เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 223 ไฟลับในมือหมิงโยว

Sign in Buddha’s palm 223 ไฟลับในมือหมิงโยว

 

“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

ขณะนี้ความอัศจรรย์ใจท่วมท้นอยู่ในความรู้สึกของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี

 

เขาคิดว่าตนเองประเมินซูฉินสูงพอแล้ว คาดเดาไปว่าควรจะเป็นตัวตนในระดับผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ถึงแม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด เมื่อเผชิญกับทักษะก้นหีบที่ใช้เฉพาะยามสิ้นหวังของหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวน รวมถึงผู้อาวุโสนิกายใหญ่ทั้งสองคนเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะได้ในพริบตา อย่างน้อยก็ต้องใช้ชั้นเชิงบางอย่างเข้าช่วย

 

ในความเห็นของนักพรตเฒ่า ซูฉินไม่จําเป็นต้องต่อสู้กับพวกหมิงโยวอย่างเต็มกําลัง เพียงแต่ต้องลากถ่วงการต่อสู้ออกไปให้นานที่สุด จนกว่าพลังของคู่ต่อสู้จะหมดลง ก็สามารถเข้าจัดการได้อย่างง่ายดาย

 

อย่างไรก็ตาม นักพรตเฒ่าไม่ได้คาดหวังว่าหมิงโยวและผู้อาวุโสนิกายใหญ่อีกสองคน เมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉินจะอ่อนแอราวกับกระดาษ แม้จะใช้ทักษะลับต้องห้ามจนหมดก็ยังไม่สามารถต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย

 

“เขาแข็งแกร่งมาก ทําไมเขาไม่ลงมือตั้งแต่แรก? อยากจะรอดูพวกเราบุกเข้ามาในเกาะงั้นหรือ?”

 

ฝ่ามือฝ่าเท้าของนักพรตเฒ่าเย็นเยียบ ร่องรอยของความพิศวงงงงวยสาดวาบเข้ามาในใจ เพราะหลังจากค่ายกลฉีกขาด มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา พวกเขาจึงตรงเข้ามาถึงที่นี่

 

นักพรตเฒ่าไม่ทราบว่าซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนก่อนหน้านี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถูกดึงกลับเข้าไปภายในร่าง ในเวลาต่อมาหลังจากชิงชิวเฉียนเฉียนแจ้งว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา ซูฉินจึงปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปตรวจสอบ และเมื่อรู้ว่าผู้รุกเป็นพวกเขา ซูฉินก็ไม่ได้สนใจจะลงมือในทันที แต่เลือกสัมผัสประสบการณ์ ทําความคุ้นชินกับรายละเอียดต่างๆของระดับนภาชั้นที่แปดแทน

 

สําหรับซูฉิน ไม่ว่าจะเป็นหมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนหรือคนอื่นอีกสองสามคน พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากมดแมลง สามารถเหยียบย่ําจนตายเมื่อไหร่ก็ได้ มันจะเทียบกับการสัมผัสความรู้สึกหลังพัฒนาขั้นได้อย่างไร?

 

ไม่ต้องสงสัย

 

นี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของกลุ่มหมิงโยวนั้นอ่อนแอเกินไป หากเป็นกลุ่มตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด ชั้นที่แปด หรือระดับนภาชั้นที่เก้าฝ่าเข้ามา ซูฉินจะไม่ทําตัวใหญ่โตเช่นนี้แน่นอน

 

“แต่เดิมข้าก็คิดจะให้เจ้ารออีกสักหน่อย”

 

ดวงตาอันสงบนิ่งของซูฉินมองไปที่หมิงโยว

 

ที่จริงแล้วนอกจากหมิงโยวที่ยังคงยืนอยู่ได้ ผู้อาวุโสเฉว่ยวี่จากตําหนักเทพเจ้าหิมะ นักดาบจากพรรคหมื่นดาบต่างล้วนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น บาดเจ็บรุนแรงและกําลังจะตาย

 

“พลังของเจ้าช่างน่ากลัวนัก น่าจะเหนือกว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธไปแล้ว…”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนสงบใจลง ยิ่งเขาเข้าใกล้ความเป็นความตายมากเท่าไหร่ เขายิ่งสงบขึ้นมากเท่านั้น เพราะหมิงโยวรู้แก่ใจว่ามีเพียงต้องทําเช่นนี้เท่านั้นจึงจะรอดชีวิตไปได้

 

“ข้ามาจากนิกายเฮยหยวนในดินแดนโพ้นทะเล เจ้าคงจะเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง” หมิงโยวประมวลผลในสมอง และเปิดปากพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป นิกายเฮยหยวนของข้า ขอให้คําสัตย์สัญญาว่า หากเจ้าต้องการสั่งการสิ่งใดในอนาคต นิกายของข้าจะปฏิบัติตามที่เจ้าต้องการ”

 

เหงื่อเย็นซึมออกมาตามหน้าผากของหมิงโยว

 

เขารู้ดีว่าชายผู้แข็งแกร่งเช่นซูฉิน การข่มขู่นั้นย่อมไม่ได้ผล รังแต่จะทําให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ

 

แน่นอนว่าย่อมมีบรรพชนในนิกายเฮยหยวนที่เหนือกว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธ แต่แล้วอย่างไรเล่า? บรรพชนเฒ่าเหล่านั้น เลือดเนื้อและปราณฉีถดถอยไปนานแล้ว ใกล้สิ้นอายุขัยเต็มทน เว้นแต่นิกายเฮยหยวนจะประสบภัยพิบัติ หากไม่ใช่เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตื่นจากหลับใหล ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะมาคุกคามซูฉินเลย

 

“สัญญา?”

 

“เจ้าคู่ควรที่จะทําสัญญากับข้าด้วยหรือ?”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะใช้ความคิดสั่งการ ทันใดนั้นอากาศในรัศมีหลายพันจ้างก็เริ่มรวมตัวเข้ามา กลายเป็นเหมือนกับกรงขัง

 

แกรัก

 

แกรัก

 

ภายในช่วงเวลานี้ ร่างของผู้อาวุโสเฉว่ยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบจากพรรคหมื่นดาบก็สลายกลายเป็นผุยผงในทันที และแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจรอดพ้นไป

 

“อ๊ากกก!”

 

“เป็นเจ้าที่บังคับข้า!!”

 

เมื่อเห็นฉากนี้ หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก็รู้ว่าซูฉินไม่ได้วางแผนจะปล่อยเขาไป จึงคํารามออกมา

 

เห็นปราณปีศาจสีดําจํานวนนับไม่ถ้วนเข้าคลุมร่างของหมิงโยว และปราณปีศาจเหล่านั้นก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ค่อยเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นร่างกายของหมิงโยวก็ค่อยๆเลือนรางลงเรื่อยๆ ราวกับหายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

 

ในขณะนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะยืนอยู่ตรงจุดนั้น สวมชุดคลุมสีดําเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา

 

หากจะบอกว่าสภาพก่อนหน้านี้ของเขาเป็นกึ่งร่างลวงตาถึงความเป็นจริง ในตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์

 

“เคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างสุดท้ายของนิกายเฮยหยวน ร่างปีศาจลวงตา สละเนื้อหนังบวงสรวงต่อร่างลวงตา ละทิ้งกายหยาบแล้วกลายเป็นร่างลวงตาตลอดไป”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเห็นฉากนี้ที่ไกลๆ ร่องรอยความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

ร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวน สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองไปมาระหว่างความเป็นจริง และร่างลวงตาเป็นผลให้สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีส่วนใหญ่ในโลกหล้านี้

 

อาจกล่าวได้ว่าในหมู่ศิษย์นิกายเฮยหยวนผู้ที่ควบคุมร่างปีศาจลวงตาได้นั้น ยากเย็นอย่างยิ่งที่จะสังหารให้สิ้น โดยเฉพาะหมิงโยวที่ฝึกฝนร่างปีศาจลวงตาจนถึงขอบเขตความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ตาม ก็ไม่อาจจะทําอะไรได้

 

แน่นอน ไม่ว่าร่างปีศาจลวงตาจะพิสดารสักแค่ไหน แต่อย่างไรมันก็ยังมีความเป็นจริงซ่อนอยู่ ไม่ว่าศิษย์นิกายเฮยหยวนจะกลายร่างเป็นร่างลวงตามากเท่าไหร่ พวกเขาย่อมต้องเก็บบางส่วนที่เป็นความจริงเอาไว้ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากร่างลวงตาให้กลับเป็นร่างจริงได้อีกครั้ง

 

แต่ตอนนี้หมิงโยวได้ละทิ้งเศษเสี้ยวของความเป็นจริงไปหมดสิ้นแล้ว หลังจากวันนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะมีชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะไม่มีปราณชีวิต ไม่มีเลือดเนื้อ หรือร่างกายที่สมบูรณ์อีกต่อไป แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ถูกหลอมรวมเข้าไปด้วย จากนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งจะจมอยู่ในภาพลวงตาตลอดไป

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนบางคน แม้จะต้องเสียชีวิตจากการต่อสู้ ก็ไม่เต็มใจจะเลือกสิ่งนี้ เป็นคนที่ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง

 

และแน่นอน

 

หมิงโยวเลือกที่เปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

แต่ในทางกลับกัน สภาวะของหมิงโยวตอนนี้ สามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีใดๆก็ตามเกือบทั้งหมดบนโลกนี้

 

เว้นแต่จะเป็นมหาอํานาจผู้ไร้เปรียบที่สามารถควบแน่น อาณาเขตขนาดเล็ก ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นแม้จะเป็นเหล่าบรรพชน ก็ไม่มีทางทําอะไรเขาได้

 

“แม้แต่หมิงโยวยังต้องถูกบังคับให้เอาตัวรอดด้วยวิธีนี้ ข้าควรทําเช่นไรดี?” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลออกมาจากซูฉิน แต่เขาก็ยังอยู่ในเกาะหยิงโจว

 

“สหายเต้าหมิงโยวช่างกล้าหาญ”

 

นักพรตเฒ่าสายหัวเล็กน้อย ในความเห็นของเขา หมิงโยวน่าจะรอดชีวิตแน่แล้ว ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงทําอะไรหมิงโยวที่อยู่ในสภาวะลวงตาอย่างสมบูรณ์ไม่ได้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“เจ้าไม่ได้พยายามจะสังหารข้าหรอกหรือ?”

 

“มาสิ มาสังหารข้าสิ!”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนขู่คํารามใสซูฉินราวกับคนบ้า

 

เขาละทิ้งซึ่งความเป็นจริงและกลายเป็นร่างลวงตา ชีวิตของเขาได้พังพินาศเพราะต้องอยู่ในสภาพร่างลวงตาตล อดไป ซึ่งทั้งหมดก็เป็นซูฉินที่บีบบังคับ

 

ดังนั้นแม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะเหนือกว่าผู้เยี่ย มยุทธ เข้าถึงระดับที่เหล่าบรรพชนเท่านั้นที่เคยไปถึง แต่ห มิงโยวก็ไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

 

ซูฉินแข็งแกร่งแล้วอย่างไร?

 

ตราบใดที่ไม่มีอาณาเขตขนาดเล็ก ก็ไม่มีทางจะทําอะไรได้ ทําได้แค่จ้องมองเฉยๆเท่านั้น

 

แม้ว่าการบรรลุถึงขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด จะมีความหวังในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

แต่ความหวังนั้นมันก็ช่างริบหรี่เหลือเกิน

 

ในความเป็นจริง มีเพียงจุดสูงสุดของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้นที่สามารถทําได้

 

ดังนั้น

 

หมิงโยวในตอนนี้ จึงทําตัวไร้ยางอายได้อย่างเต็มที่

 

ในขณะนี้ หมิงโยวก็บังเอิญสังเกตเห็นชิงชิวเฉียนเฉียนที่ยืนอยู่ถัดจากซูฉิน

 

ในตอนนี้เจ้าภูตอสูรจิ้งจอกตัวน้อยกําลังมองเขาด้วยความเวทนา

 

เวทนา?

 

หมิงโยวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่หมิงโยวจะหาสาเหตุของความ “เวทนา” จากชิงชิวเฉียนเฉียนได้

 

เสียงที่สงบและเย็นเยียบก็ดังผ่านเข้ามาในหู

 

“ได้ตามที่ขอ”

 

“อะไร?” จู่ๆ ความรู้สึกราวกับเจอภัยร้ายก็แวบเข้ามาในใจของหมิงโยว และต้องการหลบหนีจากไป ในตอนนี้เขาได้แปลงเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์ ความเร็วก็เพิ่มสูงขึ้นโดยธรรมชาติ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะหนีไปได้ไกลหลายร้อยลี้

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ในตอนนี้เอง

 

หมิงโยวก็รู้ว่าอากาศรอบตัวเขานั้นแข็งราวกับเหล็ก กักขังเขาไว้แน่น เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้

 

“เป็นไปได้เยี่ยงไร?”

 

“ข้ากลายเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมาถูกกักขังเอาไว้ได้อย่างไร?”

 

หมิงโยวเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางซูฉินด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง “อาณาเขต?”

 

“เขาควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว?”

 

บนโลกใบนี้ นอกเหนือจากอาณาเขตแล้ว หมิงโยวก็ไม่อาจจะคิดออกว่า ยังจะมีวิธีการใดที่สามารถกักขังเขาเอาไว้ได้ดังเช่นตอนนี้อีก?

 

ในเวลาต่อมา

 

แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวก็ถูกบีบอัดเข้ามา

 

ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะแปลงเป็นร่างลวงตาแล้วก็ตาม รูปร่างของเขาก็ค่อยๆแตกเป็นเสี่ยงๆ รอยร้าวแพร่กระจายไปทั่วทุกตารางนิ้ว จากนั้นก็หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

 

“ร่างลวงตา?”

 

ใบหน้าของซูฉินเคลือบฉาบไว้ด้วยความดูถูก

 

สิ่งที่เรียกว่าร่างลวงตา มันก็แค่ลมปาก แม้ว่าซูฉินจะไม่ใช้อาณาเขต แต่ก็มีวิธีอื่นอีกมากมายนับสิบวิธีที่สามารถจัดการกับหมิงโยวได้ เพียงแค่การใช้อาณาเขตนั้นเป็นสิ่งที่ง่าย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ตัวอย่างเช่น ฝ่ามือยไลเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน หรือคัมภีร์มารเก่าวิถี และอีกอย่างก็คือเปลวไฟที่แท้จริงของอีกาทองคําสามขา

 

“อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนความเป็นจริงให้กลายเป็นร่างลวงตานั้นมีความข้องเกี่ยวกับวิถีมาร” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าของเขาครุ่นคิด

 

“วิถีมาร” จากปากของซูฉินไม่ใช่วิถีมารของพรรคมาร แต่เป็นเผ่าปีศาจในโลกถ้ําใต้ดิน

 

“นายท่านช่างทรงพลังไร้เปรียบจริงๆ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกด้วยความเคารพ

 

ก่อนที่ซูฉินจะปิดด่านฝึกตน เขาก็สามารถสังหารชิงชิวชิงหลิงได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว หลังจากที่เพิ่งจะฟาดฟันค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่บนเกาะหยิงโจวจนฉีกขาด

 

สภาวะของหมิงโยวเมื่อครู่อาจจะพิสดารก็จริง แต่หากจะคิดว่าสามารถทําให้ซูฉินอับอายได้ล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องตลกแล้ว

 

“นี่คือ?”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีมองดูซูฉินจากระยะไกลอย่างไม่อยากเชื่อ

 

เขาได้เห็นกับตาของตนเองว่าหมิงโยวในสภาวะร่างลวงตาได้กลายเป็นความว่างเปล่าอย่างแท้จริงเมื่อครู่นี้เอง

 

“ตาเจ้าแล้ว….

…”

ซูฉินมองไปที่นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เคลื่อนออกไป

 

ทันใดนั้น นักพรตเฒ่าก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไป และเมื่อมองรอบๆ เขาก็พบว่าตนมายืนอยู่เบื้องหน้าของซูฉินแล้ว

 

“การเคลื่อนย้ายมวลสารเช่นนี้ ข้าคิดว่ามันคงเป็นพลังของอาณาเขต

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าซีดเซียว เขายังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหมิงโยวไม่หาย แต่พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่าอีกฝ่ายได้ตายไปเสียนานแล้ว

 

สิ่งที่เข้าใจได้ยากที่สุดสําหรับร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวนก็คือการเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างร่างลวงตาและความเป็นจริง แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนอยู่ในโลก ณ ปัจจุบันขณะอยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม พลังของอาณาเขตสามารถเข้าแทรกแซงโลกหล้าใต้ผืนฟ้าเหนือแผ่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ร่างปีศาจลวงตาจะอย่างไรก็ยังอยู่บนโลกใบนี้ เทียบเท่ากับอยู่ในเป้าหมายของอาณาเขตโดยตรง สามารถจินตนาการได้ไม่ยากเลย ว่ามันจะจบลงเช่นไร

 

อาจกล่าวได้ว่าพลังของอาณาเขตนั้นควบคุมร่างปีศาจลวงตาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

 

“คารวะผู้อาวุโส”

 

จิตใจของนักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์ก็กลับมาสงบลงอย่างรวดเร็วและกล่าวออกด้วยความเคารพ “ไม่ว่าผู้ อาวุโสต้องการจะทราบสิ่งใด ผู้น้อยย่อมตอบได้ทุกเรื่อง”

 

นักพรตเฒ่ารู้ดีอยู่แก่ใจตน ว่าถ้าซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้แล้วจริงๆ เพียงแค่ความคิดเดียวก็สามารถสังหารตนได้อย่างง่ายดาย

 

ภายในอาณาเขตนั้น ซูฉินเป็นนายเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียว

 

และตอนนี้เขาก็ยังไม่ตาย มีความเป็นไปได้เดียวคือ ซูฉินไม่ต้องการจะสังหารเขาในเวลานี้

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset