Sign in Buddha’s palm 131 ฝ่ามือบดขยี้ฟ้าดิน
เมื่อได้มาถึงที่นี่แล้ว
เด็กสาวทั้งหลายสามารถมองเห็นวิหารของลัทธิบูชาจันทร์ที่สูงตระหง่านตั้งอยู่บนยอดเขาที่ห่างออกไปสิบลี้
แต่ถึงจะไกลอย่างไร ความสง่างามของสถานที่แห่งนั้นก็ยังคงเปล่งประกายราวกับเขาทั้งแสนลูกสะท้อนแสงล้อไปกับมัน
หงเฟยมองไปที่มันอย่างหวาดกลัวแล้วจึงชําเลืองมองไปยังเด็กสาววัยรุ่นทั้งหลายแล้วกล่าวคํากระซิบ “เราต้องรออยู่ที่นี่ก่อน จําไว้ให้ดีอย่าก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าเด็ดขาด
ชายวัยกลางคนแสดงท่าที่จริงจังพร้อมทั้งกล่าวเตือน
“ค่ะ”
เหล่าเด็กสาวก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“ลัทธิบูชาจันทร์นี่ช่างเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ”
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง มองไปที่วิหารของลัทธิบูชาจันทร์
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ล้อมรอบไปด้วยหน้าผาในทุกทิศทาง ตราบใดที่สามารถป้องกันทางเข้าทางออกไว้ได้ ต่อให้ถูกกองทัพนับล้านเข้าโจมตีก็ยังอยู่รอดปลอดภัย
เว้นแต่จะเป็นกลุ่มจอมยุทธขอบเขตสามระดับบนที่บุกเข้าไปภายในโดยมเกรงกลัวความตายเท่านั้น หากเป็นจอมยุทธทั่วๆ ไปไม่ว่าจะมีกี่คนก็ทําอะไรพวกมันไม่ได้
พวกเขาจะแตะต้องลัทธิบูชาจันทร์ไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ํา
ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะขณะที่ใช้ความคิดไปด้วย
ทันใดนั้นภายในวิหารของลัทธิบูชาจันทร์ที่ห่างออกไปสิบลี้ก็ปรากฏไอพลังที่มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอเหมือนตอนที่ใช้มองเหล่าจอมยุทธ เพียงแต่ไอพลังพวกนี้มีลักษณะแปลกแตกต่างออกไป
“สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ สิ่งที่พวกเขาฝึกฝนคือมนต์คาถาและคําสาปผ่านการใช้หนอน และสามารถฆ่าคนได้จากระยะไกลแสนไกล…”
ซูฉินมองเข้าไปภายในวิหารของลัทธิบูชาจันทร์พลางคิดในใจอยู่เงียบๆ
“อย่างไรก็ตามจากลัทธิบูชาจันทร์ทั้งหมด คนที่มีพลังในระดับใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่หนึ่งนั้นมีเพียงแค่สองคน ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรน่ากังวล”
ซูฉินสังเกตดูอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและทําความเข้าใจเกี่ยวกับส ถานการณ์ทั่วไปของลัทธิบูชาจันทร์
“แต่ว่า ทําไมข้าถึงไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของ “เทพจันทรา” ได้เลย?”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่วิหารของลัทธิบูชาจันทร์ทั่วทั้งหมดด้วยดวงตาแห่งสัจจะแต่เขาไม่พบสิ่งที่เรียกว่า “เทพจันทรา” เลย
เผื่อว่าจะพลาดอะไรไป ซูฉินก็ยังคงตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะต่อไปอีกพักหนึ่ง และส่ายหัวเล็กน้อยหลังจากที่ยืนยันขีดความสามารถของลัทธิบูชาจันทร์ทั้งหมดแล้ว
“ลืมมันไปเถอะ”
“ไม่จําเป็นต้องเสียเวลาเพิ่มแล้ว”
ความคิดของซูฉินแปรผันไปมา และเขาก็ก้าวเท้าเดินไปด้านห
หงเฟย ชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลนัก ตกใจเมื่อเห็นสิ่งนั้น เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ช่วงนี้เป็นเวลาการสักการะของลัทธิบูชาจันทร์ ทุกสิ่งที่ต้องทําคือรอคอยการจัดการจากทางลัทธิโปรดระมัดระวังด้วย…”
หงเฟยคิดว่าซูฉันคงจะไม่สามารถอดทนได้และต้องการเดินตามสะพานเหล็กเพื่อไปยังวิหารของลัทธิบูชาจันทร์
พฤติกรรมนี้อาจจะดูเหมือนเรื่องปกติ แต่ในความจริงมันคือการยั่วยุลัทธิบูชาจันทร์
ชายวัยกลางคนที่ชื่อว่าหงเฟยผู้นี้เข้าใจกฎของที่นี่อย่างชัดเจนไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นผู้นํา หรือใหญ่โตมาจ กไหนก็จําเป็นต้องอดทนรอเมื่อมาถึงที่นี่
บรรดาผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกตามล่าโดยลัทธิบูชาจันทร์
ด้วยอิทธิพลของลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าวควบคู่กับคําสาปที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากถูกล่าจากลัทธิบูชาจันทร์จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพบกับจุดจบ
อย่างไรก็ตาม
ในช่วงเวลาต่อมา
ต่อหน้าสายตาที่อึ้งทึ่งของชายวัยกลางคน หงเฟย
ซูฉินยกมือขวาขึ้นชี้ไปทิศทางหนึ่งที่ห่างออกไปสิบลี้แล้วค่อยๆ กดมือลงไปที่สถานศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์
ทันใดนั้นลมที่หวีดหวิวอยู่บนยอดเขาก็พลันหยุดลง เหลือเพียงฝ่ามือสีทองเข้มเท่านี้ที่ครอบคลุมท้องฟ้าแลปฐพีเอาไว้
ณ ลัทธิบูชาจันทร์
ภายในวิหารสูงตระหง่าน
สาวกลัทธิบูชาจันทร์และเหล่าผู้อาวุโสกําลังนั่งไขว้ขา สีหน้านิ่งส นิทราวกับกําลังอับอายกับอะไรสักอย่าง
“ช่วงไม่กี่ปีก่อน พระแม่ได้ตกตายอยู่ที่ฉางอัน อาณาจักรถัง”
ในเวลานั้นผู้นําของลัทธิบูชาจันทร์ก็ยืนขึ้นอย่างกะทันหัน มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งหลายและกล่าวคําด้วยเสียงทุ่มต่ํา
คําที่ได้กล่าวออกไป
ผู้อาวุโสในห้องโถงต่างพากันสั่นสะท้านภายในใจ
ไม่กี่ปีก่อนเพื่อเตรียมแผนการต่อราชวงศ์ถัง ลัทธิบูชาจันทร์ถึงกับส่งพระแม่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ ออกไปยังฉางอันเป็นกรณีพิเศษโดยหวังจะตอกฝั่งตะปูที่เปรียบกับแผนการร้ายลงไปในตระกูลหลี
อย่างไรก็ตามเกิดสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดขึ้น ไม่เพียงแต่พระแม่จะล้มเหลวในแผนการใหญ่เท่านั้น แต่ยังเสียชีวิตลง ณ เมืองฉางอันด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น หญิงชราผมขาวที่กลับมาจากเมืองฉางอันยังเล่าด้วยว่าการเสียชีวิตของพระแม่เกิดจากประกายดาบที่ฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้า
ไม่ใช่แค่พระแม่ที่ตกตาย แต่หนอนก่ที่เก่าแก่ที่สุดที่อยู่ภายในร่างของพระแม่ก็ถูกเฉือนจนกลายเป็นผุยผง
เมื่อข่าวนี้มาถึงหูของผู้อาวุโสและผู้นาลัทธิ ทุกคนก็ราวกับถูกฟ้า
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ลัทธิบูชาจันทร์ในปัจจุบันจะรับมือไหว
ในหลายปีที่ผ่านมา ลัทธิบูชาจันทร์ต่างก็หวาดกลัวว่าสักวันหนี้งอีกฝ่ายจะมาหาพวกเขาหรือไม่
“ท่านผู้นา เราจะทําเช่นไรกับเรื่องนี้ดี”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็มองไปที่ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์เช่นกัน
พระแม่ตกตายอยู่ที่เมืองฉางอันแต่แล้วมันยังไงล่ะ?
ตามที่หญิงชราผมขาวอธิบาย ในเวลานั้นคนที่โจมตีอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นยอดยุทธที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่ลัทธิบูชาจันทร์ในปัจจุบันจะรับมือได้ไหว
พลังฉีและเลือดเนื้อของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเพียงพอที่จะเพิกเฉยต่อคําสาปและมนต์คาถาทั้งหมด
“ข้ากําลังจะพูดเรื่องนี้แหละ…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ก็หยุดไปพักหนึ่งแล้วจีงพูดต่อ “ลัทธิบูชาจันทร์จะต้องล้างแค้นได้ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน”
“อะไรนะ?”
ผู้อาวุโสหลายคนต่างดูสับสนงงงวย
ล้างแค้น?
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาจะแก้แค้นอย่างไร?
อีกฝ่ายไม่ได้เผยตัวตนแม้แต่น้อยตอนที่เขาฉีกกระชากหนอนที่เก่าแก่ที่สุดของลัทธิบูชาจันทร์เป็นชิ้นๆ พวกเขาจะไปแก้แค้นได้อย่างไร?
ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสล้วนประหลาดใจและไม่แน่ใจ
ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์กล่าวอย่างช้าๆ “ข้าได้เรียนรู้เจตจํานงแห่งเทพจันทราแล้ว หลังจากการบูชายัญในครั้งนี้ เทพจันทราจะมาปรากฏตัวบนโลก”
คําที่กล่าวออกมา
ท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไป
4 “เทพจันทรา” จะมาปรากฏตัวบนโลก….”
“นี่นี่ สิ่งที่ท่านบอกเป็นความจริงอย่างนั้นหรือท่านผู้นา?”
ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซีดเซียวสั่นสะท้านเมื่อฟังคําดังกล่าว เขามองไปที่ผู้นําของลัทธิบูชาจันทร์ด้วยความตื่นเต้น
“จริงแท้แน่นอน!”
ผู้นาแห่งลัทธิบูชาจันทร์พยักหน้าเล็กน้อย นาเสียงของเขาเจือไปด้วยความกระตือรือร้นอยู่เต็มเปี่ยม
ในสายตาของเหล่าสาวกของลัทธิบูชาจันทร์นั้น “เทพจันทราคงกระพันไร้ต้าน ตราบใดที่เทพจันทราคงอยู่ ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะหยุดลัทธิบูชาจันทร์ของพวกเขาได้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“ด้วยร่มไม้ใหญ่อย่าง “เทพจันทรา” ทําไมลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจะยังต้องเป็นเต่าหดหัวอยู่แต่ในอาณาจักรหนานจ้าวอีก?”
“ถูกต้อง ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนฆ่าพระแม่ มันก็ต้องพบกับความตายอย่างไร้หนทางสู้”
“ท่านผู้นํา ทําไมไม่เริ่มระดมพลศิษย์สาวกกันเลยเล่าเมื่อเทพจันทราปรากฏตัวขึ้น ข้าจะกวาดล้างเมืองฉางอัน ล้างแค้นให้พระแม่!”
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างส่งเสียงโห่ร้อง
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ก็โบกมือแล้วกล่าวขึ้นว่า “อีกไม่นานฉางอันจะถูกทําลาย และศัตรูของพวกเราก็จะประสบชะตากรรมเดียวกัน”
“อีกไม่นาน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจะครองโลก!”
ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งหลายหารือกันว่าจะทรมานคนที่สังหารพระแม่อย่างไรดี
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นที่ด้านนอก
ทันใดนั้นก็มีเส…
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์ขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ดูไม่พอใจเช่นกัน
พวกเขากําลังตั้งหน้าตั้งตารอคอย แต่กลับถูกขัดจังหวะ
“ออกไปดูกันเถอะ”
ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์รู้สึกถึงลางที่ไม่ค่อยดี จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก
ผู้อาวุโสต่างมองหน้ากันและเดินตามหลังผู้นไป
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้นาลัทธิบูชาจันทร์เดินออกมานอกวิหาร เขาก็พบว่าสาวกทุกคนกําลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว
“หือ?”
ผู้นําและผู้อาวุโสของลัทธิบูชาจันทร์ระงับความสงสัยในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า
ในเวลาต่อมา ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนแม้จะผ่านเวลาไปทั้งชีวิต
เขาเห็นฝ่ามือพระพุทธรูปสีทองเงาวาว มีรัศมีแสงอันบริสุทธิ์กระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฝ่ามือสีทองนั้นก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์ กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์กดทับลงมาสะกดทุกสิ่งโดยรอบในทันที
ตอนนั้นเอง ท้องฟ้าทั้งผืนก็มืดครึ้ม!