Sign in Buddha’s palm 179 มีตํานานยุทธมาจากต่างดินแดน
เมืองฉางอัน
โถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึกราวกับเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด
“หลังจากก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยลี้ที่เดียว” ซูฉินตรวจสอบพลังพร้อมกระซิบคําคุยอยู่กับตนเอง
ในตอนนี้เขาสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินในรัศมีร้อยได้ ภายในความคิดวูบเดียว ราวกับเชียนเทพบนสรวงสวรรค์
“ถึงแม้จะพัฒนาขึ้นมาก แต่ข้ารู้สึกได้ว่าการควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้นั้นคือขีดจํากัดแล้ว”
“หรืออาจกล่าวได้ว่า การควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้ เป็นขีดจํากัดของขอบเขตอรหันต์และตํานานยุทธแล้ว”
ซูฉินแตะปลายคางของตน ดวงตาเหม่อลอยครุ่นคิด
เมื่อเทียบกับโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล พลังของบุคคลหนึ่งนั้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจจะเทียบกันได้ แม้จะเป็นขอบเขตอรหันต์หรือตํานานยุทธก็ตาม
สําหรับขอบเขตอรหันต์หรือตํานานยุทธ ระยะที่สามารถใช้พลังได้ดั่งใจนึกเสมือนแขนขานั้นอยู่ที่หนึ่งร้อยรอบตัว
ถ้าไกลเกินกว่าหนึ่งร้อยลี้ แม้แต่ตํานานยุทธในระดับนภา ชั้นที่เก้าก็ไม่สามารถควบคุมได้
แน่นอนว่ายามที่ซูฉินใช้ธนูเก้าประกายยิงใส่ราชาหัวเมืองทั้งสิบที่ห่างออกไปหลายพันลี้ มันเป็นพลังของธนูเก้าประกาย ไม่ได้นับเป็นความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินของตัวเขาเอง
“ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ดจึงมักจะต้องควบรวมอาณาเขตขนาดเล็กกัน ปรากฏว่าเป็นเพราะความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินถึงขีดจํากัดแล้วนี่เอง”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
เนื่องจากไม่สามารถขยายขอบเขตการควบคุมพลังฟ้าดินได้อีกต่อไป ฉะนั้นควรทําเช่นไรต่อ?
ย่อมเป็นการควบแน่นพลังฟ้าดินอย่างสุดความ สามารถเพื่อสร้างสิ่งที่คล้ายกับ ‘อาณาเขต” ขึ้นมา
“ว่ากันว่าหากตํานานยุทธต้องการจะพัฒนาขึ้นไปมากกว่านั้น จะต้องปรับปรุงอาณาเขตขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง และก่อร่างขึ้นมาใหม่เป็นอาณาเขตขั้นสุดยอด”
ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา
“เชียนเทพปฐพี เพียงแค่ความคิดก็สามารถปกคลุมโลกหล้าให้อยู่ในอาณาเขตได้ ภายในอาณาเขตนั้นเซียนเทพปฐพี ก็ไม่ต่างไปจากพระเจ้า “มีอํานาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว
ซูฉินรู้สึกถึง
“อย่างไรก็ตาม ถ้าข้าต้องการจะควบแน่นอาณาเขต” ขนาดเล็ก” ขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องทําคือสร้างความคุ้นเคยกับระดับนภาชั้นที่เจ็ดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน จากนั้นจึงใช้วิชาอันหลากหลายค่อยๆบีบอัดพลังฟ้าดินเข้าหากัน
“สุดท้าย หากบีบอัดพลังฟ้าดินจนถึงขีดสุดและก่อตัวเป็นอาณาเขตขนาดเล็กแล้ว ยังมีขั้นตอนต่อไปให้ข้าเติมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมหาศาลเข้าไปด้วย…”
ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา
เขาไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ หลังจากก่อร่างสร้างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ผ่าน “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็เสถียรอย่างมาก และตรงตามเงื่อนไขในการสร้างอาณาเขตขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามมันจะต้องพยายามควบแน่นพลังงานฟ้าดินสักหน่อย ไม่มีวิธีการลัดใด
นี่เป็นสาเหตุที่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดหลายคนไม่สามารถจะสร้างอาณาเขตขนาดเล็กได้ เพราะการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กนั้นใช้เวลานานเกินไป
แม้แต่ตํานานยุทธก็มีอายุเพียงห้าร้อยปี หากต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆปีในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก จะยังหาเวลาฝึกฝนบ่มเพาะได้อีกหรือ?
“ลองดูก่อนแล้วกัน”
ซูฉินยังไม่ได้คิดถึงวิธีแก้ปัญหาใดๆ ในตอนนี้ ทําได้เพียงพยายามลองควบแน่นพลังฟ้าดินดูเท่านั้น
หวิ่ง!!
ขณะเดียวกับที่ซูฉินค่อยๆ ควบแน่นพลังฟ้าดินอยู่นั้น ดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่ซูฉินพกเอาไว้ก็เปล่งประกายสว่างไสว
ใต้แสงอันเจิดจ้า ความเร็วในการควบแน่นพลังฟ้าดินก็ว่องไวกว่าปกติหลายสิบหรืออาจจะหลายร้อยเท่า
“นี่คือ?”
ซูฉินลืมตาขึ้นและมองไปยังดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่อยู่เบื้องหน้าของตนทันที
ซูฉินเคยคิดไปว่าความสามารถของดวงจิตรู้แจ้งพันปีคือ การทําให้จิตใจปลอดโปร่ง เห็นธรรมชาติของจิต ทําให้จิตใจมั่นคงไม่สับสน
แต่ตอนนี้ ขณะกําลังควบแน่นพลังฟ้าดิน ดวงจิตรู้แจ้งพันปีก็แสดงฤทธิ์เข้าช่วยเหลือ
“มีบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ว่าดวงจิตรู้แจ้งพันปีนั้น กําเนิดขึ้นจากเขตแดนอันพิสุทธิ์ขององค์ยูไล และเขตแดนอันพิสุทธิ์ขององค์ยูไลน่าจะคล้ายคลึงกับ “อาณาเขต”…”
ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ
่ ่
สําหรับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด อาณาเขตคือสิ่งที่ควบแน่นมาจากพลังฟ้าดิน ส่วนอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดจะเรียกสิ่งนั้นว่าเขตแดนพิสุทธิ์
แม้ว่าอาณาเขตกับเขตแดนพิสุทธิ์จะเรียกต่างกัน แต่สาระสําคัญนั้นเหมือนกัน
“ด้วยความเร็วระดับนี้คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สองถึงสามร้อยปีกว่าที่ตํานานยุทธธรรมดาๆจะควบแน่นอาณาเขตได้สําเร็จ แต่สําหรับข้า สองถึงสามปีก็เพียงพอแล้ว”
ซูฉินเพ่งพิจารณาดวงจิตรู้แจ้งที่อยู่เบื้องหน้าของตนด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“ไม่เลว!”
่
“ไม่เลว!”
ซูฉินเต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าอายุขัยของเขาจะมีเหลือเฟือ การใช้เวลาไปสองถึงสามร้อยปีในการควบแน่นไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าหาวิธีประหยัดเวลาได้ ทําไมจะไม่เลือกเล่า?
ช่วงเวลาต่อมาซูฉินก็ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กด้วยความช่วยเหลือจากดวงจิตรู้แจ้งพันปี เขาสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้อย่างรวดเร็ว
ในวันนี้เอง
ทันทีที่ซูฉินเสร็จสิ้นการฝึกฝน เขาก็ออกจากห้องโถงพระราชวังสูงตระหง่าน แล้วเดินวนไปมารอบๆพระราชวังถัง
การฝึกฝนวิทยายุทธต้องฝึกฝนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ต้องมีเวลาผ่อนคลายบ้าง เว้นแต่จะใกล้ถึงจุดที่จะก้าวหน้าได้ โดยทั่วไปแล้วซูฉินจะไม่ปิดด่านฝึกตนเป็นเวลานานเกินไปนัก
“กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืนอีกครั้ง…”
ซูฉินรู้สึกได้ถึงความเป็นไปของโลก ความคิดของเขาผัน ผวน
“แต่วันนี้ข้าก็ยังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้เลย ข้าจะลงชื่อที่วังหลวงในวันนี้”
เมื่อซูฉินเดินผ่านจัตุรัสหยกขาว เขาก็ตัดสินใจหยุดเดิน
ตั้งแต่ที่ส่งร่างจําแลงเข้าไปในโลกถ้ําปีศาจใต้พิภพ โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้รายวันส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในโลกถ้ําปีศาจ แต่บางครั้งซูฉินก็เลือกลงชื่อเข้าใช้ภายในวังหลวงบ้าง
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินยืนอยู่หน้าจัตุรัสหยกขาว กล่าวคําขึ้นภายในใจตน
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต” ]
“เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต?”
นก็เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต
“มันกลับกลายเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามที่ใช้ในยามสิ้นหวัง ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก”
ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย
ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อใช้ “เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต” คือต้องเผาเลือดเนื้อของตนเอง
เป็นราคาที่หนักหนาสาหัสสําหรับจอมยุทธทุกผู้ทุกคน
แต่ในสายตาของซูฉิน มันก็เหมือนกับไม่ได้เสียอะไรไปเลย
เพราะซูฉินมีทิพยอํานาจ กายเนื้อกําเนิดใหม่
ด้วยทิพยอํานาจนี้ แม้ว่าซูฉินจะใช้ เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต” เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเทียบเท่ากับไม่ต้องจ่ายอะไรแลกเปลี่ยนเลย
“ไม่ลับในมือเพิ่มขึ้นมาอีกใบ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
ในเวลาเดียวกัน
ห่างจากต้าถังไปหลายหมื่นลี้ บริเวณใกล้ชายฝั่งทะเล
มีร่างหนึ่งสวมชุดคลุมสีน้ําเงินเหยียบคลื่นทะเลแล้วพุ่งตัว เข้าหาแผ่นดินใหญ่ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว
หากราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังมีชีวิตอยู่และบังเอิญผ่านมาแถวนี้ เขาจะต้องสังเกตเห็นได้แน่นอนว่าร่างในชุดคลุมสีน้ําเงินนี้มีกลิ่นอายที่ทรงพลัง เป็นถึงตํานานยุทธ
และมิใช่เพิ่งจะเข้าสู่ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่หนี่งอีกด้วย
ไม่ช้า
ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ขอบของทวีป
“ที่นี่แหละ ที่นี่คือประตูสู่ชะตาฟ้า ยุคสมัยที่ชะตาฟ้ากําหนดมาถึงแล้ว ต้องใช้เวลาร่วมร้อยปีที่เดียวในการทํานายที่ตั้งดินแดนที่จะเกิดจุดตัดของพลังครั้งยิ่งใหญ่…”
ชายชุดสีน้ําเงินรําพึงรําพันอยู่กับตนเอง “กระแสปราณีฟื้นกลับมา โลกอันยิ่งใหญ่กําลังจะมาถึง แต่โลกอันยิ่งใหญ่ก็มีหลายระยะ ทว่าจุดตัดของพลังเป็นแกนหลัก และมีปราณฉีมากที่สุด”
“ในจุดตัดแห่งพลังครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะก่อกําเนิดตัวตนระดับ เซียนเทพปฐพีขึ้นมา กระทั่งตัวตนที่เหนือกว่าเซียนเทพปฐพี”
ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายในใจ