เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 101 พลังฉีธาตุหยินเข้าสู่ร่างกาย

Sign in Buddha’s palm 101 พลังฉีธาตุหยินเข้าสู่ร่างกาย

 

“น่าสนใจ”

 

สายตาของซูฉินกวาดมองด้านหลังของกลุ่มทูตสองสามคนจากอาณาจักรหนานหมิง

 

สองสามคนนี้ไม่ได้โดดเด่นมากนัก พวกเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยราวกับกลัวว่าจะไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับเหล่าขุนนางภายในรั้วในวัง

 

แต่มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่สังเกตเห็นจิตสังหารได้อย่างชัดเจน

 

จิตสังหารนี้เป็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ลึกภายในจิตใจ แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างจ้าวกงกงก็ไม่อาจตรวจพบได้

 

แต่โชคไม่ดีที่คนกลุ่มนี้มาพบเข้ากับซูฉิน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระดับอรหันต์นั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดลออแม้จะไม่ดีเท่าทิพยอำนาจ ‘รู้วาระจิต‘ ของทางพุทธ แต่หากคนกลุ่มนี้ต้องการซ่อนความปรารถนาเบื้องลึกต่อหน้าซูฉินก็เหมือนเป็นเพียงฝัน

 

“จิตสังหาร?”

 

“ทั้งยังซุกซ่อนความแข็งแกร่งของตน?”

 

“ดูเหมือนคณะทูตจากหนานหมิงจะมีจุดประสงค์แอบแฝงในการมาวังหลวงครั้งนี้…”

 

ดวงตาของซูฉินฉายแววขบคิด

 

เป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิหมิงจะไม่รู้ว่ามีคนเหล่านี้ปะปนเข้ามาในคณะทูตจากหนานหมิง และทั้งหมดนี่ก็เป็นพระราชประสงค์ของจักรพรรดิหมิง กล่าวอีกนัยหนึ่งจักรพรรดิหนานหมิงอาจจะเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการบางสิ่งกับราชวงศ์ถัง?

 

ในความเป็นจริงจักรพรรดิหมิงย่อมมีแผนการ

 

ตอนนี้จักรพรรดิถังอายุมากแล้ว แม้ว่าจะมีการแต่งตั้งรัชทายาทเรียบร้อย แต่เหล่าองค์ชายต่างก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

 

ราชสำนักจะเข้าสู่ความวุ่นวาย

 

หากจักรพรรดิหมิงไม่ใช้โอกาสนี้ในการเคลื่อนไหว ฉายาที่ว่าเป็นยอดคนของยุคนี้ย่อมไร้ประโยชน์

 

ไม่มีความยุติธรรมใดในการสู้รบระหว่างอาณาจักร ผู้ชนะคือราชัน ผู้พ่ายแพ้ก็เป็นได้แค่กลุ่มโจร

 

“คนเหล่านี้วางแผนที่จะลอบสังหารองค์จักรพรรดิหรือเปล่า?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขนาดนั้น

 

ควรรู้ว่ามีจ้าวกงกงอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ คอยปกป้องพระองค์ทุกย่างก้าว มือสังหารเหล่านี้มีจิตสังหารที่ซ่อนเร้นอยู่ หากพวกมันไม่ลงมือทำอะไร จ้าวกงกงย่อมไม่รู้

 

แต่เมื่อมันพร้อมที่จะลงมือเมื่อไหร่แล้วละก็ กลิ่นอายย่อมรั่วไหลออกมา ด้วยตำแหน่งของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด คนเหล่านี้จะต้องตกตายในทันที

 

เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นภัยร้ายต่อองค์จักรพรรดิ

 

ถ้าองค์จักรพรรดิถูกลอบสังหารได้ง่ายดายเพียงนั้น พระองค์คงสิ้นพระชนม์ไปเสียนานแล้ว

 

ด้วยพระปรีชาของจักรพรรดิหมิง เป็นไปมิได้ที่แผนการจะธรรมดาและหยาบขนาดนี้

 

“แต่มันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?”

 

“แม้ว่าจะมีมือสังหารจากหนานหมิงมาก่อความวุ่นวายในวังหลวง ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อพระราชวังตะวันออก ก็ย่อมไม่มีผลมาถึงข้า”

 

“ไม่ว่าเรื่องราวภายนอกนั่นจะรุนแรงสักแค่ไหน ข้าก็แค่ต้องลงชื่อเข้าใช้ให้ทันเวลา…”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดมากจนเกินไป

 

ด้วยภูมิหลังของพระราชวังถัง เป็นไปได้อย่างไรที่มือสังหารจากนอกอาณาจักรเพียงไม่กี่คนจะสามารถจัดการได้?

 

ต่อมา ซูฉินก็กลับมาที่ตำหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง พบว่าสาวใช้จากพระราชวังตะวันออกรออยู่ด้านนอกนานแล้ว

 

“นายท่าน พระชายาต้องการให้ท่านไปหาที่โถงเฉิงเอิน…”

 

สาวใช้โค้งคำนับซูฉินเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงต่ำ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินมองไปบนท้องฟ้าและรู้ดีว่าองค์รัชทายาทหลี่เชิงคงต้องการจะชวนเขาไปลิ้มชิมอาหารอันเลิศรสที่ปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวของวัง

 

ไม่นาน

ซูฉินก็มาถึงห้องโถงเฉิงเอิน

 

เป็นไปตามที่คาดการณ์

 

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะหอมกรุ่นจรุงใจ

 

“พี่เขยสาม นั่งลงโดยเร็วเถิด”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงยิ้มให้ซูฉิน

 

หลังจากที่ทั้งสามคนกินไปได้สักพัก ซูฉินก็เหลือบมองไปที่ซูเยว่หยุนอย่างสบายๆ “นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้ายังมิได้มีครรภ์อีกหรือ?”

 

ซูฉินกล่าวเช่นนี้

 

สีหน้าของซูเยว่หยุนถึงกับเปลี่ยนไป

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่กำลังรับประทานอาหารอย่างมีความสุขก็ก้มหน้าลงเช่นกัน

 

“พี่สาม สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก ท่านหมอมาดูอาการหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้…”

 

หลังจากหยุดนิ่งกันไปพักหนึ่ง ซูเยว่หยุนจึงกล่าวขึ้นมา

 

ในความเป็นจริงที่ซูเยว่หยุนมิได้ให้กำเนิดทายาทมาเป็นเวลาหลายปีนั้นสร้างความไม่พอใจให้ราชสำนักและเหล่าขุนนางมานานแล้วและแม้แต่ข้าราชการชั้นพิเศษยังออกมาฟ้องร้องเรื่องนี้

 

ทางราชวงศ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสืบทอดสายเลือดต่อไป ในฐานะที่เป็นพระชายาหากไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ก็อาจส่งผลต่อความมั่นคงในตำแหน่งขององค์รัชทายาทไปด้วย

 

ถ้าไม่ใช่จักรพรรดิถังออกมาปราม เกรงว่าเรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียนานแล้ว

 

“หยุนเหนียง ไม่ต้องกังวลใจไป มันจะต้องมีวิธีแน่”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุน อดไม่ได้ที่จะปลอบโยนนาง

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินประโยคนั้น

 

วิธี?

 

ถ้ามันมีวิธีจริงๆ ไยตอนนี้ถึงยังไม่เจอหนทางใดเลยเล่า?

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามิรู้ว่ามีหมอเทวดากี่คนต่อกี่คนแล้วที่มาตรวจเยี่ยมและแม้แต่หมอประจำตัวองค์จักรพรรดิถังก็มาตรวจเยี่ยมซูเยว่หยุนด้วยตนเอง ในที่สุดจึงได้ข้อสรุปว่า ‘พลังฉีธาตุหยิน‘ เจาะทะลวงเข้าไปในร่างกายมากเกินไปและไม่สามารถดึงมันกลับออกมาได้

 

โชคดีที่หมอประจำตัวขององค์จักรพรรดินั้นภักดีต่อจักรพรรดิถังจึงไม่ได้แพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป

 

“ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า ลองให้ข้าตรวจสอบดู”

 

ซูฉินมองไปที่สีหน้าขององค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุน แล้วจึงพูดออกมาอย่างสบายๆ

 

“พี่สามอยากจะลองตรวจสอบดู?”

 

ซูเยว่หยุนงงงวย

 

แม้ว่านางจะเชื่อในตัวของซูฉินมาก ทว่าแม้แต่หมอเทวดาหลายคนก็ยังไม่พบเงื่อนงำใดเลย ซูฉินจะตรวจดูได้หรือ

 

“หยุนเหนียงให้พี่สามได้ตรวจสอบเถอะ”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ตอนแรกเขาก็ตกใจแต่รีบกระตุ้นเตือนให้นางตอบรับทันที

 

เขานั้นพลันคิดขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ ซูฉินเพียงเห็นองค์จักรพรรดิถังก็สามารถสรุปอาการได้แล้วว่าชะตากรรมคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน

 

แม้จะไม่รู้ว่าคำพูดของซูฉินเป็นจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยจักรพรรดิถังก็ไม่ได้ตำหนิอะไรในเวลานั้น

 

“ได้…”

 

ซูเยว่หยุนพยักหน้า

 

ในทันทีหลังจากนั้น

 

ซูฉินวางมือสัมผัสชีพจรของซูเยว่หยุน อันที่จริงเขากวาดผ่านร่างกายของซูเยว่หยุนทุกตารางนิ้วแล้วด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลที่เขาต้องตรวจสอบชีพจรก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อยืนยันได้แน่ใจ

 

“พลังฉีธาตุหยินเข้าสู่ร่างกาย…”

 

ซูฉินปล่อยมือแล้วส่ายหัว

 

คำที่กล่าวออกมา

 

แววตาของซูเยว่หยุนกลายเป็นว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่อยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจเช่นกัน

 

เขาจำได้แม่นว่าหมอประจำตัวขององค์จักรพรรดิถังก็พูดสิ่งเดียวกันนี้

 

จากนั้นประโยคต่อมาคือ ‘ไม่สามารถชักนำกลับมาได้‘

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูฉินกล่าวคำแผ่วเบา “แค่ปัญหาเล็กๆ”

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปี นอกเหนือจากเคล็ดวิชาลับทั้งหลาย ซูฉินยังได้รับคัมภีร์ทางการแพทย์มาอีกมากมาย

 

ในทางหนึ่ง ซูฉินในขณะนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอจากอาณาจักรไหนๆ ในโลกในแง่ของทักษะทางการแพทย์

 

เมื่อเทียบกับเหล่าหมอประจำตัวของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ ซูฉินยังสามารถรักษาอาการในจุดที่ละเอียดอ่อนบอบบางที่สุดได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

ดังนั้นสำหรับหมอเทวดาคนอื่นๆ ด้วยธาตุหยินที่ซึมลึกอยู่ภายในกายของซูเยว่หยุนนั้นไม่สามารถนำออกมาได้ แต่ในสายตาของซูฉินมันเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ

 

“อะไรนะ?”

 

ทันทีที่เสียงของซูฉินเงียบลง องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ลืมตาขึ้น เกือบจะคิดไปแล้วว่าตนได้ยินผิดไป

 

“พี่สาม ท่านว่าอะไรนะ?”

 

ซูเยว่หยุนก็ไม่เชื่อเหมือนกันและมองไปที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

 

“ข้าบอกว่าข้ารักษาได้”

 

เมื่อซูฉินพูดเช่นนี้ เขาก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขอพู่กันกับกระดาษให้ข้าหน่อย”

 

“มานี่”

 

“เร็วเข้า จงไปเตรียมพู่กันกับกระดาษมา”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงลุกขึ้นยืนในทันทีและกล่าวกับขันทีที่ยืนรออยู่ด้านข้าง

 

“ขอรับ”

 

ขันทีรีบถอยออกไป

 

จากนั้นไม่นานเขาก็นำกระดาษกับพู่กันมาวางไว้ตรงหน้าซูฉินอย่างนอบน้อม

 

ซูฉินเขียนวัตถุดิบตัวยากว่าครึ่งโหลเพื่อจดใบสั่งยา จากนั้นจึงวางพู่กันไว้ด้านข้าง

 

“ตามวัตถุดิบพวกนี้ให้ต้มเป็นซุปดื่มหนึ่งชามตอนเช้าและตอนเย็นอีกหนึ่งชาม จัดหามาให้เพียงพอสำหรับสามสิบวัน”

 

ซูฉินกล่าวคำเบาๆ

 

ความจริงใบสั่งยานี้ก็เป็นเพียงของบังหน้า เมื่อซูฉินตรวจสอบชีพจรของซูเยว่หยุนเมื่อครู่เขาก็ได้ใช้แก่นแท้แห่งพลังขับไล่พลังฉีธาตุหยินส่วนใหญ่ออกจากร่างกายนางไปเรียบร้อยแล้ว

 

หากไม่ใช่เพราะกังวลว่าร่างกายของซูเยว่หยุนจะไม่สามารถทานทนได้ ซูฉินจะรักษาอย่างตรงจุดไปเลยโดยที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยานี้เพื่อกำจัดพลังหยินที่เหลืออยู่อย่างช้าๆ เช่นนี้หรอก

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset