เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 129 ไปยังหนานจ้าว

Sign in Buddha’s palm 129 ไปยังหนานจ้าว

 

“ข้ายังต้องระมัดระวังตนเพิ่มอีก”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดถูกเหวี่ยงไปมาในหัว

 

แม้ว่าตัวเขาจะมีไพ่ลับในมือจํานวนนับไม่ถ้วน และมีฝ่ามือยูไลซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวิชาสายพุทธ แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่

 

ถ้าวันใดวันหนึ่ง ซูฉินถูกบังคับให้ต้องใช้ฝ่ามือยูไลจริงๆ ก็หมายความว่าตัวเขาไม่มีทางให้ถอยหนีแล้ว

 

“ยังไงข้าก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ ข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าในขอบเขตอรหันต์เสียก่อน ตอนนั้นคงไม่มีใครในโลกนี้มาคุกคามข้าได้”

 

ซูฉันคิดตัดสินใจ

 

“ช่วงเวลาต่อจากนี้ ข้าจะต้องปรับแต่งจิตวิญญาณภายในจี้หยกให้เร็วที่สุดแล้วเปลี่ยนมาเป็นพลังงานของตัวเอง”

 

ซูฉินหยิบจี้หยกขึ้นมาแล้วส่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนหลอมเข้าไปภายในเพื่อกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใน

 

การกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แบบนี้แตกต่างจากการกลืนโอสถ

 

แม้ว่าเจ้าของเดิมของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นพลังของผู้อื่นอยู่ดี ซูฉินจําจะต้องปรับแต่งมันสักเล็กน้อยหากเขาต้องการที่จะดูดซับมันโดยไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็กลับสู่วงจรชีวิตรูปแบบเดิมอีกครั้ง

 

แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้ซูฉินมุ่งเน้นเวลาทั้งหมดไปกับการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยก จะยกเว้นก็แต่เวลาที่ไปลงชื่อเข้าใช้ตามสถานที่ต่างๆ

“อย่างน้อยก็อีกสองเดือน ข้าน่าจะกลั่นมันจนสมบูรณ์ได้”

 

ซูฉันคิดในใจ

 

มันคุ้มค่าที่จะใช้เวลาสองเดือนเพื่อแลกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งส่วน

 

และขณะที่ซูฉินกําลังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกนั้น

 

“ลุงสาม พวกเรามาแล้ว”

 

ที่ด้านนอกของตําหนักชุนฝั่งขวา เสียงของเด็กตัวน้อยก็ดังลอดเข้ามา

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นพระโอรสและพระธิดาของจักรพรรดิถังทั้งสองคน นั่นก็คือหลี่หยวนและหลีหว่านยืนอยู่ด้านนอก

 

ข้างๆ หลี่หยวนกับหลีหว่านมีขันทีคนสนิทและนางกํานัลกําลังยืนโค้งตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเขาที่พามาที่นี่

 

“ทําไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา และถามไถ่อย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

“ลุงสาม ในวังนะน่าเบื่อเกินไป” หลีหว่านเอ่ยเสียงใส

 

“หือ?”

 

“แล้วเจ้าล่ะทําไมไม่เห็นพูดอะไรเลย?”

 

หลีหว่านหันกลับไปมองหลี่หยวนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง เธอดึงตัวเขาให้เข้าไปหาซูฉินแล้วกล่าวขึ้นว่า “ลุงสาม เสด็จพ่อให้เรามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ…”

 

“ลุงสาม…”

 

หลี่หยวนก้มหัวและพูดอะไรออกมาบางอย่าง

 

ไม่รู้ทําไม เด็กที่ไม่กลัวใครและถึงขนาดกล้าดึงหนวดของท่านอาจารย์อย่างหลี่หยวน เมื่อพบซูฉินเขากลับเกรงกลัวขึ้นมาจับใจ

 

“จักรพรรดิถัง…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธข้อเสนอขององค์จักรพรรดิถังไปตรงๆ และไม่เต็มใจที่จะสร้างสัมพันธ์ที่มากเกินไปกับองค์ชายและองค์หญิงทั้งคู่อย่างหลี่หยวนและหลีหว่าน แต่ที่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังยังต้องการจะให้ลูกๆ ของตนมาอยู่ใกล้ชิดซูฉินอยู่ดี

 

“ลุงสาม ข้าคิดว่าที่นี่นั้นสบายมากๆ สบายกว่าที่อื่นในวังหลวงทุกที่เลย…”

 

หลีหว่านกะพริบตาและกล่าวคํา

 

“งั้นรึ?”

 

ซูฉินไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย

 

หลีหว่านเดิมทีก็เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ โดยที่มีเส้นลมปราณที่ปลอดโปร่งตั้งแต่กําเนิดสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดินได้เล็กน้อย

 

สําหรับตําหนักขุนฝั่งขวาที่ซูฉินอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่ามีค่ายกลฟ้าดินระดับสูงอยู่ตั้งกี่แห่ง ถึงแม้ว่าค่ายกลฟ้าดินพวกนี้จะไม่ได้ใช้สําหรับรวบรวมพลังงานฟ้าดิน แต่พวกมันก็สามารถสร้างผลกระทบต่อพลังงานในพื้นที่ได้บ้าง

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้หลีหว่านรู้สึกว่าที่นี่แตกต่างไปจากที่อื่น

 

“เจ้าชื่นชอบวิทยายุทธหรือไม่?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หลีหว่านและถามอย่างไม่จริงจังนัก

 

“วิทยายุทธ?”

 

“ที่พวกกงกงพวกนั้นใช้เหาะเหินเดินอากาศนะหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายและเธอก็รีบพูดขึ้นในทันที “แน่นอนว่าหลีหว่านชอบแบบนั้น”

 

“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็จงไปบอกพ่อของเจ้าว่าเจ้าอยากจะฝึกฝนวิทยายุทธ”

 

ซูฉันมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวคําแผ่วเบา

 

ด้วยพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธของหลีหว่าน คงจะน่าเสียดายแย่หากไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธ

 

ซูฉินก็แค่คิดแบบนั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจจะสอนหลีหว่านด้วยตนเอง

 

ในวังหลวงมีจอมยุทธมากมาย และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งตั้งหลายสิบคน ฉะนั้นซูฉินจึงไม่จําเป็นต้องทําด้วยตนเอง

 

จากนั้นไม่นาน

 

หลี่หยวนและหลีหว่านก็ขอให้นางกํานัลและขันทีข้างกายให้พาเธอกลับที่ประทับ

หลังจากที่หลีหว่านกับหลี่หยวนจากไป

 

ที่สัมผัสบางอย่างด้วยจิตใจแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ตราประทับที่ใส่เอาไว้กําลังจะสลายไปแล้ว”

 

“รอจนกว่าข้าจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นก่อนเถิด แล้วจะหาเวลาเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าว”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งแต่มีความคิดบางประการอยู่ในใจ

 

ไม่กี่ปีก่อน สาวกลัทธิบูชาจันทร์พยายามควบคุมซูเฉิงฮ่าวด้วยมนต์คาถา

 

ในตอนนั้นซูฉินกําจัดคนที่ร่ายคาถาทันที และใช้ส่วนหนึ่งที่แยกออกจากประกายแสงดาบสร้างรอยประทับให้กับคนของอีกฝ่ายเพื่อจับตําแหน่งของเจ้าพวกนั้น และมันก็เป็นไปตามแผนที่ซูฉินวางเอาไว้

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้อีกฝ่ายก็เดินทางกลับไปจนถึงอาณาจักรหนานจ้าว ก่อนที่จะมีการจัดพิธีบูชาเทพแห่งจันทรา ยามนั้นก็ถึงเวลาที่ซูฉินจะไปเยือนที่นั่น

 

ลัทธิบูชาจันทร์ถึงกับกล้ายื่นมือมาแตะต้องตระกูลซู พวกเขาก็ต้องเตรียมพร้อมกับการโดนล้างบาง

 

“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ข้าได้เห็นผ่านตามาจากคัมภีร์โบราณในวังหลวง เหมือนว่า เทพจันทรา ที่สาวกลัทธิบูชาจันทร์เคารพนับถือนั้นค่อนข้างแปลก…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและครุ่นคิด

 

ถึงแม้ซูฉินจะสงสัย แต่เขาเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก

 

“เทพจันทรา” ของลัทธิบูชาจันทร์ถึงความจริงจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นถึงระดับตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นลัทธิบูชาจันทร์ก็คงเรืองอํานาจไปทั่วดินแดนแล้ว ทําไมถึงมีอิทธิพลอยู่แค่ในมุมเล็กๆ อย่างอาณาจักรหนานจ้าว?

 

“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ไปดูเดี๋ยวคงได้รู้กัน”

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นซูฉินก็เริ่มปรับแต่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ภายในจี้หยกอีกครั้ง

 

สองเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ในวันนี้ฉันลืมตาขึ้นมา ไอพลังที่ไม่อาจหยั่งถึงได้แผ่ออกมา และจางหายไปในเวลาเพียงไม่นาน

 

เบื้องหน้าของซูฉิน รอยร้าวเริ่มปรากฏบนผิวของจี้หยกอันใสสะอาด

 

หลังจากที่รอยร้าวนี้ปรากฏขึ้น มันก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว รอยแตกลามไปทั่วทั้งตัวหยกในพริบตา

 

หลังจากนั้น

 

แกร๊กๆ

 

มันก็กลายเป็นผุยผงทันที

 

จี้หยกชิ้นนี้แต่เดิมมีไว้เพื่อบรรจุจิตวิญญาณของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง และตอนนี้จิตวิญญาณภายในได้หายไปแล้ว ฉะนั้นจี้หยกก็ย่อมจะสลายหายไปด้วย

 

“อีกไม่นานแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นและเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ในการเดินทางไปหนานจ้าวในครั้งนี้ ซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครเอาไว้ ด้วยความเร็วของเขาระยะทางจากฉางอันไปหนานจ้าวที่คนทั่วไปคงจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งปี เขาสามารถไปถึงได้ภายในครึ่งวัน

 

เพราะฉะนั้นเขาไม่จําเป็นต้องไปแจ้งใครเรื่องนี้

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป ซูฉินได้แวะไปที่ตระกูลซูโดยแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล็กน้อย แล้วผูกติดไว้ที่ตระกูลซู

 

ตอนที่ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาห่อหุ้มทั่วทั้งเมืองฉางอันเอาไว้ตลอดเวลา ทุกคนในตระกูลซูจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูฉินต้องการจะออกจากฉางอันไปอาณาจักรหนานจ้าว ถึงจะเป็นเวลาเพียงครู่เดียวเขาก็จะไม่ลดการเฝ้าระวังลง

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน แต่รัศมีพลังของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอจะปกคลุมผืนปฐพีได้ แม้ว่าจะต้องเจอกับตํานานยุทธก็ยังพอยื้อเวลาได้สักพักใหญ่ เพียงพอให้ตัวเขารีบกลับมาได้ทัน

 

สําหรับจักรพรรดิหลี่เชิงและซูเยวหยุน ซูฉินก็ได้แยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่พวกเขาเช่นกัน

 

แม้ว่าซูเย่วหยุนจะมีจี้หยกที่มีเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบไว้ให้

 

แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในจี้หยกนั้นแตกต่างไปจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยามที่ซูฉินเข้าสู่ระดับตำนานยุทธได้แล้ว มันมีประโยชน์น้อยกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน

 

“วันนี้ข้าจะทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ไปก่อน บางทีอาจจะเอาไปใช้ตอนที่อยู่ในลัทธิบูชาจันทร์ได้”

 

ซูฉินเลือกที่จะละทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้วันนี้ไป

 

หากที่ลัทธิบูชาจันทร์สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ ซูฉินก็จะใช้สิทธิ์ลงชื่อที่นั่น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ซูฉินจะรีบกลับมาที่วังก่อนจะเปลี่ยนผ่านวันใหม่

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินเดินทางออกจากวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset