบนหัวไหล่ร่วงหล่นดังซ่า ทับถมเป็นชั้นเบาบางบนพื้นแดงเข้ม
เขาจ้องมองจิ้งอวิ๋น ในแววตาไม่ยินดียินร้าย ไม่มีแม้กระทั่งความประหลาดใจ ดั่งจ้องมองโลกแห่งความฝันของผู้อื่นผ่านสายลมหิมะ
จิ่งเหิงปัวเพียงมองดูรอยเท้าที่ยังมีคราบน้ำบนพื้น รู้สึกแค่ว่าจิตใจดั่งถูกรอยเท้าเปียกชื้นเช่นนี้เหยียบย่ำผ่านอย่างหนักหน่วงเช่นกัน
“หากเจ้าเอ่ยว่าตนเองคือราชินีหมิงเฉิง เช่นนั้นเจ้าอย่ามัวเอ่ยวาจาวกวน เอ่ยความจริงออกมา!” คิ้วของเฟยหลัวเชิดขึ้น เจตนาร้ายภายในสายตายังคงไม่ลดลง
จู่ๆ ก็มีราชินีนางหนึ่งโผล่ออกมา นางรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน
“เรื่องบางอย่างเป็นเรื่องราวที่รู้กันระหว่างข้ากับกงอิ้น ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้พวกเจ้าฟัง” จิ้งอวิ๋นเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ทว่าเรื่องที่ข้าอธิบายได้คือข้าไม่เคยวางแผนยึดอำนาจ ไม่เคยปลุกปั่นทหารกบฏ ไม่เคยทำร้ายราชครู! คืนนั้นยามเกิดเรื่อง ข้าไม่ทันได้แม้แต่เอ่ยวาจากับราชครูด้วยซ้ำ จากนั้นพลันไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว ยามข้าฟื้นคืนสติขึ้นมา ข้าถูกจับนั่งรถม้าออกจากต้าฮวงแล้ว ยิ่งกว่านั้นข้าเองสูญเสียความทรงจำ ซ้ำรูปร่างหน้าตายังเปลี่ยนแปลงไป ข้าจำฐานะของข้าไม่ได้อีกแล้ว และจำเรื่องราวแต่ก่อนไม่ได้อีกด้วย ข้าไม่มีแม้แต่ร่างกายแข็งแรงเฉกเช่นแต่ก่อน ยามข้าฟื้นขึ้นมาข้าอยู่แคว้นต้าเยียน ได้พบเจอกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขาเอ่ยว่าเป็นบิดามารดาของข้า ข้าก็เชื่อพวกเขา ผ่านไปไม่นานสามีภรรยาคู่นั้นกระทำความผิดถูกยึดทรัพย์สินและเนรเทศ ข้าถูกนำไปขาย…” นางหยุดไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยสืบต่อว่า “เพราะอย่างนั้นยามที่ข้าได้พบกงอิ้นอีกครั้ง แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด ทว่าข้ารู้สึกอยากใกล้ชิดกับเขาโดยไม่มีเหตุผล…”
น้ำตาของนางรินหลั่งดั่งสั่งได้ เอ่ยขึ้นว่า “ทว่าเขาจำข้าไม่ได้แล้ว ทุกผู้คนจำข้าไม่ได้เช่นกัน สตรีนางหนึ่งครอบครองตำแหน่งของข้า การใกล้ชิดกงอิ้นด้วยลางสังหรณ์ของข้ากลับกลายเป็นว่าข้ามีเจตนาร้ายแอบแฝง หวังแย่งบุรุษของนาง นี่มันก็น่าหัวเราะเพียงใด…ฮ่าๆ…น่าหัวเราะเพียงใด!”
“ผู้ใดเป็นคนวางแผนร้ายนั้นกัน? ผู้ใดเล่าพาเจ้าออกไป?”
“ผู้ใดได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้วางแผน!” จิ้งอวิ๋นตะโกน
ทุกคนพากันตกตะลึง มองมาทางจิ่งเหิงปัวโดยพร้อมเพรียง
จิ่งเหิงปัวไม่ได้เงยหน้าขึ้น นางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง แขนเสื้อปิดปากไว้ ไอโขลกออกมาเล็กน้อย
รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นประโยคนี้
กล่าวตามความเป็นจริงแล้ว ไร้ซึ่งข้อบกพร่อง
“ข้าเสี่ยงทายจนได้มาซึ่งลักษณะของราชินี” กงอิ้นปริปากโดยพลัน เอ่ยอย่างเย็นยะเยือกทีละคำว่า “นางร่วงลงมาจากฟ้า เดินทางจากอนาคตมาสู่ต้าฮวง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางมาจากอนาคต? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางร่วงลงมาจากฟ้าจริง? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าองครักษ์กลุ่มนั้นที่ต้อนรับนางในยามแรกไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับนาง?” จิ้งอวิ๋นมองดูจิ่งเหิงปัวอย่างเกลียดชังแล้วจ้องมองกงอิ้นเขม็ง เอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าการเสี่ยงทายครั้งนั้นของเจ้าถูกต้อง!”
“ข้าเสี่ยงทายด้วยตนเอง” กงอิ้นหลับตาลง เอ่ยออกมาอย่างเฉื่อยเนือย
ทุกคนนิ่งเงียบ ราชครูเสี่ยงทายด้วยตนเอง ยากนักที่จะหากผู้อื่นหวังวางกลอุบาย ข้อหนึ่งนี้คือจุดหนึ่งที่ยากกลบเกลื่อนที่สุดในวาทศิลป์ของจิ้งอวิ๋น
ทว่าจิ้งอวิ๋นไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ราชสำนักต้าฮวงแห่งนี้ยังมีคนผู้หนึ่งทำให้การเสี่ยงทายของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงได้!”
“ผู้ใดกัน!”
“ซังต้ง!”
ทั่วทั้งตำหนักเงียบสงัด หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ใครบางคนพ่นลมหายใจยืดยาวออกมา
ยามไม่เอ่ยถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้ใดต่างนึกไม่ออก พอเอ่ยขึ้นมาถึงได้ตกตะลึงพรึงเพริด ใช่แล้ว ซังต้ง
ในฐานะเจ้ากองเซ่นไหว้ผู้ครอบครองหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ตนเองมีเครื่องมือกับวิธีการที่สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว ราชครูเสี่ยงทายบนหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ หากเจ้ากองเซ่นไหว้จะวางกลอุบายใดไว้ย่อมไม่ยากเย็น
“เจ้าหมายความว่า ซังต้งสมรู้ร่วมคิดกับราชินีเพื่อใส่ร้ายเจ้า จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงการเสี่ยงทายของราชครู ทำนายราชินีองค์ใหม่?” ใครบางคนเสนอข้อสงสัยว่า “ทว่าหากพวกนางสมคบคิดกัน แต่ตอนนี้ซังต้งก็สิ้นชีพแล้ว อีกทั้งยังสิ้นชีพด้วยน้ำมือของราชินีองค์ใหม่อีกด้วย!”
“ไม่เคยได้ยินวาจาเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลหรือ!” ทั่วทั้งตำหนักเป็นความเงียบสงัดอีกครั้ง พาให้เสียงสายลมพลันรุนแรงขึ้น