เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 228 ความลับที่ข้ามผ่านยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีมาหลายยุคหลายสมัย

Sign in Buddha’s palm 228 ความลับที่ข้ามผ่านยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีมาหลายยุคหลายสมัย

 

“พี่สาม ผู้นี้คือ?”

 

จักรพรรดิถังมองดูนักพรตเฒ่าด้วยความประหลาดใจ และถามขึ้นมาอย่างสงสัย

 

ทันทีที่เขารู้ว่าซูฉินกลับมา เขาก็รีบวิ่งมาด้วยความกังวลใจ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นนักพรตเฒ่าและชิงชิวเฉียนเฉียนที่อยู่ถัดไปจากซูฉินเลย

 

“ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากนิกายใหญ่นะ”

 

ซูฉินพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจและหันไปมองนักพรตเฒ่า “เจ้ารู้จักวิหารการสงครามงั้นหรือ?”

 

“ผู้อาวุโส มีบันทึกเกี่ยวกับวิหารการสงครามอยู่ ในคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดภายในสํานักเอกะวิถี สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับที่อยู่มาตลอดทุกช่วงของยุคปราณฉีฟื้นฟูหลายต่อ หลายยุค ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าสองสิ่งนี้ใช้สิ่งเดียวกันหรือไม่…………”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างระมัดระวัง

 

แม้คําว่า “วิหารการสงคราม” จะค่อนข้างพิเศษ แต่ก็อาจจะมีสิ่งอื่นที่ชื่อเหมือนกัน นักพรตเฒ่าจึงไม่กล้าด่วนสรุป

 

คลื่นลูกเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจของซูฉิน เขาเป็นคนที่เกิดมาสองชีวิตแล้ว แน่นอนว่าเขาพอจะรู้ที่มาของวิหารการสงคราม แต่ท่าทีของนักพรตเฒ่าทําให้เขาไม่แน่ใจอยู่เล็กๆว่าวิหารการสงครามจากปากของจักรพรรดิถังคือวิหารการสงครามเดียวกันกับในความทรงจําของเขาหรือไม่

 

“ลองเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับวิหารการสงครามมาซิ”

 

“พี่สาม”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่ทราบว่านักพรตเฒ่าเป็นผู้อาวุโสจากนิกายใหญ่แห่งไหน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาสนใจในตอนนี้ จึงบอกข้อมูลทุกสิ่งเกี่ยวกับวิหารการสงครามที่เขารู้มาในทันที

 

ตามที่จักรพรรดิถังได้เล่าออกมา วิหารการสงครามนั้นโผล่ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อแปดพันปีก่อน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นทุกๆหนึ่งพันปีหรือพันปีกว่า

 

ครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏขึ้นก็เมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน

 

ตามข้อมูลที่ได้รับจากอาณาจักรถัง วิหารการสงครามนั้นลึกลับอย่างยิ่ง และดูเหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้ ทุกครั้งที่มันโผล่ขึ้นมา มันจะปรากฏอยู่บนยอดเขาคุนหลุน

 

วิหารการสงครามนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีดอกไม้และพืชพรรณแปลกๆขึ้นอยู่ตามมุมต่างๆ ซึ่งหาที่ไหนไม่ได้บนโลกใบนี้ ส่วนบนของวิหารมีการแกะสลักเป็นรูปดวงดาวในดาราจักร และใครก็ตามที่มีโอกาสเข้าไปภายในวิหารการสงครามจะได้รับมรดกกลับมาชิ้นหนึ่ง

 

“พี่สาม หลังจากอาณาจักรถังได้ครอบครองทวีป ก็ได้รวบรวมข่าวสารมาจากอาณาจักรต่างๆ ในช่วงแปดพันปีที่ผ่านมา เกือบครึ่งหนึ่งของตํานานยุทธที่ถือกําเนิดขึ้นมาล้วนได้เข้าสู่วิหารการสงครามมาแล้วทั้งสิ้น”

 

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางยุคสมัย ตํานานยุทธต่างกําเนิดขึ้นมากมาย เรียงรายตามกันมา มองดูโลกหล้าไปพร้อมๆกัน ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นราวสิบปีหลังจากการปรากฏขึ้นของวิหารการสงคราม”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยน้ําเสียงทุ้มลึก

 

ส่วนใหญ่จอมยุทธที่เข้าไปภายในวิหารการสงครามนั้น อ ย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ และมากกว่าครึ่งนั้นอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ เหล่าตัวตนผู้ ทรงพลังอํานาจเหล่านี้พวกเขามักไม่ค่อยเปิดเผยสิ่งที่ตนประสบภายในวิหารการสงคราม ที่จักรพรรดิถังสามารถรู้ได้มากขนาดนี้ เป็นเพราะข้อมูลที่ได้สั่งสมมาจากราชวงศ์ของอาณาจักรต่างๆ

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคําเหล่านั้น

 

เมื่อกระแสปราณฉีเริ่มฟื้นตัว โลกและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปราณฉีมีอยู่อย่างมากมาย จิตใจแห่งฟ้าดินเพิ่มขึ้นมากทําให้ง่ายต่อการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

แต่เมื่อหลายพันปีก่อน โดยเฉพาะเมื่อแปดพันปีก่อน กระแสปราณฉีได้ซบเซาลงอย่างสมบูรณ์แล้ว กล่าวได้ว่าพลังฟ้าดินทั้งหมดเที่ยวเฉาเป็นจุดสิ้นสุดของเหล่าผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริง

 

บางที่สําหรับขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลาง อาจจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่สําหรับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับบน โดยเฉพาะระดับชั้นที่หนึ่งซึ่งเริ่มเข้าถึงพลังฟ้าดินแล้วนั้น มันนับเป็นความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

 

พลังปราณฉีนิ่งสนิท ผลที่ตามมาคือทําให้เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้ยากมาก

 

ส่วนตํานานยุทธนั้น

 

ก็เรียกได้ว่าเป็นตํานานจริงๆ

 

แต่ถึงกระนั้น จอมยุทธที่เข้าไปภายในวิหารการสงครามยังสามารถทะลวงขั้นได้อย่างต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ และไปถึงแม้แต่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ได้ไปถึงขั้นตํานานยุทธ แต่เท่านี้ก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว

 

“วิหารการสงคราม……”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาครุ่นคิด

 

เขาเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธโดยอาศัยความจริงที่ว่าเขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ในวัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปี และได้รับโอสถวิเศษมามากมาย รวมถึงเคล็ดวิชาอันไร้เทียมทาน

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนกลายเป็นตํานานยุทธได้ ก็เพราะการบําเพ็ญเพียรมากว่าร้อยปีควบคู่ไปกับกระแสปราณฉีที่ฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด

 

แต่ตํานานยุทธคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์นั้นเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธกันได้อย่างไร?

 

“พี่สาม”

 

“การถือกําเนิดของวิหารการสงครามในครั้งนี้ มันคงคละคลุ้งไปด้วยคาวเลือดอย่างแน่นอน”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเบาๆ

 

ด้วยภูมิหลังของอาณาจักรถังในขณะนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ไม่สามารถสั่นคลอนได้เลย มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นถึงจะพอสร้างความสั่นสะเทือนต่อสถานะของอาณาจักรถังได้

 

ครั้นเมื่อมีตํานานยุทธมากขึ้นภายในอาณาจักรถัง จักรพรรดิถังจะต้องมีเรื่องน่าปวดหัวเพิ่มขึ้นอีกมากเป็นแน่

 

แม้จะมีซูฉินคอยดูแลอาณาจักรถังอยู่ แต่จักรพรรดิถังก็รู้ดีว่าซูฉินไม่สามารถที่จะอยู่ปกป้องอาณาจักรไปได้ตลอด ถ้าต้องการจะปกป้องผืนแผ่นดินนี้จริงๆ เขาต้องทําให้อาณาจักรถังแข็งแกร่งขึ้น

 

นักพรตเฒ่าที่อยู่ด้านข้าง ยังคงหน้าเปลี่ยนสีไม่หาย ในที่สุดก็ถอนหายใจและโค้งคํานับมาทางซูฉิน “ผู้อาวุโส ข้ารู้แล้วว่าวิหารการสงครามคือสิ่งใด…”

 

“ลองเล่ามา”

 

แม้ว่าซูฉินจะคาดเดาทุกอย่างได้บ้างแล้ว แต่เขาก็ยังต้องการได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่าจะพูดอยู่ดี

 

“ผู้อาวุโส สานักเอกะวิถีของข้าได้รับมรดกตกทอดมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด”

 

นักพรตเฒ่าสงบใจลง ท่าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า “ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดก็มีวิหารการสงครามอยู่เช่นกัน ไม่มีใครรู้ที่มาของวิหารการสงคราม ทราบเพียงว่าวิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นทุกๆพันปี หรืออาจจะพันกว่าปี”

 

“นอกจากนี้ ตามบันทึกในสํานักเอกะวิถีของข้า ไม่ใช่แค่ยุคเฟื่องฟูของปราณฉีครั้งล่าสุดเท่านั้นที่มี แต่ในระยะสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งก่อนๆ ก็มีวิหารการสงครามนี้ปรากฏขึ้น”

 

เมื่อนักพรตเฒ่ากล่าวเช่นนี้ ก็หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

 

“จอมยุทธทุกคนที่เข้าสู่วิหารการสงครามจะพบโอกาสอันดีและมีความก้าวหน้าอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง”

 

“น่าเสียดายที่ระดับของวิหารการสงครามนั้นอยู่สูงเกินไป ดูเหมือนจะเป็นวิธีการบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยตัวตนที่แข็งแกร่ง แม้จะอยู่บนโลกนี้ แต่ก็เหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้ ลึกลับซับซ้อนอย่างมาก”

“ยิ่งไปกว่านั้น วิหารการสงครามยังอนุญาตให้เพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่เป็นขอบเขตสูงสุดที่เข้าไปได้ เซียนเทพปฐพีหรือผู้ที่อยู่เหนือกว่าตํานานยุทธไม่สามารถเข้าไปได้เลย”

 

“เมื่อวิหารการสงครามปรากฏขึ้น มีเซียนเทพปฐพีหลายคนต้องการจะเข้าไปภายใน พวกเขาจึงปรึกษาหารือกัน รวมตัวผนึกกําลังกันบุกเข้าไป แต่ในที่สุดก็ต้องหมดหวังและจากไป หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดถึงวิหารการสงครามกันอีกเลย……”

 

“ต่อมา หลังจากช่วงท้ายของยุคเฟื่องฟูปราณฉีสิ้นสุดลง วิหารการสงครามก็ไม่เคยปรากฏในต่างดินแดนอีกเลย จนถึงตอนนี้ จอมยุทธทั้งหลายในต่างดินแดนต่างก็คิดกันว่า วิหารการสงครามได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่พวกเขาคงไม่คาดคิดว่ามันเพียงเปลี่ยนสถานที่ใหม่…”

 

นักพรตเฒ่าเหม่อมองด้วยอารมณ์ความรู้สึก แล้วพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“ทรงพลังเพียงนั้น? ขนาดเซียนเทพปฐพีก็ยังทําอะไรไม่ได้?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

จ้าวทะเลบูรพาซึ่งเป็นเจ้านายของจิ้งจอกตระกูลชิงชิวทั้งหมดเมื่อหลายพันปีก่อนก็เป็นเซียนเทพปฐพีเช่นกัน ในสายตาของเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว แทบจะแยกจ้าวทะเลบูรพากับเทพเซียนไม่ออก

 

“ช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูปราณฉี…”

 

หร่วนชิงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

 

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ไร้สังกัดจากต่างแดน แต่อย่างมากที่สุดเขาก็รู้เพียงเรื่องยุคเฟื่องฟูของปราณฉีเมื่อหมื่นปีก่อน ส่วนเรื่องราวก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับมันเลย

 

ส่วนจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ พวกเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักหลังจากรับฟังมาเป็นเวลานาน สําหรับพวกเขานั้น ยุทธภพในดินแดนโพ้นทะเลเอย เซียนเทพปฐพีเอย หรือยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีล้วนอยู่ไกลตัวเกินไป

 

มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่ได้ยินเรื่องราวของวิหารการสงครามที่ปรากฏในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี แล้วเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆฉายวาบอยู่ภายในดวงตา

 

แม้ว่าซูฉินจะสนใจมรดกในวิหารการสงคราม แต่มันก็เป็นเพียงความสนใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้น มันไม่ได้จําเป็นอะไรขนาดนั้น สุดท้ายแล้ว ไม่ว่ามรดกในวิหารการสงครามจะล้ําค่าเพียงใด มันจะเทียบกับฝ่ามือยูไลได้หรือไม่? เทียบกับคัมภีร์มารเก่าวิถีได้หรือไม่? สามารถเทียบกับภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่? หรือสามารถเทียบกับเคล็ดวิชาอื่นๆที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้มาหรือไม่?

 

สิ่งที่ซูฉินต้องการจริงๆ คือวิหารการสงครามนั่นเอง

 

หากเป็นจริงตามที่นักพรตเฒ่ากล่าว วิหารการสงครามได้ปรากฏขึ้นในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี แสดงว่าวิหารการสงครามต้องผ่านยุคผ่านสมัยมาแล้วไม่น้อยกว่าหลายหมื่นปี

 

ในช่วงเวลาอันยาวนานขนาดนี้ “เต๋าสะสม” ในวิหารการสงครามจะมากมายเพียงใด?

 

ถ้าซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ใน “วิหารการสงคราม” ได้สมบัติล้ําค่าอะไรกันที่เขาจะได้รับ?

 

ตอนนี้ซูฉินเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว หลังจากที่ก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า เขาก็พร้อมจะกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดจากนั้นจึงทะลวงเข้าขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

และทรัพยากรที่จําเป็นในการฝึกฝนในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็จะยิ่งมากมายจนน่าหวาดกลัวเข้าไปอีก หากซูฉินต้องการจะพัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็วเหมือนในตอนนี้ การลงชื่อเข้าใช้ภายในเมืองฉางอันอาจจะไม่เพียงพอ

 

อย่างไรก็ตาม วิหารการสงครามที่สะสม พลังงานเต๋า” มานับหมื่นปีนั้นตอบสนองความต้องการของซูฉินได้พอดี

 

“ที่เจ้าพูดมานั่นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”

 

“วิหารการสงครามนั้นมีมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของปราณฉียุคก่อนๆ จริงหรือ?”

 

ซูฉินจ้องเขม็งไปยังนักพรตเฒ่า

 

เมื่อนักพรตเฒ่าได้ยินสิ่งนี้เขาก็ตกใจ เขาไม่เคยได้ยินซูฉินใช้น้ําเสียงเช่นนี้มาก่อน จึงรีบกล่าวตอบอย่างจริงจังว่า “ผู้อาวุโส ทั้งหมดที่ข้ากล่าวออกมาคือบันทึกที่มาจากสํานักเอกะวิถี”

 

“ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดใด”

 

หมื่นปีที่แล้ว ในช่วงเฟื่องฟูของปราณฉีครั้งล่าสุด สํานักเอกะวิถียังคงเป็นสํานักที่ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ข้อมูลที่ถูกรวบรวมและบันทึกไว้ได้รับการสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามันน่าเชื่อถือมากพอสมควร

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินประเมินคร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกผ่านจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ฝังอยู่ภายในร่างของนักพรตเฒ่าแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย

 

ในความเป็นจริง เมื่อเผชิญหน้ากับซูฉิน ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญกว่านี้เป็นสิบเท่า นักพรตเฒ่าก็ไม่กล้าพูดโป้ปดแต่อย่างใด

 

แล้วอีกอย่าง

 

ที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่ได้มีความลับที่เกี่ยวข้องกับสํานักเอกะวิถีเลย

 

แม้ว่าวิหารการสงครามจะลึกลับ แต่ในช่วงเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด มันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร

 

“วิหารการสงครามจะกําเนิดขึ้นเมื่อใด?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปทางภูเขาคุนหลุนพร้อมตั้งคําถาม

 

“พี่สาม”

 

“ตามบันทึกโบราณ เมื่อใดที่เกิดระลอกคลื่นในชั้นบรรยากาศบนเขาคุนหลุน ก็อยู่ไม่ไกลจากช่วงวันที่วิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นแล้ว”

 

“ในเวลาหนึ่งถึงสองปี วิหารการสงครามจะถือกําเนิดขึ้น”

 

ก่อนที่จักรพรรดิถังจะมาถึงที่นี่ เขาได้ตรวจสอบทุกอย่างมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงตอบได้โดยไร้ซึ่งความลังเล

 

“แต่พี่สามอย่าได้กังวลไป ข้าได้ให้คนเฝ้าดูเขาคุนหลุนอย่างใกล้ชิด หากมีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้น ข้าจะรู้ได้ภายในหนึ่งวัน”

 

จักรพรรดิถังตบอกลั่นคํามั่นสัญญา

 

ทุกวันนี้อาณาจักรถังมีอํานาจควบคุมโลก รวมถึงมีการปฏิรูปและแก้ไขหลายสิ่งหลายอย่างจากจักรพรรดิถังในช่วงไม่กี่ปีก่อน อาณาจักรถังในยามนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

 

ถ้าไม่ใช่เพราะกระแสปราณฉีฟื้นคืนที่จะทําให้เกิดจอมยุทธผู้ทรงพลังเพิ่มขึ้นมาทีละคนๆ ในตอนนี้ แค่เพียงอํานาจของอาณาจักรถังก็เพียงพอจะสยบได้ทุกสิ่ง

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ข้าจับสัมผัสมันได้แล้ว”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะและใช้วิชาปราณฉีฟ้า กําหนดไปพร้อมๆกัน พลังรับรู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด รู้สึกได้จางๆว่าบนเขาคุนหลุนมีกระแสลมปราณล่องลอยอยู่จริงๆ ราวกับพื้นที่แถบนั้นกําลังสั่นสะเทือนวัตถุแปลกปลอมบางอย่างกําลังผลักตัวเองออกมาสู่โลกภายนอก

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset