เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 212 ดวงตะวันขนาดมหึมา

Sign in Buddha’s palm 212 ดวงตะวันขนาดมหึมา

 

“ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

 

ใบหน้าของซูฉินพลันแข็งค้างไป

 

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นเทพเจ้าที่อยู่ในตํานานมาโดยตลอด ไม่มีตัวตนจริง และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดก็แสดงถึงอํานาจอันสูงสุดในแต่ละสาย

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดถึงเรื่องนี้

 

ข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับ “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ก็ปรากฏขึ้น

 

“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”

 

ซูฉินกวาดตามองชิงชิวเฉียนเฉี่ยนแล้วนั่งขัดสมาธิลงหน้า แผ่นศิลาสีดํา ก่อตั้งค่ายกลสังหารสามชั้นในรัศมีสามจ้างรอบตัว

 

ค่ายกลสังหารสามชั้นนี้อาศัยการบังคับจากแผ่นศิลาสีดํา แม้ว่าชิงชิวชิงหลิงจะเกิดใหม่อีกครั้ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทําลายมันด้วยพละกําลัง

 

“เจ้าค่ะ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนโค้งคํานับพร้อมกับกล่าวคํา

 

แม้ว่านางจะสงสัยเล็กน้อยว่าทําไมซูฉินจึงไม่ไปยังถ้ํา ในส่วนลึกของเกาะหยิงโจว

 

แต่ในตอนนี้ คําพูดของซูฉินต่อชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็ไม่ต่างไปจาก ‘คําสั่งศักดิ์สิทธิ์” นางผู้ไม่รีรอที่จะปฏิบัติตาม จะกล้าตั้งคําถามได้อย่างไร?

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนคุ้มกันซูฉินอยู่ในระยะสิบเมตร คอยดูแลไม่ให้มีสิ่งมีชีวิตใดเข้าไปรบกวนซูฉิน

 

บนเกาะหยิงโจวไม่ได้มีเพียงเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเป็น สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเป็นสัตว์ร้าย แม้แต่ภูมิปัญญาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าแผ่นศิลาสีดํา

 

“ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

 

ภายในจิตใจของซูฉิน ปรากฏแผ่นภาพหินสลัก แผ่นหินทั้งสิบสองชิ้นฝังอยู่ภายในจิตใจของเขา ค่อยๆหมุนตัว ปลดปล่อยบรรยากาศที่แสนโบราณและปาเถื่อนออกมา

 

“ภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองแผ่นนี้ แม้จะไม่ได้ดีเท่ากับฝ่ามือยูไล แต่ก็เทียบได้กับคัมภีร์มารเก่าวิถี”

 

ซูฉินรู้สึกทิ้ง

 

นี่คือเหตุผลที่เขารีบนั่งลงในทันทีเพื่อทําความเข้าใจกับ “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

 

ซูฉินไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับเคล็ดวิชาชั้นสูง ที่ใกล้เคียงกับฝ่ามือยไลมานานถึงสิบปีแล้ว เมื่อได้พบมันแล้วแน่นอนเขาต้องรีบทําความเข้าใจมันในทันที

 

ส่วนเคหาสน์ลับในส่วนลึกของเกาะหยิงโจว ยังไงก็ยังอยู่ ตรงนั้นไม่หนีไปไหน จะไปตอนนี้หรือไปตอนไหนก็ไม่ต่างกัน

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวรอมาได้เป็นหมื่นปี ฉะนั้นซูฉินไม่จําเป็นต้องสนใจเรื่องเวลาแต่ประการใดเลย

 

“อย่างไรก็ตาม จากแผ่นหินทั้งสิบสองชิ้นนี้ มีเพียงแผ่นแรกเท่านั้นที่มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ส่วนอีกสิบเอ็ดภาพที่เหลือ…”

 

สายตาของซูฉินมองกวาดภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกแผ่น โดยที่แผ่นหินสิบเอ็ดแผ่นปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ไม่ว่าจะใช้ตามองหรือใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ พวกมันก็ไม่สามารถมองฝ่าชันหมอกเข้าไปได้

 

“ดูเหมือนว่าหลังจากฝึกฝนแผ่นหินภาพแรกสําเร็จแล้ว จึงจะสามารถเห็นแผ่นหินต่อไปได้ชัดเจน”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าแลดูครุ่นคิด

 

เมื่อคิดเรื่องราวต่างๆแล้ว สายตาของซูฉินก็เพ่งไปที่แผ่นหินรูปแรก

 

แผ่นหินนั้นโบราณเก่าแก่อย่างมิอาจประมาณ ราวกับว่ามันผ่านระยะเวลามายาวนานนับอนันต์ บนแผ่นหินมีดวงตะวันขนาดมหึมาอยู่หนึ่งดวง กําลังลุกไหม้อย่างช้าๆ เหมือนกับมันกําลังเผาโลกทั้งใบ

 

“นี่เป็นแผ่นหินแผ่นแรกในภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมา?”

 

ซูฉินซึมซับมันเข้ามา ชิ้นส่วนความรู้ความเข้าใจของแผ่นหินนี้ไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

“เดี๋ยวก่อนนะ ดวงตะวันขนาดมหึมานี้เกี่ยวอะไรกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

 

ทันทีที่ความสงสัยผุดขึ้นในใจของซูฉิน เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดอันน่าหวาดกลัวของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาพุ่งเข้ามา ดูดกลืนจิตใจของเขาเข้าไปจนหมด

 

“ที่นี่คือ?”

 

ใบหน้าของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ภายในจิตใจตนเองอีกแล้ว แต่เป็นสถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่า

 

และด้านหน้าก็มีลูกไฟขนาดมหึมากําลังลุกโชน

 

“นี่ข้าถูกดึงเข้ามาอยู่ในภาพสลักแผ่นหินงั้นหรือ?”

 

ซูฉินเข้าใจสถานการณ์ของตนได้ในทันที

 

ขณะที่ซูฉินคิดว่าจะทําอะไรต่อไปดี

 

“แกว้ก!!”

 

เป็นเสียงร้องคํารามที่แสนน่ากลัว

 

เห็นเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ อีกาสามขาในส่วนลึกของดวงตะวันขนาดมหึมา อีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาโบยบินออกมาพร้อมด้วยเปลวเพลิงท่วมทั้งตัวดูน่าหวาดกลัวยิ่ง เปลวไฟบนตัวมันเผาอากาศธาตุจนทิ้งรอยสีดําเป็นปั่นไปตามทางที่มันบิน

 

แต่กระนั้นรอยร้าวสีเทาดําเหล่านั้นก็ยังคงลุกไหม้ต่อไป ราวกับว่าต่อหน้าอีกาสามขานี้ สิ่งมีชีวิตใดๆในโลกก็ล้วนสามารถถูกมันเผาผลาญจนสิ้นได้

 

เมื่อนํามาเทียบกับอีกาศักดิ์สิทธิ์สามขานี้ เคล็ดเก้าสุริยันของซูฉินกลายเป็นบอบบางราวกับแสงเทียน

 

เคล็ดเก้าสุริยันเมื่อฝึกจนถึงจุดสูงสุด ก็สามารถสร้างลูกไฟขนาดยักษ์ได้เพียงเก้าลูกเท่านั้น มันจะมาเทียบกับดวงตะวันขนาดมหึมาที่แท้จริงได้อย่างไร

 

“นี่คืออีกาทองคําสามขาที่ร่ําลือกันว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ?”

 

ซฉินจ้องไปที่อีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาอย่างชิดใกล้ พร้อมกับพึมพําอยู่กับตนเอง

 

อีกาทองคําสามขา เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวไฟ แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ตํานานสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถือกําเนิดขึ้น จากใจกลางดวงตะวันขนาดมหึมา สามารถแปลงร่างเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งสามโลก

 

เปลวเพลิงจากดวงตะวันขนาดมหึมาของอีกาทองคําสามขา สามารถเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้ว่าจะเป็นหมู่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน ก็มีเพียงไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่จะมีเปลวเพลิงเทียบเท่าอีกาทองคําสามขาได้ อาทิ หงส์เพลิง

 

“แผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมานี้เป็นคัมภีร์วิธีการฝึกฝนของอีกาทองคําสามขา ตราบใดที่ข้าบ่มเพาะ ตามวิธีการข้างต้น และทําตามขั้นตอนของแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมานี้อย่างละเอียด ข้าก็จะได้รับพลังของอีกาทองคําสามขามา”

 

ซูฉินไม่ทันได้คาดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เดิมที่เขาคิดว่าภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมาซึ่งเป็นแผ่นหินแผ่นแรกนี้ หลังจากฝึกฝนตาม จะทําให้เขากลายเป็นอีกาทองคําสามขาได้จริงๆ ช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง

 

ต้องรู้ก่อนว่าการจะเปลี่ยนแปลงพลังครั้งนี้ของซูฉินไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ มันมีรูปแบบรูปร่างของมัน และการที่ได้รับพลังของอีกาทองคําสามขา รวมถึงพลังของดวงตะวันขนาดมหึมา มันเพียงพอที่จะทําให้เขาเผาผลาญทุกสรรพสิ่ง

 

แน่นอนว่า

 

แม้ฉันจะฝึกฝนตามแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมานี้แล้ว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง พลังในครอบครองจะไม่ใช่พลังของอีกาทองคําสามขาที่แท้จริง อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงอีกาทองคําสามขาวัยเยาว์เท่านั้น

 

“อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สร้างสิ่งวิเศษขนาดนี้ขึ้นมาได้ ต้องสร้างความเกลียดชังต่อเหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากเพียงใด…”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

ในการสร้างสุดยอดวิชาที่สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดายนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีความเข้าใจในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างดีเยี่ยม

 

และแน่นอนว่าการเข้าใจได้ขนาดนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการจับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาสังเกตอย่างใกล้ชิด

 

“แผ่นหินแผ่นแรกคืออีกาทองคําสามขาที่ร่ําลือกันว่ามีพลังเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วแผ่นหินที่เหลือเล่า? สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดมันจะเป็นตัวอะไรกัน?”

 

ซูฉินค่อยๆ ถอนจิตออกจากแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมา มองดูภาพแผ่นหินอีกสิบเอ็ดแผ่นที่เหลือซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ดูผ่อนคลายและน่าหลงใหล

 

หากซูฉินสามารถฝึกฝนแผ่นหินภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งหมด สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองตัวได้อย่างง่ายดาย พลังของมันคงน่าสะพรึงกลัวจนไม่อาจจะจินตนาการได้

 

“น่าเสียดาย แผ่นหินภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนั้นทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ยากพอๆกับปีนปายสวรรค์เพื่อจะฝึกฝนมันทั้งหมด”

 

ซุฉินถอนหายใจเบาๆ

 

ไม่ต้องกล่าวถึงภาพแผ่นหินถัดไปทั้งสิบเอ็ดแผ่นเลย เพียงต้องการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ทรัพยากรที่ต้องใช้นั้นมากมายราวกับมหาสมุทร และทรัพยากรทั้งหมดต้องเป็นสมบัติเป็นโอสถธาตุไฟเท่านั้น

 

แม้แต่ซูฉินที่คิดว่าตน ร่ํารวย” ก็ต้องเกิดอาการคันที่หัวใจเมื่อเขาเห็นทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้

 

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแผ่นแรกนี้ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกฝนมัน แต่เพียงได้เข้าใจก็ดูเหมือนจะช่วยให้ข้าได้ เข้าใจพลังแห่งเปลวเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างน้อยก็สามารถยกระดับเคล็ดเก้าสุริยันที่หยุดนิ่งมานาน เพิ่มระดับขึ้นไปได้หลายระดับเลยทีเดียว”

 

ความคิดของซูฉินผันแปรไปอย่างรวดเร็ว และจิตใจของเขาก็รวมเข้ากับแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงอีกาทองคําสามขาที่ถือกําเนิดขึ้นมาจากดวงตะวัน เผาผลาญท้องฟ้าและผืนดิน

 

“นายท่านนั่งอยู่ตรงนี้มาหนึ่งวันแล้ว…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนหันมองซูฉินซึ่งกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแผ่นหินอย่างระมัดระวัง

 

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่า นายท่านจะทําอะไรกับข้าบ้าง…”

 

หลังจากที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเหลือบมองอยู่ครู่หนึ่ง จิตใจของนางก็เริ่มหดหู่

 

ในตอนนี้ ชีวิตความเป็นความตายของนางขึ้นอยู่กับการ ตัดสินใจของซูฉิน หากซูฉินตั้งใจจะสังหารนางชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย

 

สําหรับการใช้ประโยชน์จากการที่ซูฉินกําลังปิดด่านฝึกตนหลบหนีไปเสีย

 

ตอนนี้ทั่วทั้งเกาะหยิงโจวห้อมล้อมไปด้วยค่ายกลฟ้าดินมากมาย ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนไม่สามารถหลบหนีไปได้ แม้นางจะต้องการก็ตาม

 

นอกจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นหากชิงชิวเฉียนเฉี่ยนสามารถหลบหนีไปได้จริงๆ?

 

เมื่อซูฉินออกจากการฝึกตน และพบว่านางไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเวลานั้นจะเป็นวันตายของนางหรอกหรือ?

 

ฉับพลัน

 

ทันใดนั้นเอง

 

ซูฉินที่กําลังนั่งขัดสมาธิ ค่อยๆลืมตาขึ้น

 

ในส่วนลึกของดวงตา ดวงตะวันขนาดมหึมาที่กําลังแผดเผาลุกไหม้ได้ปรากฏขึ้น

 

ดวงตะวันขนาดมหึมาดวงนี้เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็พุ่งออกมาจากดวงตาของซูฉิน และโผล่ขึ้นไปอยู่เหนือหัวของเขา

 

กึ่งกลางของดวงตะวันขนาดมหึมานี้สามารถมองเห็นอีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาได้รางๆมันกําลังโบยบินอย่างอิสรเสรี

 

ทุกครั้งที่อีกาสามขาสยายปีก เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมา ราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งเผาผลาญทุกอย่าง

 

“นี่คือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนบังเอิญหันมาเห็นฉากดังกล่าว ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ในทันที

 

“นี่คืออีกาทองคําสามขาไม่ใช่หรือ?”

 

เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน

 

นางไม่เคยคิดฝันว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่แต่เพียงในบันทึก โบราณของเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวจะมีอยู่จริง

 

ต้องรู้ว่าแม้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะอยู่เหนือกว่าภูตอสูรมาก แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็มีภูตอสูรมากมายที่มีร่องรอยสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวอย่างไม่รู้ตัว

 

ตัวอย่างเช่น หากเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเติบโตจนมีเก้าหางและชําระสายเลือดของมันให้บริสุทธิ์มากที่สุด มันก็สามารถเข้าใกล้ระดับของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานได้

 

น่าเสียดายที่จิ้งจอกอสูรเก้าหางนั้นหายากถึงขีดสุด แม้จะเป็นชิงชิวชิงหลิงที่ตกตายไปเมื่อไม่นานมานี้ ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าจิ้งจอกสามหาง

 

ส่วนเก้าหางนั้น

 

บางทีมันอาจจะไม่มีอยู่เลยก็ได้

 

“เป็นไปได้ไหมว่านายท่านไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นอีกาทองคําสามขา…” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนสงบใจลง และเริ่มใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว

 

เพียงเท่านั้นใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็รู้สึกสยดสยอง

 

ตอนนั้น ดวงตะวันขนาดมหึมา” ที่ลอยอยู่บนหัวซูฉินก็ค่อยๆกระจายออก เคลื่อนกลับมาที่ดวงตาของซูฉิน

 

“หลังจากที่เข้าใจภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว เคล็ดเก้าสุริยันของข้าก็มีกลิ่นอายของดวงตะวันขนาดมหึมา ติดมาเล็กน้อย ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่และนภาชั้นที่ห้าจะไม่สามารถหยุดเปลวเพลิงแผดเผาของเคล็ดเก้าสุริยันได้”

ซูฉินลุกขึ้นโดยไม่รอช้า

 

แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถฝึกฝนดวงตะวันขนาดมหึมาได้ในขณะนี้ แต่เขาสามารถเพิ่มพลังของเคล็ดเก้าสุริยันจนสมบูรณ์ได้

 

“หลังจากที่ทําความเข้าใจจนนํามาปรับปรุงวิชาจนมีพลังตามที่เห็นได้เช่นนี้ หากฝึกฝนดวงตะวันขนาดมหึมาจริงๆ มันจะมีพลังขนาดไหนกันนะ?”

 

ซูฉินปล่อยลมหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกออกมา

 

“ผ่านไปหนึ่งวันแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ซฉินเหลือบมองไปที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนซึ่งกําลังตกตะลึงอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก จากนั้นจึงหันกลับมามองแผ่นศิลาสีดําอีกครั้ง

 

“น่าเสียดายที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ําได้อีกต่อไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการลงชื่อเข้าใช้และ ได้รับ ‘ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” จากระบบ ได้ใช้ “เต๋าสะสม” บนเกาะหยิงโจวไปจนหมดสิ้น และไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ต่อไปได้

 

“อย่างไรเสีย คราวนี้ข้าได้รับ “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มา ก็เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ดูพึงพอใจอย่างมาก

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี เขาไม่เคยขาดแคลนโอสถและผลไม้จิตวิญญาณ เคล็ดวิชาวิเศษภายใน “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” เพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว สําหรับชดเชยสิ่งของจํานวนมากมายนับไม่ถ้วน

 

“ได้เวลาไปเยี่ยมถ้ําเซียนแห่งนั้นแล้ว”

 

เมื่อคิดได้ ซูฉินก็มองไปยังส่วนลึกของเกาะหยิงโจว

 

ตามการคาดเดาของเผ่าจิ้งจอกชิงชิว ถ้ําแห่งนั้นคือที่อยู่ของจ้าวทะเลบูรพาที่แท้จริง และตอนนี้ก็ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่ภายในนั้นบ้าง

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset