เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

Sign in Buddha’s palm 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

 

“ผู้อาวุโสหมิงโยวได้สิ้นชีพลงแล้ว…”

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนพูดจนจบด้วยเสียงอันสั่นเครือ หลับตาลง ดูยอมจํานนกับโชคชะตา

 

ดวงไฟแห่งชีวิตได้ดับลง

 

หมายถึงการตกตายอย่างสมบูรณ์

 

แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รอดพ้น

 

ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทําให้ศิษย์คนที่มาแจ้งข่าวรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เขาตระหนักดีถึงตําแหน่งตัวตนของหมิงโยวภายในนิกายเฮยหยวน

 

ในฐานะของหนึ่งในตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับระดับผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในดินแดนโพ้นทะเล การเสียชีวิตของหมิงโยวจะปลุกความโกรธเกรี้ยวของผู้นํานิกายเฮยหยวนขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

และด้วยความโกรธเคืองของผู้นํานิกาย คงจะเป็นเรื่องยากที่ชีวิตน้อยๆของศิษย์ธรรมดาๆเช่นเขาจะอยู่รอด

 

ที่นี่คือนิกายเฮยหยวน หนึ่งในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ผู้อ่อนแอถูกกําหนดให้เป็นทาส เป็นเป้าสังหาร

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

 

เกิดความเงียบขึ้นในโถง จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็ตอบสนองออกมาในทันที จ้องมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าวอย่างไม่อยากเชื่อ หมิงโยวเกือบจะกลายเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธอยู่แล้ว ชื่อเสียงก็มีมาก พูดออกมาได้อย่างไรว่าจบชีวิตแล้ว?

 

นอกจากนี้ การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับลง หมายความว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และร่างกายได้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหนีไม่พ้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร?

 

“เป็นไปไม่ได้ ร่างปีศาจลวงตาของศิษย์พี่หมิงโยวเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถสลับปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างความเป็นจริงและร่างลวงตาได้ดั่งใจนึก แม้จะเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ไม่มีทางสังหารเขาได้ เขาจะตายได้อย่างไร?

 

“ถูกต้อง ต่อให้มีผู้เยี่ยมยุทธหลายคนร่วมมือกัน อย่างมากที่สุดก็ทําลายได้เพียงแค่กายหยาบ อย่างไรจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถหนีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์

 

“เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์ฝ่ายไหน หากข้ารู้ว่าเจ้ารายงานข้อมูลเท็จล่ะก็ จะต้องถูกนิกายเฮยหยวนของพวกเราทรมานทั้งเป็น ให้เจ้าได้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ดี ตายก็ไม่ได้ มันเป็นเยี่ยงไร เจ้าพร้อมที่จะโดนแล้วรึยังเล่า?”

 

ผู้อาวุโสหลายคนจ้องมองไปที่ศิษย์คนนั้น และมีกระทั่งผู้อาวุโสที่อารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมที่จะลงมือสังหารมันเสียบัดนี้เลยทีเดียว

 

ในใจของผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวน หากได้ยินว่าใครสักคนจะสิ้นชีพลงก็คงพอเข้าใจได้ แต่สําหรับหมิงโยวนั้นมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“เอาล่ะ”

 

“ทุกคนจงเงียบ”

 

ในขณะที่ศิษย์ส่งข่าวกําลังจะโดนผู้อาวุโสหัวรุนแรงตบจนตาย ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็กล่าวคําออกมาในที่สุด

 

ระหว่างที่พูดออกมา ไอพลังที่ไม่สามารถหยั่งถึงก็กระจายออกมา ผู้อาวุโสที่จ้างมือกําลังจะตบก็หน้าซีด หยุดมือในทันที และหยุดฟังด้วยความเคารพ

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ทําแบบเดียวกัน และทันใดนั้นห้องโถงที่อึกทึกครึกโครมเมื่อครู่ก็เงียบลงในทันใด

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นอะไรมา?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าว ไม่มีความผันผวนใดในน้ําเสียงของเขาเลย

 

แต่ผู้อาวุโสทุกคนรู้ดีว่า ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากเท่าไหร่ ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ใกล้ระเบิดอารมณ์มากเท่านั้น

 

“ท่านผู้นํา”

 

“ข้าคอยดูแลดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสตลอดทั้งวันทั้งคืน และข้าก็ได้เห็นว่าดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสหมิงโยวเพิ่งจะดับมอดไป”

 

ศิษย์ส่งข่าวกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ

 

“เข้าใจแล้ว………”

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา

 

อันที่จริงตอนที่ศิษย์ส่งข่าวได้กล่าวว่าดวงไฟแห่งชีวิตมอดดับลงแล้วนั้น เขาก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และตัดสินได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริง

 

เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ฟังสิ่งนั้น ก็ดึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีละคน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีสิบลี้ได้ ถ้าเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสแห่งนิกายเฮยหยวนเล่า?

 

ในการเป็นอาวุโสของนิกายเฮยหยวนได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สี่

 

ในสายตาของพวกเขา นิกายเฮยหยวนทั้งหมดไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ ยกเว้นบางสถานที่ที่ถูกปิดผนึก สามารถต้านทานการตรวจสอบจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้อาวุโสกวาดไปทั่วสถานที่สําหรับเก็บดวงไฟแห่งชีวิต ผู้อาวุโสทุกคนก็เงียบลง

 

ดวงไฟแห่งชีวิตของหมิงโยวมอดดับลงแล้วจริงๆ

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสจํานวนมากได้ตรวจสอบดู ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

“ศิษย์พี่หมิงโยวตกตายลงแล้วจริงๆ”

 

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็กล่าวออกมาอย่างขมขึ้น

 

พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของหมิงโยวอย่างมาก และคาดคิดไปแล้วว่าอย่างไรเสียถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องถูกยึดเอาไว้ในกํามือพวกตน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าหมิงโยวได้ตกตายไปแล้ว………

 

ผู้อาวุโสที่เหลือก็แสดงสีหน้าโศกเศร้าเช่นกัน

 

“ท่านผู้นํา เรื่องนี้”

 

ผู้อาวุโสต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

ในท้ายที่สุด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยผู้นํานิกายเฮยหยวน “เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนจงออกไปก่อนเถอะ”

 

“ขอรับ” ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากัน โค้งคารวะแล้วจากไปพร้อมกับความสงสัย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ไม่ใช่เพียงนิกายเฮยหยวน

 

ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆต่างก็ตื่นตะลึงจากเรื่องที่ดวงไฟแห่งชีวิตนั้นดับมอดลงไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะถึงกับโกรธเคืองสุดขีด โลกเยือกแข็งปกคลุมไปทั่วรัศมีสิบลี้ ท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นน้ําแข็ง น้ําที่หยดลงมาก็กลายเป็นน้ําแข็ง ยกเว้นแต่เพียงศิษย์สาวกของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ตํานานยุทธคนใดที่เข้าใกล้บริเวณนั้นต่างถูกแช่แข็งอย่างฉับพลัน

 

มีนิกายใหญ่มากมายในต่างดินแดนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก แม้บางครั้งเกิดข้อพิพาทกันแต่อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการต่อสู้กันของศิษย์สาวก ไม่ต้องกล่าวถึงการสิ้นชีวิตของผู้อาวุโส ขนาดการประมือกันยังแทบไม่มี

 

ตอนนี้นิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ และนิกายใหญ่อื่นๆ ล้วนแต่มีผู้อาวุโสตกตายกันไป โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่เป็นถึงระดับรองผู้นํานิกาย สิ่งนี้สร้างความตกใจอย่างมิรู้ประมาณ

 

มีการถกเถียงกันอย่างมากมายในวงการยุทธภพต่างแดน ผู้ฝึกยุทธพเนจรและผู้นํานิกายคนอื่นๆ ต่างพูดกันอย่างเป็นการลับ

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงในครั้งนี้ ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนา แต่นิกายเฮยหยวนนั้นสูญเสียรองผู้นํานิกายไปเลยทีเดียว…”

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนางั้นหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเทพธิดารุ่นปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นได้ตกตายไปแล้วเช่นเดียวกัน?”

 

“อะไรนะ? เทพธิดาก็ตกตายไปแล้วงั้นหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากต่างตื่นตกใจ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นสถานะที่พิเศษ นางเป็นทายาทคนต่อไปในตําแหน่งเจ้าตําหนัก สถานะของนางสูงยิ่งกว่าผู้อาวุโสเสียอีก

 

“ไม่ว่านิกายใหญ่จะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆ ก็คือใครเป็นผู้ลงมือกันแน่…”

 

มีหลายคนตั้งข้อสงสัย

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี้เป็นฝีมือของนิกายใหญ่อื่นๆ ที่ดําเนินการอย่างลับๆ”

 

“เป็นไปไม่ได้ นิกายใหญ่มิใช่โง่เง่า ต่อให้จะต้องการลงมือจริงๆ ก็ควรจะจัดการทีละคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะประกาศสงครามกับกองกําลังในระดับเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนเช่นนี้?”

 

ผู้คนจํานวนมากต่างยังคงพูดคุยถกเถียงกันต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับคําตอบจริงๆสักที ท้ายที่สุด สิ่งเดียวที่พอจะคาดเดาได้คือผู้ที่ลงมือจะต้องเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับที่คาดเดาไม่ได้

 

ขณะที่โลกภายนอกกําลังถกเถียงกันอยู่

 

บนเกาะแห่งหนึ่งในดินแดนโพ้นทะเล ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ประมุขพรรคหมื่นดาบ และนักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

ในเวลานี้ ยกเว้นก็แต่เจ้าสํานักเอกะวิถี ใบหน้าของคนอื่นๆล้วนหม่นหมอง

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะจ้องไปที่ใบหน้าของผู้นํานิกายเฮยหยวน และกระแทกคําพูดออกมา “รองผู้นํานิกายเฮยหยวนของเจ้า หมิงโยวกล่าวว่ามันได้ พบถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเมื่อหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสที่ข้าส่งไปจึงล้วนตกตายเสียทั้งหมด”

 

ทันทีที่เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาเช่นนี้ สายตาของประมุขพรรคหมื่นดาบที่อยู่ข้างๆก็หันมามองเช่นกัน

 

ตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธถึงสองคนสร้างแรงกดดันต่อตนในเวลาเดียวกัน แม้เป็นผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

“โปรดอย่าลืมว่าตอนที่ผู้อาวุโสของเจ้าได้ตายไป นิกายเฮยหยวนของข้าก็สูญเสียรองผู้นํานิกายไปเช่นกัน” ผู้นํานิกายเฮยหยวนระงับความโกรธของตนเอง และกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ลึกล้ํา

 

“มิผิด”

 

ท่าทีของประมุขพรรคหมื่นดาบผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

หากจะว่ากันตามความสูญเสียจริงๆ การสูญเสียของนิกายเฮยหยวนนั้นใหญ่หลวงที่สุด และมันมากเกินกว่าตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ตายไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเทพธิดาก็เป็นเพียงเทพธิดาเท่านั้น ไม่ว่าจะมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงใด มันก็เป็นเพียงศักยภาพเท่านั้น และหมิงโยว รองผู้นํานิกายเฮยหยวนนั้นเป็นตัวตนทรงพลังที่แท้จริง การตายของหมิงโยวจึงมีน้ําหนักมากกว่ามาก

 

“ท่านนักพรต มันสองครั้งติดต่อกันแล้วนะ” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่นักพรตสํานักเอกะวิถีด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ครั้งแรกอาจจะนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ครั้งที่สองนี้ คนของข้าและคนอื่นๆที่ถูกส่งไปกลับตายหมด มีแต่คนของเจ้าเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

 

“ผู้ชราอย่างข้าก็มิรู้เหมือนกัน…”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีค่อนข้างทําอะไรไม่ถูก แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ผู้อาวุโสของสํานักยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบเริ่มจะสงสัยในตัวเขาเสียแล้ว

 

“ถ้าจะบอกว่าข้าต้องการจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะลงมือเฉพาะศิษย์กับผู้อาวุโส?”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

สําหรับตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนนั้น การตายของเทพธิดาและรองผู้นํานิกายย่อมเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทําให้รากฐานเสียหาย

 

ผู้ที่สามารถกําหนดอนาคตของนิกายใหญ่ทั้งนิกายได้อย่างแท้จริงนั่นก็คือผู้นํานิกายและบรรพชนที่หลับใหล

 

ส่วนผู้อาวุโส?

 

มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน และตัวตนที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ ก็ปรากฏขึ้นในทุกๆปี ถ้าเทพธิดาหายไป มันก็แค่ต้องปลุกปั้นคนใหม่อีกสักคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกข้านะ?”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาเบาๆ

 

นางครุ่นคิดและรู้สึกว่าหากต้องการจะจัดการกับพวกตน จริงๆก็ต้องวางแผนจัดการผู้แข็งแกร่งในระดับผู้เยี่ยมยุทธ ไม่จําเป็นต้องโจมตีศิษย์รุ่นหลัง

 

“เอาล่ะ”

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ พวกเรามาคุยกันเถอะว่าจะต้องทําอย่างไรต่อไป?”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบเหลือบมองคนอื่นอีกสองสามคน แล้วถามอย่างใจเย็น

 

“แม้ว่าผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีจะยังไม่ตาย แต่พึงรู้ไว้ว่าการที่จะสามารถทําให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าตกตายกันไปอย่างเงียบๆเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธจึงจะกระทําได้”

 

เพื่อขจัดข้อสงสัยที่มุ่งมาทางตน เจ้าสํานักเอกะวิถีกล่าว การคาดเดาของเขาออกมาทันที

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและประมุขพรรคหมื่นดาบก็พยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับความคิดเห็นนั้น

 

เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถลงมือได้อย่างสะอาดหมดจดเช่นนี้ จัดการผู้อาวุโสที่พวกเขาส่งไปได้ทั้งหมดและแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เหลือรอดกลับมา

 

“ไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธเท่านั้น”

 

ในเวลานั้น ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของหมิงโยวดี ผู้เยี่ยมยุทธทั่วๆไปไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ อย่างน้อยก็ต้องผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด”

 

คําที่ผู้นํานิกายเฮยหยวนเพิ่งกล่าวออกไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆต่างก็หน้าเปลี่ยนสี

 

ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด?

 

โดยทั่วไปแล้วตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและระดับนภาชั้นที่หกจะนับเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธ ส่วนผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดคือจุดสูงสุดของนภาชั้นที่หก ซึ่งอยู่ห่างจากระดับนภาชั้นที่เจ็ดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เกรงว่าคงจะมีผู้เยี่ยมยุทธระดับนี้ไม่มากในนิกายใหญ่ต่างดินแดน

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกได้ถึงความยุ่งยาก

 

ถ้าเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แข็งแกร่งกล้าที่จะลงมือกับพวกเขา ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกพวกเขาปราบ

 

แต่ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ถ้าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดต้องการจะหนี ก็ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธคนใดจะหยุดมันได้

 

สิ่งที่ทําให้ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นคือ จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดที่ลงมือนั้นเป็นใคร? มาจากกองกําลังฝ่ายไหน?

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจได้อีกต่อไป”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ข้าจะต้องไปรายงานบรรพชนของข้า”

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset