Sign in Buddha’s palm 192 เจ้าเมืองคน
ด้านนอกเมืองเมฆาปิศาจ
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ยกมือขวาแล้วกดลงเบาๆ
ทันใดนั้นก็เหมือนกับท้องฟ้ากําลังร่วงหล่น ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กลับตาลปัตร ฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น นี่คือพลังของซูฉินที่ได้จากการดึงพลังฟ้าดินในระยะทางหลายสิบลี้เข้ามาปราบปรามทุกสิ่ง
ราชาปีศาจของโลกถ้ำปิศาจนั้นก็คล้ายกับตํานานยุทธหรือขอบเขตอรหันต์ ทั้งยังใช้พลังจากฟ้าดินเป็นเครื่องมือในการต่อสู้
“ไม่?!!”
เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเห็นฝ่ามือขนาดยักษ์หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ มือเท้าก็เย็นยะเยียบ เขาสูญเสียไปมากแล้วตั้งแต่ที่สกัดกั้นประกายแสงดาบเมื่อครู่ ตอนนี้ยังจะต้องมาป้องกันฝ่ามือยักษ์ที่ทรงพลังเหนือกว่าประกายแสงดาบนั่นอีกหรือ?
“พวกเจ้า จงกลับมาหาข้า!”
เจ้าเมืองเมฆาปีศาจดวงตาแดงก่ำ กวาดสายตามองราชาปีศาจที่กําลังหลบหนีจากสายตาของเขา และเหยียดมือออกไปคว้ากลับมา
ทันใดนั้นราชาปีศาจเหล่านั้นก็รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งทื่อ เลือดในร่างปั่นป่วนจนควบคุมไม่ได้ เพียงชั่วครู่ร่างของพวกมันก็ทะยานขึ้นไปราวกับเสียสติ พุ่งเข้าไปรับฝ่ามือขนาดยักษ์
ปังปังปัง!
หลังจากสังเวยร่างราชาปีศาจไปหลายตน ฝ่ามือขนาดยักษ์บนท้องฟ้าก็ชะงักหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกดลงมาต่อ เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ไม่กล้าหยุดคิดอีกต่อไป กลายร่างเป็นเงาแสงพุ่งหนีออกไปหลายลี้
“หืม?”
เมื่อซูฉินเห็นดังนั้น ก็ควบคุมจิตใจและฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ปกคลุมเมืองเมฆาปีศาจก็ค่อยๆ สลายหายไป
เขามาที่เมืองเมฆาปีศาจเพื่อจุดประสงค์ในการหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ หากเมืองเมฆาปีศาจถูกทําลายไปด้วยฝ่ามือนี้ จะมิเป็นการวางเกวียนไว้หน้าม้าหรอกรึ?
ภายในเมืองเมฆาปีศาจ
ปีศาจจํานวนนับไม่ถ้วนต่างรู้สึกเหมือนยืนอยู่ริมผาแห่งความตาย แล้วเดินกลับเข้ามาได้
ในโลกถ้ำปีศาจ ไม่ใช่ปีศาจทุกตนจะเกิดมาแข็งแกร่ง ปีศาจที่อ่อนแอก็มีอยู่เช่นกัน
แต่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตนที่อ่อนแอหรือแม้แต่ระดับราชาปีศาจ ต่างก็จ้องมองที่ซูฉินด้วยความตกใจ
“เขาเป็นใครกัน?”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้”
“ทรงพลังมาก แม้แต่การโจมตีเดียวท่านเจ้าเมืองก็ยังรับไม่ได้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
ปีศาจจํานวนมากมายต่างสั่นสะท้านในหัวใจ ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ซูฉินไม่ได้สนใจว่าปีศาจพวกนี้จะคิดเห็นอย่างไร สายตาของเขาหันเหทิศทางและมองห่างออกไปหลาย
เห็นร่างแสงเปลี่ยนกลับเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจและหยุดอยู่ตรงนั้น
“ถ้าท่านต้องการตัวโม๋จีก็เพียงพูดออกมา ข้าก็มิใช่จะไร้เหตุผล ทําไมเจ้าต้องทําเช่นนี้ด้วย” เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจ้องมองที่ซูฉินพร้อมทั้งกล่าวคําต่อเนื่อง
ในเวลานี้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเห็นโม๋จีซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังซูฉิน มันไม่ได้เข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้จึงได้แต่คร่ำครวญสลดใจ
มันไม่ได้คาดคิดว่าผู้ทรงพลังอํานาจอย่างซูฉินที่ใกล้จะเป็นราชาปีศาจระดับสูงจะเคลื่อนไหวเพื่อโม๋จีแบบนี้?
“ลงมือเพราะโม๋จี?”
ซูฉินรู้ได้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเข้าใจผิด แต่ก็ไม่คิดจะอธิบาย
เขามาที่เมืองเมฆาปีศาจเพียงเพราะต้องการหาที่ลงชื่อเข้าใช้ในระยะยาว ส่วนเรื่องการแก้แค้นให้กับโม๋จี ตัวเขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน
แม้จะไม่มีโม๋จี ซูฉินก็ต้องมาที่เมืองเมฆาปีศาจอยู่ดี
“เจ้าคงจะมาจากเขตแดนอื่นใช่หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าเมืองเมฆาปีศาจนั้นมีเจ้าเมืองอินจี๋อยู่เบื้องหลัง?”
เมื่อเห็นว่าซูฉินเงียบไป เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ได้ใจและกล่าวต่อ แสดงเจตนาข่มขู่อย่างลับๆ
เขายืนอยู่หากจากซูฉินไปหลายลี้ แม้ว่าซูฉินจะเคลื่อนไหว แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็มั่นใจมากว่าตนมีเวลาพอจะหลบหนี
“ไปตายเสียเถอะ”
ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยเรื่องไร้สาระ จึงตวัดประกายแสงดาบออกไปโดยตรง
เฟี่ยว
แสงดาบอันแวววาวก่อตัวขึ้นในทันทีแล้วพุ่งเข้าหาเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ
“ไม่ดีแล้ว!!”
ในขณะที่แสงดาบก่อตัวขึ้น หนังศีรษะของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ชาวาบ และทั้งร่างก็กลายเป็นแสงเงาหนีไปในระยะไกลอีกครั้ง
“บ้าเอ๊ย”
“จนถึงตอนนี้มันก็ยังเก็บงําฝีมือเอาไว้อยู่!”
เจ้าเมืองเมฆาปีศาจสัมผัสได้ถึงเจตจํานงแห่งดาบที่สะเทือนฟ้าเล็ดลอดออกมา รู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม จึงเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อตนเองอีกครั้งเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“การเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อสองครั้งติดต่อกัน ทําให้รากฐานได้รับความเสียหายอย่างมาก เกรงว่าข้าคงไม่มีหวังที่จะพัฒนาระดับอีกต่อไป”
เจ้าเมืองเมฆาปีศาจรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ แต่ทําอะไรไม่ได้นอกจากเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นไปอีก
“ยามที่ข้าได้พบกับเจ้าเมืองอินจี๋ ข้าต้องขอให้เจ้าเมืองแก้แค้นให้ข้า!” สีหน้าอันแสนโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ
เส้นทางในการฝึกฝนของเขาถูกตัดขาดเสียแล้ว ความเกลียดชังที่มีต่อซูฉินนั้นจุกแน่นในอก แม้จะต้องจ่ายราคาที่แพงแสนแพงแค่ไหน มันก็ตั้งใจจะเชิญเจ้าเมืองอินจี๋มาจัดการให้ได้
“ควรจะหนีพ้นแล้วกระมัง?”
ความเร็วของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจมาถึง ขีดจํากัดแล้วในตอนนี้มันจึงมองย้อนกลับไป
เพียงแค่มองดู รูม่านตาของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็หดตัวลง ทันที
เห็นแสงดาบพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็ฟันเข้าหาร่างของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ
ร่างของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจสลายไปอย่างรวดเร็ว แก่นแท้ เลือดเนื้อ และกระดูกกลายเป็นกลุ่มควัน
หลังจากผ่านไปสักพัก
จิตมารก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ควบแน่นก่อตัวเป็นร่างมายา
“ข้าไม่ยินยอมเด็ดขาด!”
ร่างของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจถูกทําลายลงไป ตอนนี้เหลือเพียงจิตมารเท่านั้นที่คงอยู่ แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นานนัก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะคลายความตกใจจากการสูญเสียร่างไป มันก็รู้สึกได้ว่ามีเจตจํานงแห่งดาบฝังลึกอยู่ในจิตมารของมัน
เห็นเจตจํานงดาบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คมขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็เฉือนจิตมารของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจออกเป็นชิ้นๆ
“ประกายแสงดาบนั่นไม่เพียงแต่จะทําลายร่างของข้า แค่ยังรวมถึงจิตมารของข้าด้วย?”
ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะหมดสิ้นสติ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ตื่นตระหนก ก่อนจะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
ด้านนอกเมืองเมฆาปีศาจ
หลังจากที่ซูฉินตวัดแสงดาบออกไปดั่งใจนึกแล้ว เขาก็เพิกเฉยไม่ได้ให้ความสนใจอีก
“นี่…”
โม๋จีที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่ตกตะลึง
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเกินไป ตั้งแต่ที่ซูฉินกดดันเจ้าเมืองเมฆาปิศาจด้วยฝ่ามือจนถึงตอนที่เจ้าเมืองเมฆาปิศาจถูกบังคับให้ต้องหนีไป มันผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น
“นายท่าน ท่านท่าน ”
โม๋จีตกใจจนพูดไม่ออก
หลังจากนั้นไม่นาน โม๋จีก็สงบใจลงได้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “นายท่าน เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะต้องหนีกลับไปรายงานแน่ ถ้าเขาหนีไปได้ จะต้องกลับมาล้างแค้นแน่นอน”
หลังจากที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อบินหนีไป อย่างน้อยก็เป็นระยะทางนับร้อยลี้ ดังนั้นโม๋จีจึงไม่ได้เห็นร่างและจิตมารของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจถูกกําจัดไปภายใต้คมดาบของซูฉิน
“สบายใจได้”
“เขาหนีไปไม่พ้น”
ซูฉินไม่ได้สนใจ และมองไปยังเมืองเมฆาปีศาจอีกครั้ง
“ข้าหวังว่าจะมี”เต๋าสะสม เพียงพอสําหรับการลงชื่อเข้าใช้นะ”
ซูฉินคิดอยู่ภายในตนเองเงียบๆ
“เต๋าสะสม” ที่ระบบต้องการไม่ใช่ “เต๋า “ที่เป็นวิถีทางอันถูกต้อง แต่เป็นสิ่งต้นกําเนิดของทุกสิ่งคือ”เต๋า” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายความโกลาหล
“เต๋า” ในที่นี้ครอบคลุมทุกสิ่ง วิถีแห่งความชั่วร้ายก็เป็น เต๋าวิถีแห่งมารก็เป็นเต๋าเช่นกัน
“ไม่มีใครจะมาหยุดข้าจากการลงชื่อเข้าใช้แล้วในครานี้”
ซูฉินเหลือบมองไปที่เมืองเมฆาปีศาจ ก้าวเท้าทะยานขึ้นไปอยู่บนขอบกําแพงเมือง มองเห็นเมืองเมฆาปีศาจได้ทั่วทั้งหมด
ปีศาจจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนกําลังตื่นตระหนก เจ้าเมืองเมฆาปีศาจผู้ไร้เทียมทานของพวกตนไม่สามารถหยุดยั้งซูฉินได้แม้แต่ครั้งเดียว แล้วอย่างพวกมันจะเอาอะไรไปเทียบ?
ในตอนนั้นเอง
ราชาปีศาจตนหนึ่งก็โค้งคํานับแล้วตะโกนเสียงดัง “คารวะท่านเจ้าเมือง”
ในโลกถ้ำปีศาจ ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพอยู่เสมอ และซูฉินที่ได้สังหารเจ้าเมืองเมฆาปีศาจลงก็ได้กลายเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่
“คารวะท่านเจ้าเมือง”
“คารวะท่านเจ้าเมือง”
“คารวะท่านเจ้าเมือง”
เหล่าปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนต่างตอบสนองอย่างรวดเร็ว เชิดชู และโค้งคํานับให้กับซูฉิน
[1] วางเกวียนไว้หน้าม้า (สํานวน) เนื่องจากการขนส่งในสมัยก่อนต้องใช้เกวียนเทียมม้าลากจูงไป การนําเกวียนไปวางไว้หน้าม้าย่อมไม่เกิดผลประโยชน์ใด เพราะเป็นการวางผิดตําแหน่ง หมายความว่า เราควรจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสําคัญที่สุดในเหตุการณ์นั้นๆ ให้รู้จักจัดลําดับความสําคัญ