Sign in Buddha’s palm 132 ซูฉิน : ยังไม่ยอมออกมา ต้องให้ข้าลงมือเองหรือเปล่า?
ด้านนอกวิหาร
ผู้นําและผู้อาวุโสของลัทธิบูชาจันทร์พากันสั่นสะท้านมองไปที่ฝ่ามือของพระพุทธรูปทองคําที่ค่อยๆ พุ่งลงมาจากท้องฟ้า มันปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้ารวมถึงดวงอาทิตย์ ในใจของพวกเขาต่างไม่อยากจะเชื่อ
“นั่นมันคืออะไรกัน?”
หัวใจของผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ตื่นตระหนก เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัว ซึ่งแรงกดดันนี้ก็ทําให้เหล่าศิษย์สาวกนั้นคุกเข่าลงแทบพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองฝ่ามือสี ทองที่ปกคลุมท้องฟ้านั้นตรงๆ
จะมีก็แต่ผู้นําและผู้อาวุโสบางคนเท่านั้นที่พอจะต้านเอาไว้ไม่ให้ตนคุกเข่าลงไปได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือพระพุทธรูปสีทองยังคงส่งแรงกดดันออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นานนัก
ฉับพลันนั้นเองในที่สุดผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ก็หลุดออกจากภวังค์และตระหนักว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เพียงไม่กี่อึดใจพวกเขาจะต้องโดนฝ่ามือนี้บดขยี้เป็นแน่
“วิ่ง!!”
ดวงตาของผู้นําลัทธิบูชาจันทร์เปลี่ยนเป็นแดงฉาน เขาเผาผลาญแก่นแท้และเลือดเนื้อของตนอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่หนอนกู่ภายในตัวก็ยังตื่นตกใจส่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา
“พึ่บ!”
หนอนกู่ตัวสีทองจางๆ โผล่มาที่ด้านข้างของผู้นาลัทธิบูชาจันทร์ ทันใดนั้นพลังจิตวิญญาณของผู้นําลัทธิฯ ก็พวยพุ่งออกมาราวกับว่ามันมีไม่หมดไม่สิ้น
แกร้ก
ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์เหยียบกระแทกพื้นอย่างรุนแรงแล้วกลายเป็นร่างวูบไหวราวกับภูตผีกระโจนพุ่งพยายามออกไปนอกวิหารศักดิ์สิทธิ์
นอกเหนือจากผู้นก็ยังมีตัวแทนลัทธิบูชาจันทร์ อีกคนหนึ่งที่ทําเช่นเดียวกัน หลบหนีจากแรงกดดันของฝ่ามือสีทองไปในทิศทางตรงกันข้ามกับผู้นาลัทธิบูชาจันทร์
ทั้งผู้นําและตัวแทนลัทธิบูชาจันทร์ ทั้งคู่ต่างไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สาวกคนอื่นๆ ออกมาเลย
เพราะพวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าภายใต้ฝ่ามือสีทองอันนี้ ลัทธิบูชาจันทร์ได้มาถึงจุดจบเสียแล้ว
“คิดจะหลบหนี?”
ซูฉินซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบลี้ มองเห็นภาพนั้นแล้วก็ส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
ฝ่ามือที่เขาใช้เมื่อครูไม่ใช่ฝ่ามือยไลของจริง เป็นเพียงแค่แบบจําลองแนวคิดจากเคล็ดวิชาจริง แต่กระนั้นจอมยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นก็ไม่สามารถจะต้านทานมันได้
เป็นไปตามการคาดการณ์
ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์และตัวแทนลัทธิฯ ที่หลบหนีออกมาอีกคนหนึ่งได้ค้นพบว่า ใต้แรงกดดันของฝ่ามือสีทอง พวกมันสามารถสลัดหลุดจากแรงกดดันเหล่านั้นจนขยับเขยื้อนตัวได้ แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวพวกมันนั้นเหลือความเร็วในการเคลื่อนที่ไม่ต่างจากเต่าตัวหนึ่ง
ด้วยความเร็วในปัจจุบัน คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันถึงจะหลบหนีออกจากบริเวณวิหารของลัทธิบูชาจันทร์ได้
ใช่ใช้เวลาเป็นวัน
แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเวลาเป็นวันเลย เพียงใช้เวลาแค่ครู่เดียว สถานศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์คงจะถูกฝ่ามือสีทองอันนี้ถล่มลงมาได้หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว
“ไม่นะ!!!”
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองขึ้นไปอย่างสิ้นหวังของเหล่าศิษย์สาวกรวมถึงผู้นําและตัวแทนของลัทธิบูชาจันทร์ ฝ่ามือพระพุทธรูปสีทองก็กดทับลงมาในบัดดล
ในเวลานี้ ทุกสิ่งอย่างพังทลายลงวิหารลัทธิบูชาจันทร์ ถูกถล่มกลายเป็นเศษผงฟุ้งกระจายหายไปจากโลกนี้ ไม่เหลือเค้าลางเดิม
หากว่ามีใครมองดูจากที่ไกลๆ จะพบว่ายอดภูเขาที่วิหารลัทธิบูชาจันทร์เคยตั้งอยู่กลายเป็นโล่งเตียนเหมือนถูกตัดทิ้ง หลงเหลือเพียงรอยประทับรูปฝ่ามือจางๆ บนพื้นดิน
ตั้งแต่ต้นจนจบ
ตัวตนตั้งแต่ผู้นไปยันศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ล้วน ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“จบแล้วหรือ?”
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ความคิดในใจยังคงผันผวน
แม้ว่าลัทธิบูชาจันทร์จะมีสถานะสูงสุดในอาณาจักรหนานจ้าว แต่อันที่จริงแล้วพฤติกรรมของลัทธิบูชาจันทร์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพรรคมาร
การฆ่าสังหารตามอําเภอใจ ใช้สิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องสังเวยถวายแด่ “เทพจันทรา” สิ่งเหล่านี้กลับกระทํากันอย่างง่ายดายราวกับการกินดื่มในสายตาของลัทธิบูชาจันทร์
“ถึงแม้ฝ่ามือยูไลจะแข็งแกร่ง แต่สําหรับตัวข้าในตอนนี้ หากต้องการจะใช้ฝ่ามือยูไลจริงๆ เกรงว่ามันจะต้องกินพลังงานไปกว่าหกส่วนของแก่นแท้แห่งพลัง”
ซูฉินประมาณการอยู่ภายในใจ
ฝ่ามือของเขาเมื่อครู่เป็นเพียงเค้าลางแนวทางเคล็ดวิชาของฝ่ามือยูไลที่แท้จริง แต่มันก็พอจะทําให้ซูฉินกะปริมาณการใช้พลังของฝ่ามือยูไลได้บ้าง
ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนที่กําลังจะห้ามปรามซูฉินยืนแข็งค้างอยู่กับที่รวมไปถึงเหล่าเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงไปด้วย ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึก ม่อยากจะเชื่อถือสิ่งที่เห็น
พวกเขามองไปที่ซูฉินสลับกับวิหารลัทธิบูชาจันทร์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นฝุ่นผงด้วยสายตาหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“วิหารศักดิ์สิทธิ์ วิหารศักดิ์สิทธิ์หายไปแล้ว”
ฟันของชายวัยกลางคนอย่างหงเฟยสั่นกระทบกัน ตัวเขาคิดว่าตนกําลังอยู่ในความฝันเสียอีก
ลัทธิบูชาจันทร์อยู่ในอาณาจักรหนานจ้าวมานานนับแสนปี ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวในอดีตต่างก็ต้องเคารพศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ สํานักอื่นใดที่คิดจะเข้ามา แทนที่ลัทธิบูชาจันทร์ต่างก็ทําได้แค่คิด
หงเฟย ชายวัยกลางคนไม่คิดฝันว่าวันหนึ่งลัทธิบูชาจันทร์ที่อยู่ในจุดสูงสุดในสายตาเขาจะถูกใครบางคนทําลายล้างไป…
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนก็ตัวแข็งที่อจ้อง มองไปยังร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างเคารพ ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะติดใจสงสัย
เพราะตัวเขารู้แก่ใจว่า แม้แต่ตัวตนยักษ์ใหญ่อย่างลัทธิบูชาจันทร์ก็เหมือนกับมดที่วิ่งอยู่บนฝ่ามือของซูฉิน นับประสาอะไรกับพวกเขาเอง?
“พวกเจ้าออกไปจากที่นี่เถอะ”
ซูฉินเหลือบมองไปที่หงเฟยแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่จริงจังนัก
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ ส่วนเด็กสาวด้านข้างก็ยังไม่เคยมีโอกาสไปสักการะในสถานศักดิ์สิทธิ์เลยด้วยซ้ํา
แม้ว่าซูฉินจะสามารถสะบัดมือเพื่อทําลายล้างลัทธิบูชาจันทร์โดยไม่รู้สึกอะไร ไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะสังหารผู้บริสุทธิ์ตามอําเภอใจ
ที่ซูฉินทําลายล้างลัทธิบูชาจันทร์ก็เป็นเพราะลัทธิบูชาจันทร์ยั่วยุตนก่อน
“ใช่แล้ว”
“ใช่ๆ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
หงเฟยได้ยินคํากล่าวของซูฉันก็รู้สึกราวกับนักโทษที่ได้รับการนิรโทษกรรม รีบพากลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อยู่ข้างๆ จากไปด้วยความเคารพและหลังจากพ้นระยะเขาก็รีบพาเด็กๆ หนีไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง
“ลัทธิบูชาจันทร์ได้ครอบงําอาณาจักรหนานจ้าวมาร่วมแสนปี แต่ตอนนี้มันถูกทําลายลงไปแล้ว คงส่งผลกระทบขนาดใหญ่ต่อทั้งอาณาจักรแน่ๆ..”
หลังจากชายวัยกลางคนและคนอื่นๆ ได้จากไป
ซูฉินก็เหลือบมองไปที่ภูเขาลูกเดิมอีกครั้ง สถานที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของวิหารลัทธิบูชาจันทร์ และกําลังจะเตรียมเดินทางกลับไปยังอาณาจักรถัง
อย่างไรก็ตาม
ในตอนนั้นเอง
การแสดงออกของซูฉินก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาในทันที
“น่าสนใจ”
ท่าที่ที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน เขาก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าและหายตัวไปจากจุดที่เคยอยู่
เมื่อปรากฏตัวอีกทีเขาก็มาอยู่บนภูเขาที่แต่เดิมเป็นที่ตั้งของลัทธิบูชาจันทร์
ตําแหน่งนี้เป็นส่วนลึกของวิหารก่อนที่จะถูกทําลาย
ไม่ไกลจากซูฉินมากนัก มีรูปปั้นหินหยกสูงเท่าตัวคนตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเงียบ
รูปปั้นหยกนี้ดูเหมือนผู้หญิงที่ใบหน้าขาวซีด และมองเห็นร่องรอยการแกะสลักได้ไม่ชัดนัก ค่อนข้างเลือนราง แต่ที่ตรงกลางระหว่างคิ้วของรูปปั้นหยกมีร่องรอยคล้ายดวงจันทร์ประทับอยู่
หากเป็นคนธรรมดาหรือแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมาเห็นรูปปั้นหยกอันนี้ แม้ว่าจะแปลกใจว่าทําไมรูปปั้นถึงเหมือนคนจริงๆ ได้ขนาดนี้ แต่สักพักก็คงจะรู้สึกว่าตนเองคิดมากจนเกินไป
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ารูปปั้นหยกจะเหมือนจริงแค่ไหน มันก็เป็นเพียงรูปปั้นหยกไม่มีชีวิตจิตใจ ค่าของมันเล็กน้อยมากในสายตาของผู้ฝึกยุทธ
อย่างไรก็ตาม ซูฉินมองดูรูปปั้นหยกอย่างพินิจพิเคราะห์ ผ่านไปครู่หนึ่งรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินก่อนจะพูดว่า
“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมออกมาตอนนี้ จะต้องรอให้ข้าลงมือเองเลยหรือไม่?”