เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 222

Sign in Buddha’s palm 222

 

“พวกเจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่ไร้ยางอาย”

 

ก่อนที่ซูฉินจะทันได้พูดอะไร ชิงชิวเฉียนเฉียนที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มออกมา

 

ซูฉินได้มายังเกาะหยิงโจวแห่งนี้ก่อน และไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินภายนอกหรือแนวค่ายกลสังหารในทะเลสาบก็ล้วนเป็นฝีมือของซูฉินทั้งสิ้นที่ทําลายไปจนหมด คนเหล่านี้ มาทีหลังกล้าดียังไงที่จะมาบอกให้ซูฉินมอบสมบัติให้

 

“เจ้าภูตอสูรที่เพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ…”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉียนทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ถ้ายังไม่ลงมือในตอนนี้จะให้รอไปจนถึงเมื่อไหร่?”

 

เมื่อเสียงเงียบลง

 

ไม่ไกลนัก ทั้งเฉวยผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบก็ระเบิดไอพลังออกมาเฮือกใหญ่

 

“บูม!”

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะลงมือเป็นคนแรกนางเป็นเหมือนดังภูเขาน้ําแข็งนิรันดร์กาลความหนาวเย็นนั้นแผ่กระจายออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว โดยมีตัวนางเป็นจุดศูนย์กลางมันแผ่พลังออกไปทั่วทุกทิศ

 

“โลกเยือกแข็ง!”

 

ผู้อาวุโสเฉวยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะกระแทกคําออกมาทีละคําทุกครั้งที่นางพูดออกมา อุณหภูมิรอบตัวจะลดลงอย่างรวดเร็วและเมื่อกล่าวคําสุดท้ายออกมา ก็มีผลึก น้ําแข็งกระจายไปทั่วบริเวณ

 

“หนาวอะไรขนาดนี้ ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนตัวสั่นขึ้นมาทันที รู้สึกเพียงอุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

“ตัวของท่านผู้อาวุโสยังคงอบอุ่นอยู่…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเขยิบเข้าไปใกล้ซูฉินโดยไม่รู้ตัว

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าอากาศอันหนาวเหน็บที่อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะปล่อยออกมาจะแพร่กระจายไปไกลเท่าไหร่แต่ในระยะสามจ้างรอบตัวซูฉินนั้น อบอุ่นเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิก็มิปานราวกับอยู่กันคนละโลก

 

“โลกเยือกแข็งของตําหนักเทพเจ้าหิมะยอดเยี่ยมสมคําร่ําลือจริงๆ…” นักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีถึงกับต้องก้าวถอยห่างออกไปในใจรู้สึกทิ้ง

 

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้นําตําหนักเทพเจ้าหิมะรุ่นที่แล้วได้ใช้เคล็ดวิชานี้เพื่อเปลี่ยนเกาะที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลายแสนตัวให้กลายเป็นผลึกน้ําแข็งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทําให้ยุทธภพในต่างดินแดนต้องตื่นตกใจ

 

ผู้อาวุโสเฉวยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้แสดงพลังนั้นออกมาเช่นกันในยามนี้ แม้ว่าจะด้อยกว่าอดีตผู้นําตําหนักเทพเจ้าหิมะมากแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตํานานยุทธธรรมดาๆ จะต้านทานได้

 

ชายสะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ดึงดาบยาวด้านหลังออกมา

 

ในชั่วพริบตา

 

ประกายแสงดาบอันแหลมคมก็ผงาดขึ้นมา ปกคลุมรอบตัวในระยะหลายสิบเมตร ค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นดาบเล่มใหญ่ที่มีความยาวมากกว่าสิบเมตร ฟาดฟันไปทางซูฉินจากระยะไกล

 

“พรรคหมื่นดาบนั้นเก่งในการฆ่าฟัน ทันทีที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกออกมามันจะฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและหมื่นดาบรวมหนึ่งนั้นก็มีความเฉียบคมถึงขีดสุด แม้มีภูเขา ขวางกั้นก็สามารถผ่ามันออกเป็นสองซีก”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีออกความเห็นขณะมองดูฉากตรงหน้า

 

ในตอนนี้ เขาไม่ได้ต้องการจะขัดจังหวะการต่อสู้แย่งชิงสมบัติของจ้าวทะเลบูรพา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ลงมือ

 

“แล้วก็หมิงโยว?”

 

นักพรตเฒ่าหรี่ตามองมองดูชายชุดดําที่เหมือนกับหายวับไปจากโลกนี้

 

กว่าสิบปีแล้วที่หมิงโยวเป็นที่รู้จักในฐานะตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับระดับผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในต่างแดน บัดนี้ก็ผ่านไปนับสิบปีความแข็งแกร่งของหมิงโยวนั้นมีแต่จะสูงขึ้นไม่มีต่ําลงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธจริงๆ แต่ ก็เกรงว่ามันแทบจะไม่ห่างไปไกลนัก

 

หวิ่ง!!

 

เห็นร่างหมิงโยวยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ก็มีอีกร่างหนึ่งเป็นเงาดํากระโจนเข้าหาซูฉิน

เงาดํานี้เงียบเชียบไร้กลิ่นอายและถ้าไม่ใช่ว่านักพรตเฒ่าเฝ้าติดตามหมิงโยวอยู่ตลอดเกรงว่าคงจะไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายได้ลงมือไปแล้ว

 

“เงาดํานั้น?”

 

นักพรตเฒ่าจากสํานักเอกะวิถีหนังศีรษะชาวาบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

 

ขณะเฝ้าดูเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบจากพรรคหมื่นดาบ นักพรตเฒ่าสามารถแสดงความเห็นต่อกระบวนท่าต่างๆได้อย่างใจเย็นเพราะถึงแม้กระบวนท่าสัง หารของทั้งสองจะน่ากลัวแต่พวกเขาก็ไม่สามารถคุกคามตนได้

 

แต่ในตอนนี้ เมื่อเห็นเงาดําที่หมิงโยวปล่อยออกมานักพรตเฒ่าก็รู้สึกถึงความอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต จิตใจภายในคอยกระตุ้นเตือนเขาอยู่ตลอดเวลา

 

“นิกายเฮยหยวนนี่มันกลุ่มคนบ้า ถึงกับสร้างกระบวนท่าที่แปลกพิสดารเช่นนี้ ”

 

ขณะที่นักพรตเฒ่ากําลังด่าทอในใจ ก็หันไปมองซูฉินและคิดอยู่ในใจว่า “ด้วยการร่วมมือของทั้งสามคนโดยเฉพาะกระบวนท่าสังหารของหมิงโยวเว้นแต่ชายผู้นี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้เยี่ยมยุทธเขาควรจะรีบวิ่งหนีไปเสียตั้งแต่ตอน

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีส่ายหัวไปมา

 

ผู้อาวุโสเฉวยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบพรรคหมื่นดาบยังพอทําเนา แต่หมิงโยวนี่สิ…

 

กล่าวตามตรงว่านักพรตเฒ่ามีความรู้สึกเล็กๆว่าหมิงโยวได้มาถึงครึ่งก้าวสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธแล้วและต้องมีความมั่นใจที่จะเอาชนะอีกด้วยไม่เช่นนั้นเขาคงไม่หุนหันพลันแล่น ล งมือต่อซูฉินโดยไม่ลังเลเช่นนี้

 

และในตอนนั้นเอง

 

เมื่อเผชิญหน้ากับผลึกน้ําแข็งที่โหมกระหน่ํา ประกายแสงดาบอันแหลมคมและเงาประหลาดอันลึกลําซูฉันยังคงยืนนิ่งราวกับไม่ทันได้สังเกตเห็นการโจมตีที่เกิดขึ้น

 

“ไอ้โง่เอ้ย”

 

เมื่อหมิงโยวเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าของมันก็ฉายแววเย้ยหยัน

 

เดิมที่เขาเกรงกลัวซูฉินอย่างมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้คงจะโชคดีที่สามารถเข้ามาที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาได้โดยบังเอิญ

 

รู้หรือไม่ว่ากระบวนท่าเปิดของจอมยุทธนั้นสําคัญอย่างยิ่งซูฉินช่างโง่งมที่ปล่อยให้พวกมันรวมพลังกันอย่างเต็มที่

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาถัดมา

 

สีหน้าของหมิงโยวก็พลันแข็งค้าง

 

ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าโลกเยือกแข็งของผู้อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือหมื่นดาบรวมเป็นหนึ่งของนักดาบจากพรรคหมื่นดาบ และแม้แต่เงาดําของตัวเขาเองเมื่อเข้าใกล้ร่างซูฉินในระยะสามจ้างพวกมันทั้งหมดกลับสลายหายไปราวกับระยะสามจ้างนี้เป็นพื้นที่ห้ามสําหรับการต่อสู้ความชั่วร้ายทั้งปวงจะถูกกําจัดเหมือนกับตรากฏไว้ว่าห้ามบุกรุกเด็ดขาด

 

“นี่คือ?”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเฝ้ามองจากที่ไกลๆก็ต้องตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อถือสายตาตนเอง

 

เขาคิดเอาไว้ว่าการซูฉินจะสกัดกั้นการโจมตีจากทั้งสามคนได้คงจะต้องพยายามอย่างเต็มที่โดยใช้แก่นแท้แห่งพลังจนหมดสิ้น

 

แต่ตอนนี้ ซูฉินกลับยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ให้พวกหมิงโยวโจมตีอย่างเต็มกําลังแต่กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ซึ่งมันน่าหวาดกลัวยิ่ง

 

“คนผู้นี้มีความแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”

 

ชายที่สะพายดาบจากพรรคหมื่นดาบใจสั่นระรัวแม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธก็ยังต้องขยับมือเพื่อป้องกันการโจมตีนี้

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ดูตกใจเช่นกันนางไม่ได้คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะน่ากลัวขนาดนี้กระบวนท่าโลกเยือกแข็งจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ ไม่ส่งผลกระทบใดต่ออีกฝ่ายเลย

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ใจของเฉวยวี่ก็อยากจะถอยหนีไปเสียเดี่ยวนี้เลย

 

แม้ว่านางจะโหยหาสมบัติของจ้าวทะเลบูรพาแต่นั่นก็เป็นกรณีที่นางสามารถมีชีวิตรอดไปได้ตอนนี้ความแข็งแกร่งของซูฉินเกินขีดจํากัดที่นางกําหนดไว้ในใจไปเสีย แล้ว

 

“ลงมือต่อ”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนมีสีหน้าที่ดูเย็นชาแล้วรีบพูดขึ้นว่า“คนผู้นี้น่าจะอยู่ในสถานะ “ตระหนักรู้ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สุดในการสังหารเขา”

 

“ไม่เช่นนั้นเมื่ออีกฝ่ายฟื้นจากสถานะ “ตระหนักรู้” ก็ไม่มีใครหนีพ้นอีก…”

 

เสียงของหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนร้อนรนอย่างยิ่ง

 

เมื่อพิจารณาจากมูลเหตุทั้งหลายแล้ว ความแข็งแกร่งของซูฉินอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในจุดสูงสุดของระดับผู้เยี่ยมยุทธตัวตนผู้ทรงอํานาจระดับนี้แม้แต่ในต่างดินแดนก็มีไม่ มากนัก

 

หากซูฉินฟื้นสติกลับมาได้ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญนับจากนี้คือการต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ในตอนนั้น แม้จะมีความสามารถในการเอาตัวรอดที่แข็งแกร่งก็ยังต้องรู้สึกปวดหัวไม่น้อยกับปัญหาที่ตามมา

 

แม้ว่าหมิงโยวจะไม่เกรงกลัวต่อตัวตนระดับผู้เยี่ยม ยุทธทั่วๆไปแต่ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดนั้นสามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย

 

“สถานะตระหนักรู้

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะดูลังเล

 

หมิงโยวกล่าวได้ถูกต้อง มันสายเกินไปที่พวกเขาจะหยุดในเวลานี้เนื่องจากพวกเขาได้ลงมือไปแล้ว และซูฉินก็ยืนอยู่ เบื้องหน้าพวกตนหากพวกเขาคิดหลบหนีในตอนนี้ จะกลับกลายเป็นว่าพวกเขาเปิดโอกาสให้ซูฉินได้ฆ่าสังหารพวกเขาที่ละคน

 

มีเพียงแค่การใช้ประโยชน์จากช่วงที่ซูฉินอยู่ในสภาวะตระหนักรู้นี้เท่านั้นเข้ากลุ้มรุมสังหารคู่ต่อสู้นั่นจึงพอมีหวังที่จะรอดชีวิตไปได้

 

เหล่าตํานานยุทธนั้นต่างก็มีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดที่ว่องไวผู้อาวุโสเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและชายสะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบก็ตระหนักได้ในทันทีว่า พวกเขาควรเลือกทางใด

 

“อาณาเขตเยือกแข็ง…”

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวกระอักเลือดออกมาในทันทีผมสีดําขลับเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาจากนั้นก็กลายเป็นสีขาวในขณะเดียวกันความหนาวเย็นอย่างสุดขั้วก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“อาณาเขตเยือกแข็ง…”

 

“บรรพชนเก่าแก่ของตําหนักเทพเจ้าหิมะได้เลียนแบบอาณาเขตขนาดเล็กของตํานานยุทธขั้นสูงสุดสร้างเคล็ดวิชาที่ไม่มีใครทําได้เสมอเหมือนนี้ขึ้นมา…”

 

นักพรตเฒ่าจากสํานักเอกะวิถีพึมพํากับตนเองอยู่ในที่ห่างไกลออกไป

 

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับอาณาเขตขนาดเล็ก สิ่งที่เรียกว่าอาณาเขตเยือกแข็งนั้นไม่ได้นับเป็นสิ่งเลิศเลอแต่ประการใดเลย

 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาณาเขตเยือกแข็งนั้นมีพลังเทียบเท่าหนึ่งในสิบส่วนของอาณาเขตขนาดเล็กที่แท้จริงแม้จะไม่สามารถตัดขาดการใช้พลังฟ้าดินของตํานานยุทธได้แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยกดดันตํานานยุทธคนอื่นๆได้

 

“ใจดาบคืนซ่ง”

 

นักดาบจากพรรคหมื่นดาบกัดฟัน เหวี่ยงดาบยาวที่ถืออยู่ในมือทะลวงเข้าไปในทรวงอกของตนเอง ทันใดนั้น เจตจํานงดาบอันไร้ตัวตนก็รวมเป็นหนึ่ง

 

“หมดหวังแล้ว”

 

“เป็นจุดที่ไม่เหลือความหวังแล้วจริงๆ”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกลืนน้ําลายลงคอ วิชาใจดาบคืนซ่งของพรรคหมื่นดาบนั้น ทุกครั้งที่ใช้ออกฐานการบ่มเพาะจะถดถอยลงอย่างน้อยหนึ่งระดับ หากมิใช่ว่าไร้หนทางจริงๆจะไม่มีศิษย์พรรคหมื่นดาบคนไหนเต็มใจที่จะใช้เคล็ดวิชานี้

 

“ร่างลวงตายมโลก กงล้อวัฏจักรชีวิต”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก้าวเท้าออกไปเจ็ดก้าวติดต่อกันทุกย่างก้าวไอพลังจะพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อก้าวครบเจ็ดก้าวหมิงโยวก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ไปแล้ว

 

“ผู้เยี่ยมยุทธ”

 

“หมิงโยวได้กลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธไปแล้ว?”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถียืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม

 

ในขณะนี้ กลิ่นอายที่ออกมาจากหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนนั้นแม้จะยังอ่อนด้อยกว่าตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธที่แท้จริงแต่เห็นได้ชัดว่ามันสูงลํากว่าพวกเขามาก

 

“ตายซะ!”

 

พลังของหมิงโยวนั้นพวยพุ่งรุนแรง รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาระหว่างภาพลวงตาและความเป็นจริงจากนั้นจึงซัดหมัดเข้าโจมตีซูฉินอย่างเต็มกําลัง

 

“ยามนี้ นักพรตแก่ๆ ผู้นี้ขอถอนตัวออกไปก่อน”

 

ร่างของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเริ่มออกตัววิ่งกลับหลังหนีไปอย่างรวดเร็วหนีไปยังสุดขอบของเกาะหยิงโจว

 

“ชายหนุ่มคนนั้น เห็นทีว่าจะต้องประสบกับอันตรายเข้าให้แล้ว”นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีพลันคิดขึ้นมาได้หลังจากหนีห่างออกมาได้หลายลี้จึงหันศีรษะกลับไปมองยังพื้นที่ต่อสู้

 

จากมุมนี้ นักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์ก็ได้พบเห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนได้ลงแม้จะผ่านไปชั่วชีวิต

 

เห็นซูฉินยังยืนอยู่ที่เดิม ดูเหมือนจมอยู่กับสภาวะใดสภาวะหนึ่ง ฉับพลันเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมองไปที่หมิงโยวกับคนอื่นๆอย่างเหลืออด

 

“หนวกหู!”

 

หวิ่ง!!

 

กระแสพลังไร้ลักษณ์ได้แผ่กระจายออกมา

 

ภายใต้กระแสพลังที่มองไม่เห็นนี้ ผู้อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะก็กระอักเลือดออกมาเป็นฟุมฝอย กระเด็นลอยกลับไปกระแทกพื้นอย่างแรงดาบยาวในมือของนักดาบพรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายโดยตรง จากนั้นก็เหมือนว่าเขาจะหมดลมหายใจลงในทันทีและสุดท้ายหมิงโยวจําต้องกลายเป็นร่างลวงตาโดยสมบูรณ์ เพื่อหลีก เลี่ยงการโจมตีบางส่วนแต่กระนั้นปราณฉีของร่างลวงตาก็ ยังสับสนมึนงงถอยหลังกลับไปหลายก้าวแทบจะล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น

 

“นี่?”

 

นักพรตเฒ่าเบิกตากว้างราวกับเห็นผี

 

Related

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset