เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 218 ทะลวงด่าน! นภาชั้นที่แปด!

Sign in Buddha’s palm 218 ทะลวงด่าน! นภาชั้นที่แปด!

 

ห่างจากเมืองอินจีหลายสิบลี้

 

ดวงตาของซูฉินลุกเป็นไฟ ความคิดแปรเปลี่ยนผันไม่หยุด

 

สําหรับซูฉิน เมื่อเขาฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา จะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งแม้แต่อีกาทองคําสามขาวัยเยาว์ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถเอาชนะเซียนเทพปฐพีได้

 

น่าเสียดาย…..

 

แม้จะไม่มีคอขวดในการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแต่ทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้ก็มากมายดุจขุนเขาและทะเลกว้าง

 

แน่นอนว่าเมื่อซูฉินสําเร็จวิชาในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้

 

เดิมที่ซูฉินก็กําลังคิดที่จะเสาะหาสถานที่ที่มีพลังงานธาตุไฟเพียงพอสําหรับการลงชื่อเข้าใช้เพื่อนํามาเตรียมการสําหรับบ่มเพาะวิชาในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

 

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา เมื่อพบเมืองอินจี่แห่งนี้จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร?

 

“นายท่าน”

 

“เจ้าเมืองอินจีนําราชาปีศาจใต้อาณัติไปด้วยเป็นจํานวนมากและทุกคนล้วนตกตายอยู่นอกเมืองเมฆาปีศาจเมืองอินจี้จึงไม่ควรมีผู้ที่แข็งแกร่งในยามนี้…”

 

โม่จีกล่าวคําออกมาอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองอินจี้

 

หลังจากออกจากเมืองเมฆาปีศาจ ซูฉินไม่ได้มุ่งตรงไปยังเมืองอินจีในทันที แต่เดินดูทัศนียภาพรอบๆดินแดนโม่ฮวาแทนมองดูว่ามีสถานที่อื่นใดที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้บ้างหลังจากเดินทางอย่างไม่รีบร้อนอยู่นานกว่าหนึ่งปีจึงมาถึงเมีองอินในที่สุด

เมื่อโม่จีเห็นซูฉินเดินหน้าเข้าไปก็ตามติดไปในทันที

 

ไม่นาน

 

ซูฉินก็ถึงด้านหน้าของเมืองอินจี้

 

เมื่อเทียบกับเมืองเมฆาปีศาจแล้ว เมืองอินจี้มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ามากแม้ว่าเจ้าเมืองอินจไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังมีปีศาจจํานวนมากเข้าออกเมืองอยู่ทุกวัน

 

“ราชาปีศาจแปดตน?”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะเหลือบมองผ่านๆจึงรู้รายละเอียดภายในเมืองอินจี้ในยามนี้

 

ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองอินจีมีราชาปีศาจอยู่แค่แปดตนที่คอยประจําการและราชาปีศาจทั้งแปดนี้ก็เป็นปีศาจที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจไม่นานมานี้เอง

 

ซูฉินปรากฏตัวอยู่หน้าเมืองอินจี้และไม่ได้ปิดบังตัวตนในไม่ช้าปีศาจกลุ่มหนึ่งก็รีบพุ่งออกจากเมืองอินจี้ มายืนต่อหน้าซูฉินและกล่าวด้วยความเคารพ

 

“พวกเรารอท่านอยู่แล้ว เจ้าเมืองเมฆาปีศาจ”

 

ซฉินสังหารเจ้าเมืองอินจี่และราชาปีศาจจํานวนมากที่นอกเมืองเมฆาปีศาจมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และข่าวนี้ก็กระ จายไปทั่วดินแดนโม่ฮวาแน่นอนว่าเมืองอินได้ทราบข่าว นี้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ

 

ดังนั้นในปีที่ผ่านมา ราชาปีศาจที่เหลืออยู่ภายในเมืองอินจี้จึงเฝ้ากังวลทั้งวันทั้งคืนเพราะกลัวว่าซูฉินจะบุกมาอย่างกะทันหันและเข่นฆ่าพวกมันทีละคนเช่นเดียวกับที่ทํากับเจ้าเมืองอิน

 

ดังนั้น

 

ราชาปีศาจเหล่านี้จึงออกคําสั่งตั้งแต่ช่วงแรกๆให้ปีศาจเฝ้าประตูบางตนรับหน้าที่พิเศษ คอยตรวจสอบด้านนอกเมืองเมื่อมีร่างใดที่คล้ายคลึงซูฉินให้รีบแจ้งพว กมันในทันที

 

“โอ้?”

 

“เจ้ารู้จักข้ารึ?”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจตนที่กําลังทําความเคารพแล้วจึงกล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

“ความเกรียงไกรของท่านเจ้าเมืองได้แผ่ไปทั่วดินแดนโม่ฮวาจะมีปีศาจตนใดไม่รู้กัน?” ราชาปีศาจตนนั้นกล่าวด้วยความนอบน้อม “ข้ามาที่นี่เพื่อรอท่านเจ้าเมืองมาประจํา การเมืองอินจี้”

 

“เจ้าเป็นคนฉลาดนะ”

 

ซูฉินเหลือบตามองปีศาจที่อยู่ตรงหน้าแล้วเดินอย่างช้าๆเข้าไปในเมืองอินจี่

 

เมื่อซูฉินเข้าไป ราชาปีศาจตนที่ออกมาพบรู้สึกโล่งใจอย่างมาก สิ่งที่พวกมันกลัวที่สุดคือซูฉินเข้ามาโจมตีพวกตนโดยไม่เจรจาพูดคุยอะไรสักคํา

 

หากเป็นดังเช่นที่กล่าวมา พวกมันไม่มีโอกาสยอมจํานนเสียด้วยซ้ํา

 

แต่เมื่อซูฉินปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอด ตราบใดที่ไม่ฆ่าตัวตายก็ไม่ควรจะมีอันตรายใดเกิดขึ้น

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

โม่จีเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจในเมืองอินจี้ จู่ๆ ก็ผุดความรู้สึกถึงวิกฤตบางอย่างในใจ

 

ในเวลาต่อมา

 

โม่จีและราชาปีศาจทั้งหลายต่างก็ตามซูฉินไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อพวกเขาไปกันหมดแล้ว

 

ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นนอกเมืองอิน

 

ปีศาจจํานวนมากที่กําลังเดินทางเข้าออกต่างตกตะลึงนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นราชาปีศาจในเมืองอินจี้กล่าวคําอย่างแผ่วเบาเมื่อเผชิญหน้ากับซูฉินราชาปีศาจเหล่านี้ แทบจะคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าซูฉินอยู่แล้ว

 

“ยิ้ม”

 

“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร?”

 

“คนเมื่อครู่เป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ เป็นมหาอํานาจไร้เปรียบที่สังหารเจ้าเมืองอินจีไป!”

 

ปีศาจที่จําซูฉินได้อย่างแม่นยําก็ลดเสียงลดพร้อมกับกล่าวบอกออกมา

 

“อะไรนะ?”

 

“เขาคือเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ?”

 

เมื่อปีศาจที่เหลือได้ยินสิ่งนี้ รูม่านตาของพวกมันก็หดตัวลงทันทีใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสยดสยอง

 

แม้ว่าพวกมันไม่สามารถจําซูฉินได้ในทันทีแต่พวกมันจะไม่เคยได้ยินความเกรียงไกรของซูฉินได้เช่นไร?

 

ในฐานะที่เจ้าเมืองอินจี้เป็นผู้มีอํานาจในรัศมีหนึ่งล้านนี้กลับตกตายอย่างกะทันหัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

 

“นี่ แล้วเราควรจะทําเช่นไร?”

 

“เจ้าเมืองเมฆาปีศาจผู้นี้คงไม่ได้ชอบเข่นฆ่าสังหารมากนักหรอกใช่ไหม?”

 

ปีศาจขี้ขลาดตาขาวอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

“ควรทําเช่นไร?”

 

ปีศาจอีกตนส่งเสียงขู่คําราม “ถ้าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจต้องการเข่นฆ่าจริงๆ เจ้าจะทําอะไรได้?”

 

“มิผิด แม้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะเด็ดขาด แต่เขาคงจะดูแคลนการสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่เช่นนั้นเมืองเมฆาปีศาจคงจะกลายเป็นเมืองร้างไปเสียนานแล้ว”

 

ปีศาจตัวที่สามพยักหน้าแล้วกล่าวคําตามที่คิด

 

“อย่างไรก็ตาม เมืองอินจี่ของข้าคราวนี้ มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่อยู่จริงๆ…” ปีศาจที่พูดออกมาตนแรกก็ถอนหายใจออกมาด้วยเสียงแหบต่ํา

 

ปีศาจตนที่เหลือต่างนิ่งเงียบ แสดงออกถึงความหวาดกล้ว

 

ขณะที่เมืองอินจี่กําลังตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะการมาถึงของซูฉิน

ซูฉินก็มาถึงห้องโถงใหญ่ของเมืองเรียบร้อยแล้ว และราชาปีศาจทั้งหมดก็กําลังรออยู่นอกห้องโถงใหญ่รวมถึงโม่จีด้วย

 

“พวกเจ้าออกไปก่อน”

 

“ถ้านายท่านมีอะไรเรียกใช้ ข้าจะแจ้งให้พวกเจ้าทราบ”โม่จีเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจทั้งหลายอย่างไม่สบายใจแล้วจึงพูดออกไป

 

“ขอรับ”

 

ราชาปีศาจมองหน้ากัน แล้วจึงโค้งคํานับก่อนจากไป

 

และในตอนนี้

 

ที่ส่วนลึกของโถงใหญ่ในเมือง

 

ต้นไม้เก่าแก่กําลังแกว่งไกวไปมา มีแสงระยิบระยับเปล่งประกายซึ่งดูพิเศษอย่างมาก

 

เมื่อเทียบกับต้นไม้โบราณในเมืองเมฆาปีศาจ กิ่งก้านและใบของต้นไม้ในเมืองอินจี้นั้นมีสีแดงจางๆ และบรรยากาศที่กระจายออกมาค่อนข้างเร่าร้อนแผดเผา

 

“กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณนั้นแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้”

 

ซูฉันยืนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณด้วยสีหน้าครุ่นคิด

 

ต้นไม้โบราณในเมืองอินจี้ยังคงเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกนี้ แต่ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ทําให้ต้นไม้โบราณมีลักษณะเช่นนี้

 

“มันเป็นเพราะภูเขาไฟข้างใต้ หรือเพราะต้นปีศาจโบราณจริงๆแล้วแบ่งตามธาตุมีทั้งทอง ไม้ น้ํา ไฟและดิน?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ความคิดผันผวนไปมา

 

“เอาล่ะ”

 

“อย่าเพิ่งไปคิดมากเลย”

 

“แค่ลงชื่อเข้าใช้แล้วลองดู”

 

ซูฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาภายในใจ“ระบบลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับโอสถปีศาจเพลิงสีชาด” ]

 

เสียงจักรกลไร้อารมณ์ดังอยู่ในหูของซูฉิน

 

“โอสถปีศาจเพลิงสีชาด?”

 

ซูฉินผสานจิตเข้ากับคลังระบบด้วยความรวดเร็วพบเม็ดโอสถสีแดงปรากฏขึ้นที่มุมหนึ่งของคลัง

 

โอสถปีศาจเพลิงสีชาดนี้ ในแง่ของไอพลังเพียงอย่างเดียวไม่ได้ดีเท่ากับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

 

สิ่งที่ทําให้ซูฉันรู้สึกว่าที่นี่ดีกว่าคือจํานวนครั้งในลงชื่อเข้าใช้น่าจะมากกว่าที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้จากถ้ําเซียนบนเกาะหยิงโจว

 

ดูจากต้นไม้โบราณในเมืองเมฆาปีศาจ ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เป็นเวลาหลายปี ยิ่งกว่านั้นเมืองอินจี้ยังมีขนาดใหญ่กว่าเมืองเมฆาปีศาจมากมิใช่หรือ?

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“บางที่ความหวังในการสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมที่มาของข้าอาจจะอยู่ที่นี่แล้ว”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินยิ่งคิดก็ยิ่งพึงพอใจ

 

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะปิดด่านฝึกตนที่นี่และลงชื่อเข้าใช้ต่อไป”

 

ซูฉันคิดตัดสินใจ และแจ้งโม่จีที่อยู่ด้านนอกโดยตรงด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิ เข้าสู่ห้วงบ่มเพาะ

 

เกาะหยิ่งโจว

 

ภายในถ้ําเซียน

 

ลมหายใจของซูฉินค่อยๆ สงบลง

 

“ในที่สุดระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็มาถึงจุดสูงสุดแล้วและยามนี้ข้าก็พร้อมที่จะทะลวงไปสู่นภาชั้นที่แปด”

 

ซูฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ครุ่นคิดภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

“การขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของนภาชั้นที่เจ็ด มันใช้น้ําพุจิตวิญญาณไปถึงหนึ่งในสิบ ที่เหลือนี่ก็คงเพียงพอให้ข้าทะลวงเข้าสู่นภาชั้นที่แปดได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ คิดอยู่กับตนเอง

 

“น้ําพุจิตวิญญาณนี้ช่วยให้ข้าย่นระยะเวลาในการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงไปได้ถึงห้าปี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

การฝึกฝนวิทยายุทธ โดยเฉพาะในขอบเขตตํานานยุทธมันไม่ใช่เพียงแค่การกลืนกินพลังงานฟ้าดินเท่านั้น

 

พลังฟ้าดินมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลก แม้แต่ช่วงที่กระแสปราณฉีเดือดแห้งก็ยังมีพลังฟ้าดินมากมาย แต่สําหรับตํานานยุทธผู้ทรงพลังพลังฟ้าดินก็ช่วยเพียงแค่ชดเชยพลังที่สูญเสียไปในแต่ละวันเท่านั้นไม่สามารถคาดหวังไปไกลได้ มากกว่านั้น

 

ตํานานยุทธที่ต้องการจะทะลวงขั้นนั้น นอกจากจะต้องเข้าใจความเป็นไปของโลกแล้ว สิ่งที่สําคัญที่สุดคือจิตใจแห่งฟ้าดิน

 

จิตใจแห่งฟ้าดินจะปรากฏขึ้นจํานวนมากในช่วงกระแสปราณฉีฟื้นคืนเท่านั้น และน้ําพุจิตวิญญาณคือการรวมตัวกันของจิตใจแห่งฟ้าดินจํานวนนับไม่ถ้วน

 

แม้แต่ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีก็ยังมีจิตใจแห่งฟ้าดินไม่มากนักที่จ้าวทะเลบูรพาสามารถหามันพบได้ไม่ใช่

ดีอีกด้วย

 

มิฉะนั้น ถึงแม้จะมีพลังที่สามารถทําลายล้างโลกได้ทั้งใบหากแต่หาน้ําพุจิตวิญญาณไม่เจอจะไปมีประโยชน์อันใด?

 

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าได้เข้าใจเคล็ดวิชาจํานวนมากในหลายมุมของโลก ฐานการบ่มเพาะก็ได้รับการสะสมอย่างเพียงพอการที่จะทะลวงขั้นเพื่อให้ก้าวหน้า ต่อไปก็เป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่ง”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน และความรู้สึกที่จะต้องลงมือทําอะไรสักอย่างก็ผุดขึ้นในใจ

 

ในขณะที่กระแสปราณฉียังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจะมีผู้แข็งแกร่งปรากฏมากยิ่งขึ้นเช่นกันอาทิในยุทธภพต่างแดนและเกาะหยิงโจวนอกจากนี้ยังมีสถานที่ลับต่างๆ ที่มี มาตั้งแต่ยุคสมัยกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด

 

แม้ว่าซูฉินจะยังคงอยู่ยงคงกระพันไม่ต้องกลัวสิ่งใดแต่ก็มีกังวลในข้อผิดพลาดต่างๆ อยู่ดี

 

ตัวอย่างเช่น ชิงชิวชิงหลิงซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวแม้ดูเหมือนซูฉินจะสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว

 

แต่ที่จริงแล้ว หากว่านี่เป็นบรรพบุรุษของจิ้งจอกตระกูลชิงชิวที่แข็งแกร่งกว่านี้หลายพันเท่า คงเป็นเรื่องยากที่ซูฉินจะสังหารได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว

 

“ต้องทรงพลังให้มากขึ้นไปอีก”

 

“หากข้าบรรลุถึงระดับเดียวกับองค์ยูไลได้ สัตว์ร้ายหรือปีศาจใดในโลกก็จะมิอาจแผ้วพาน”

 

ซูฉินหลับตาลงอีกครั้ง ไอพลังในร่างยังคงกลั่นตัวต่อไปเรื่อยๆ และน้ําพุจิตวิญญาณก็กลายเป็นจิตใจฟ้าดินจํานวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าเข้าสู่ร่างของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน

 

สุดปลายขอบของทะเลบูรพา

 

หมิงโยว วิญญาณยมโลกจากนิกายเฮยหยวน และเหล่าผู้อาวุโสของนิกายใหญ่ต่างดินแดนก็เดินทางมาถึงที่นี่

 

“ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากนิกายเฮยหยวน ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาอยู่ในพื้นที่ทะเลแถบนี้”

 

ท่าทีของชายในชุดคลุมสีดําดูดีอกดีใจ

 

“ทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาอยู่ที่ไหน” เฉวยวี่ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะเลิกคิ้วขึ้น

 

คนอื่นก็พยักหน้าตามเล็กน้อย

 

จริงดังว่า

 

ทะเลบูรพามีขนาดใหญ่จนเกินไป

 

ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องห้อมล้อมด้วยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่หลีกเลี่ยงการจับสัมผัสของจิตสัม ผัสศักดิ์สิทธิ์พวกเขาจําเป็นจะต้องหาทั่วทะเลบูรพาทุกตา รางนิ้วหรือไม่?

 

หากเป็นเช่นนั้น แม้ด้วยความเร็วของตํานานยุทธก็ต้องใช้เวลานานหลายร้อยปีในการค้นหาจนทั่วทะเลบูรพาทั้งหมด

 

“สบายใจได้”

วิญญาณยมโลกในชุดคลุมสีดําเหลือบมองคนอื่นๆแล้วพูดเบาๆว่า “ข้ามีวิธีการลับ ตราบใดที่เข้าไปใกล้ถ้ําเซียนภายในรัศมีหนึ่งลี้ข้าจะสามารถจับตําแหน่งที่แน่นอน ได้”

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset