Sign in Buddha’s palm 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!
ในรอบแรกของ ‘การถกปัญหาธรรม‘ ก็เป็นไปตามที่ซูฉินคาดเดาเอาไว้ ในรอบนี้ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เจินหยวนก็มีใบหน้าที่ซีดลงเพราะไม่รู้จะตอบคำถามต่อไปอย่างไร
ถึงแม้ว่าเจินหยวนจะเชี่ยวชาญในพระธรรมคำสอน แต่เขานั้นประเมินบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระต่ำเกินไป ทุกๆ คำที่ป๋าถัวพูดลื่นไหลราวกับมนต์สะกดที่ตราตรึงอยู่ในใจจนเขาไม่สามารถจะต่อสู้ ได้แต่พ่ายแพ้ลงในที่สุด
“ข้าแพ้แล้ว”
เจินหยวนยอมแพ้ สายตาเขาหมองหม่นลง
แม้ว่า ‘การถกปัญหาธรรม‘ ในบรรดาสำนักพุทธทั้งสี่จะไม่ได้ใช้ศิลปะวิชายุทธมาต่อสู้ห้ำหั่นกัน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว อย่างแรกดูจะอันตรายกว่าเสียอีก
การประลองด้วยวิทยายุทธอย่างมากก็เพียงแค่บาดเจ็บตามร่างกาย ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงจนเกินไป การฟื้นตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
แต่การ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ความเข้าใจส่วนตัว เมื่อสูญเสียไป แม้ร่างกายจะสบายดีแต่จิตวิญญาณย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักและอาจตกอยู่ในความสงสัยในตนจนนำไปสู่การกลายเป็นมารร้ายในจิตใจไปเลยก็มี
ถ้าจิตใจส่วนที่เป็นมารก่อตัวขึ้นได้สักหนึ่งในสิบแล้วล่ะก็ ผู้นั้นย่อมไม่มีความก้าวหน้าต่อไปทั้งชีวิต ติดอยู่แบบนั้น
ด้วยจุดจบแบบนี้ของเจินหยวน เหล่าศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
พวกเขามีความหวังว่าเจินหยวนที่มีความเข้าใจมากในพระธรรมจะสามารถเอาชนะป๋าถัวแห่งอารามวัชระได้ แต่พวกเขากลับแพ้อย่างยับเยินเกินไป
เจินหยวนต้านเอาไว้ได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนจะลุกขึ้นขอยอมแพ้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
มันหมายความว่าความเข้าใจในธรรมของเจินหยวนยังด้อยกว่าป๋าถัวมาก
“ท่านปล่อยให้ข้าได้ชัยเสียแล้ว”
ป๋าถัวมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพนมมือค้อมหัวลงให้กับเจินหยวน
“เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดเตรียมรูปต่อไปมาเลย” สงฆ์ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระมองทางเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวคำ
“หึ!” หัวหน้าฝ่ายวินัยพ่นลมหายใจออกสีหน้าขมึงเกร็ง มองไปยังใบหน้าของเจินหยวนที่มีร่องรอยของความทุกข์ฉายอยู่
เจินหยวนเป็นศิษย์คนโปรดของเขา เขาจะทำเฉยเมยได้เช่นไรเมื่อถูกทำลายจิตใจเช่นนี้?
“นะโม อมิตตาพุทธ……”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ป๋าถัวอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เจินเข่อ”
“ครับท่านเจ้าอาวาส”
ศิษย์คนที่สองของวัดเส้าหลินลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่เจินหยวนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่
‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“ช่างน่าเบื่อ”
ซูฉินเฝ้ามองอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกมายามเมื่อสบโอกาส
พวกศิษย์ลานจิปาถะเดิมก็เป็นกลุ่มศิษย์ที่ถูกวางไว้ปลายแถวอยู่แล้ว ตัวซูฉินเองก็เป็นสุดยอดของความไม่โดดเด่น เช่นนั้นเขาจึงออกไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลย
“เดินทีข้าคิดว่าพุทธศาสนาจะช่วยปลีกตัวตนของผู้คนออกจากโลก แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป”
ที่แรกซูฉินไปยังศาลาพระคัมภีร์เพื่อจะใช้สิทธิลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ จากนั้นจึงมองหาที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อที่จะใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์
สองสามชั่วโมงต่อมาซูฉินก็กลับไปที่โถงใหญ่
อย่างไรก็ตาม
เวลานี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังของเหล่าศิษย์
“พวกเราแพ้ พวกเราพ่ายแพ้…” ศิษย์คนหนึ่งจากลานจิปาถะที่อยู่ใกล้ๆ พึมพำ แลดูว่างเปล่า
“แพ้หมด?”
ซูฉินมองไปที่หน้าโถงประชุมใหญ่
ในขณะนี้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนามว่าเจินหวู่ที่เป็นผู้นั่งประจันหน้าอยู่กับป๋าถัว
เจินหวู่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางหมู่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เขาได้รับการยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตั้งแต่เข้ามาในวัดเป็นครั้งแรก
และเจินหวู่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอาวาสผิดหวัง ทั้งความรู้ความเข้าใจในศาสนาและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธของเขานั้นสูงที่สุดในหมู่พระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินเลย
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแม้กระทั่งจะเตรียมฝึกให้เจินหวู่มาเป็นเจ้าอาวาสรุ่นต่อไปของวัดเส้าหลิน
โดยพื้นฐานตามการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ที่ผ่านๆ มา ศิษย์อย่างเจินหวู่จะต้องไปอยู่ในรอบสุดท้ายเพื่อรับบทเป็นไพ่ลับ
แต่ในตอนนี้
เจินหวู่ได้เข้าประลองเรียบร้อย
มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…
ศิษย์แปดคนแรกของวัดเส้าหลินล้วนแต่พ่ายแพ้ไปแล้ว
“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ซูฉินอดประหลาดใจเล็กๆ ไม่ได้
แค่สองสามชั่วโมง น้อยกว่าครึ่งวันเสียอีก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามวัชระก็ชนะศิษย์ทั้งแปดของวัดเส้าหลินไปแล้ว?
จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก
มันควรจะเป็นศิษย์ทั้งเก้า
เพราะในขณะนี้เจินหวู่ดูเหมือนจะตกเป็นรองและคงจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นาน
ภายในครึ่งชั่วโมง
“สังขตธรรม[1] ทั้งปวง ดุจฝันมายา ฟองสบู่ เงา ดุจนิศาชลและอัสนี ควรสังเกตสิ่งเหล่านั้นด้วยอาการเช่นนี้แล”[2]
ปากของป๋าถัวพร่ำพูดออกมา ดูเหมือนเขาจะขจัดความกังวล ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกให้สิ้นไป ราวกับเขาบรรลุไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งแล้วก็มิปาน
“ขอบคุณพี่ท่านที่ยินยอมมอบชัยชนะให้แก่ข้าผู้นี้”
ป๋าถัวค่อยๆ ลุกขึ้น ประกบมือกันไว้ด้านหน้า ค้อมตัวลงใบหน้าเคร่งขรึม
เจินหวู่ยังคงนั่งขัดสมาธิใบหน้าเขาหมองซีดราวกับกระดาษ เขาแพ้เสียแล้ว
“นะโม อมิตตาพุทธ…”
พระที่อยู่ในระดับชั้นที่สองผู้มาจากอารามวัชระมีการแสดงออกที่เบิกบานยิ่งและท่องบทสวดออกมา
ในทันใดนั้นนอกจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ ต่างก็รู้สึกอับอายและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพวกตนยังจะต้องมาพ่ายแพ้คาวัดเส้าหลินแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?
เพียงคนเดียว!
บรรดาศิษย์ของวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกว่าใบหน้าของวัดเส้าหลินถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอารามวัชระ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย
เหตุเพราะป๋าถัวจากอารามวัชระชนะติดต่อกันเก้าครั้งและได้รับชัยชนะจากการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ในครั้งนี้ไปนั่นเอง
“ในเมื่อการถกปัญหาธรรมได้จบสิ้นลงไปแล้วในครานี้ เราไม่ควรจะรบกวนวัดเส้าหลินเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”
พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระกวาดสายตาไปที่ผู้ชมโดยรอบ และกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองเขา
การแสดงออกของเหล่าหัวหน้าตำหนักซีดเซียว และบางคนถึงกับมีอาการไอพลังไม่เสถียร
หลังจากวันนี้ไป ผลการประลอง ‘ถกปัญหาธรรม‘ ระหว่างวัดเส้าหลินและอารามวัชระจะแพร่กระจายออกไป สถานะการเป็นผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่ก็จะถูกส่งมอบให้กับอารามวัชระ
เมื่อนึกถึงชัยชนะที่บรรพบุรุษของวัดเส้าหลินได้รับมาก่อนหน้า แต่บัดนี้เป็นเพราะว่าคนรุ่นใหม่ในวัดไร้ซึ่งความสามารถ ความจริงอันนี้ทำให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสต้องเจ็บปวดราวกับหลั่งเลือด
แม้แต่ตอนที่กลุ่มสงฆ์อารามวัชระได้จากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงประชุมใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบ
“น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก…”
หัวหน้าลานจิปาถะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำพ่นเลือดออกมาจากปากและล้มพับลงไปกับพื้น
“ท่านหัวหน้าตำหนัก!”
“ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นอะไรหรือไม่?”
“ศิษย์น้องเจ้าสบายดีหรือไม่?”
ศิษย์ของลานจิปาถะหลายคนต่างตกตะลึง เจ้าอาวาสก้าวออก ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหัวหน้าลานจิปาถะ ยื่นมือออกไปตรวจสอบ
จากนั้นไม่นาน
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ศิษย์น้องไม่เป็นอะไร เพียงแต่อารมณ์เดือดพล่านเกินไปทำให้กำลังภายในและเลือดลมในกายลดลง…”
…
ไม่ไกลนัก ซูฉินมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะที่ล้มลง แล้วเขาก็เงียบไป
เป็นเวลาสิบปีในวัดเส้าหลิน หัวหน้าลานจิปาถะดูแลซูฉินอย่างดีและมักมีความคิดที่จะย้ายซูฉินไปตำหนักลานอรหันต์หรือไม่ก็ตำหนักยุทธสงฆ์แทนที่จะมามัวแต่เป็นพระกวาดลาน
ทว่าความตั้งใจดีนั้นก็ถูกซูฉินปฏิเสธไปเสียทั้งหมด
“ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินสำคัญกับท่านมากเช่นนี้เชียวหรือ?”
ซูฉินกระซิบถามตัวเองในใจ
จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับแล้วออกไป
…
ด้านนอกวัดเส้าหลิน
กลุ่มอารามวัชระต่างก็มุ่งหน้าตรงดิ่งกลับไปตามจุดหมาย
“ป๋าถัว เมื่อพวกเรากลับกันไปครานี้ท่านเจ้าอาวาสจะต้องดีใจมากเป็นแน่ หากมิใช่เพราะเจ้า เราจะได้รับตำแหน่งผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระมองไปที่ป๋าถัวและพูดด้วยความพอใจ
ชื่อของพระรูปนี้คือ ‘ถงหรู‘ และเขาเป็นผู้พิทักษ์ของอารามวัชระในยุคนี้ มีฐานพลังการฝึกฝนอยู่ที่ระดับชั้นที่สอง
ป๋าถัวในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระ เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถออกเที่ยวท่องไปตามที่ต่างๆ โดยไร้ซึ่งการคุ้มกัน ดังนั้นถงหรูจึงเป็นผู้คุ้มกันของป๋าถัว
“หลวงลุง เราทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
ป๋าถัวอดไม่ได้ที่จะถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เขายังคงกำชับให้มั่นใจมากขึ้นไปอีก “การต่อสู้กันด้วยแนวความคิดเป็นเรื่องของแพ้ชนะ ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด”
เมื่อป๋าถัวได้ยินดังนั้นในดวงตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด
ทันใดนั้น
ช่วงเวลานี้นี่เอง
ผู้พิทักษ์ของอารามวัชระก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทายืนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นหลินที่เหี่ยวเฉา
“เอ๊ะ?”
หัวคิ้วของผู้พิทักษ์ถงหรูขมวดเข้ามาชนกัน
“เจ้าใช่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหรือไม่?”
‘ถงหรู‘ ถามเสียงดัง
นี่เป็นบริเวณของวัดเส้าหลิน เป็นที่สงวนไว้สำหรับวัดเส้าหลิน พระวัดอื่นไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้
พระหนุ่มพยักหน้า แล้วสักพักก็ส่ายศีรษะ
พระหนุ่มรูปนี้ย่อมเป็นซูฉิน เขามาอยู่จุดนี้นานแล้ว
“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระเป็นถึงพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด ที่ตัวข้ามาในยามนี้ก็ประสงค์จะพูดคุยปรึกษาถกเถียงปัญหาธรรมกับท่าน!”
ซูฉินเอ่ยออก ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป
“ถกปัญหาธรรม?”
‘ถงหรู‘ ผงะไปครู่หนึ่ง “อารามวัชระของเราได้ถกปัญหาธรรมกับวัดเส้าหลินของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มิได้มีเรื่องอันใดขัดข้อง เจ้าจะมาทำไมอีก?”
“หลวงลุงขอรับ”
“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่จากวัดเส้าหลิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ถกเถียงกันอีกสักครั้งเถิด”
ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้า และกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใด?”
“งั้นถกกันเรื่องที่เจ้าต้องการเป็นอย่างไร”
ซูฉินยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ
ป๋าถัวพนมมือแล้วกล่าวว่า “งั้นศิษย์พี่ช่วยบอกหน่อยว่า‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”
จนถึงตอนนี้ป๋าถัวถามในคำถามเดิมเหมือนกับตอนที่ทำให้ศิษย์ทั้งเก้าของวัดเส้าหลินต้องพ่ายแพ้
‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด
‘องค์ยูไล‘ ก็ย่อมต้องเป็น ‘องค์ยูไล‘ แต่ใครเล่าที่จะสื่อถึงองค์ยูไล?
เป็นมนุษย์หรือไม่? คือพระเจ้า? เป็นจิตวิญญาณ? หรือเป็นสิ่งใด?
ไม่มีใครอาจรู้เห็น
ไม่มีใครกล้าคาดเดามั่วๆ
ผู้พิทักษ์อย่าง ‘ถงหรู‘ ส่ายหัว
แม้แต่เจ้าอาวาสอารามวัชระก็เคยถูกถามคำถามแบบนี้มาก่อน
นอกจากนั้น ถงหรูย่อมเห็นได้ว่าสถานะของซูฉินในวัดเส้าหลินไม่ได้สูงนัก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สวมจีวรสีเทา
และเหตุผลที่มาหยุดพวกเขาที่ตรงนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะแพ้พ่าย
แต่ถึงไม่เต็มใจแล้วจะทำอย่างไรได้
วัดเส้าหลินโดนบดขยี้โดยศิษย์น้องป๋าถัวจนจมดิน
เป็นไปได้หรือที่วัดเส้าหลินจะมีศิษย์คนไหนที่เอาชนะป๋าถัวได้อีก?
จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?
“ ‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”
ขณะนี้ซูฉินพูดทวนด้วยน้ำเสียงต่ำ แล้วเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่สูงขึ้นเรื่องๆ จนทุกคนตกใจ
“แหกตาดูสิ ‘องค์ยูไล‘ อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า!”
บูม!!!
คำพูดที่ออกมา
พระทุกรูปรวมถึงผู้พิทักษ์จากอารามวัชระต่างตกตะลึง
พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ ขนาดเปรียบเทียบตนเองกับ ‘องค์ยูไล‘?
“สามหาว!”
ผู้พิทักษ์อาราม ‘ถงหรู‘ ตอบโต้อย่างรุนแรงและกำลังจะกล่าวคำตำหนิ
อย่างไรก็ตาม
ชั่วอึดใจต่อมา
เขากำลังจะได้เห็นฉากที่น่าทึ่งที่สุดในชีวิตที่เกิดมา
ทันใดนั้นร่างสีทองขององค์ยูไลก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังซูฉิน เขาชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือจรดพื้นปฐพี มีแสงสีทองระยับไร้ขอบเขต มองดูสง่างาม แล้วพลันมีเสียงชวนฟังพูดออกมา
“สูงกว่าสวรรค์ เหนือกว่าพิภพ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”[3]
“นี่…นี่มัน…”
กลุ่มสงฆ์จากอารามวัชระยืนนิ่งงัน ป๋าถัวจ้องมองค้างราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาด มองไปทางซูฉินด้วยอาการร่างกายสั่นเทา…
เมื่อมองไปยังองค์ยูไลสีทอง มองเห็นแสงเซนผุดผ่องแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าแลผืนดิน… เพียงตัวตถาคตคือผู้ประเสริฐที่สุด!
————————————————
[1] สังขตธรรม – สังขต หมายถึง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, สังขารทุกอย่างที่มีการปรุงแต่งขึ้นจากหลายๆ สิ่งรวมกัน เรียกว่า สังขต ย่อมหมายถึงสิ่งทุกอย่างนอกจากนิพพาน ส่วนนิพพานเป็นอสังขต
[2] คำกล่าวที่ยกมาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดย พระกุมารชีวะ (หรือจิวหมอหลอสือ) ราวปี พ.ศ.944 ความว่า 一切有为法,如梦幻泡影,如露亦如电,应作如是观。
ซึ่งมีการแปลโดย เสถียร โพธินันทะ จากจีนเป็นภาษาไทย ได้ความว่า “เพราะว่าสังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้” นอกจากนี้ยังมีฉบับของ อมร ทองสุข ว่า “สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล”
[3] เป็นคำกล่าวของเจ้าชายสิทธัตถะยามเมื่อประสูติขึ้นมา ว่ากันว่าได้ออกเดินทั้งหมดเจ็ดก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นตามรายทางรองพระบาทไปทุกก้าวย่าง ก่อนที่จะเอ่ยอาสภิวาจาออกมา (ตามคัมภีร์หรือนิทานฉบับจีน) แต่ในฉบับที่ไทยรับมาก็มีคำกล่าวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อนึ่งในมุมของผู้แปลอยากจะกล่าวเสริมไว้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่มีหลักฐานเก่าแก่สุดราวๆ 700 ปีหลังพุทธกาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่าในสมัยพุทธกาลจริงๆ มีเรื่องราวนี้มาก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งของผู้คนในยุคหลัง